เคาะข่าวริมโขง : "เสรีพิศุทธ์" เปิดใจถึง "พัชรวาท" ย้ำ ถึงลาออก ก็ล้างผิดคดี 7 ตุลาฯ ไม่ได้ จี้ "มาร์ค" เร่งจัดการ หากเกิน 30 วัน มีสิทธิ์โดนฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ แจง รีสอร์ตกาญจบุรี ไม่ได้รุกที่ป่าสงวน ย้ำ ซื้อตามขั้นตอนกม. สวนกลับ "พัชรวาท" บ้านไม้สักทอง "สมถวิล" ได้แต่ใดมา
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ “เคาะข่าวริมโขง”
รายการ “เคาะข่าวริมโขง” ออกอากาศทางช่องอีสานทีวี-ทีวีเพื่อคนอีสาน วันที่ 14 กันยายน มี น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย และนายประพันธ์ คูณมี เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยวันนี้เหมือนเดิมเช่นเคยที่จะมีการหยิบยกประเด็นข่าวร้อนแรงมานำเสนอและเติมเต็มความรู้ให้แก่พี่น้องชาวอีสาน
ส่วนในช่วงสนทนาได้เชิญ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อมาร่วมพูดคุยถึงวงการสีกากีไทย พร้อมเปิดใจหมดเปลือกต่อกรณีความขัดแย้งกับ พล.ต.อ.พัชรวาท รวมทั้งคดีความต่างๆ ที่ส่งเรื่องให้รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จัดการ หลังจากที่ถูกดองมาเป็นเวลาหลายปี ผ่านมาหลายรัฐบาลแล้ว ผู้กระทำความผิดยังลอยนวล
เริ่มช่วงแรกของรายการ เป็นการนำประเด็น พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ออกมาพูดว่าประเทศไทยจะเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติอีกครั้ง โดย นายประพันธ์ กล่าวถึงกรณีนี้ ว่า สิ่งที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ พูด นับว่าตรงกันข้ามกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยออกมาโจมตี เพราะเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2551 พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกยึดอำนาจ ทำให้หลุดพ้นจากการเป็นนายกรัฐมนตรี และต้องระหกระเหเร่ร่อนอยู่ต่างประเทศ ไม่สามารถกลับมายังประเทศไทยได้ พร้อมทั้งเคยบอกว่าเหตุการณ์ปฏิวัติทำลายความเป็นประชาธิปไตย โดยการที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ออกมาระบุว่า จะเกิดการปฏิวัติขึ้นอีก ก็ถือว่าขัดกับสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยพูด ดังนั้น แสดงให้เห็นแล้วว่า เมื่อก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ โจมตีว่าการปฏิวัติไม่ดี ก็เพราะทำให้ตัวเองสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์ แต่ที่ต้องการให้เร็ววันนี้ เกิดการปฏิวัติ ก็เพราะหวังจะกลับมายืนอำนาจและกอบกู้ผลประโยชน์ที่เสียไปคืน
นายประพันธ์กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นแล้วยังมีแกนนำคนเสื้อแดงหลายคน ที่พูดถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง อาทิ นายวีระ มุสิกพงศ์ หนึ่งในแก๊งค์สามเกลอหัวขวด ได้ออกมาระบุว่าจะสร้างรัฐไทยใหม่ ซึ่งก็ถือว่า หากจะทำเช่นนั้นก็ต้องล้มระบอบในปัจจุบัน หรือจะเป็นทางด้าน นายจักรภพ เพ็ญแข และนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ที่พูดถึงแต่เรื่องการโค่นระบอบอำมาตย์ ฉะนั้น จะเห็นว่า สิ่งที่ตนเสื้อแดงพูด ไม่ต้องการประชาธิปไตยจริง ไม่ได้ต้องการแค่ล้มรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่เหนือกว่านั้นมีเป้าหมายพุ่งเป้าไปที่สถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย เพราะในต่างจังหวัด เคยเกิดกรณีกลุ่มคนเสื้อแดงใช้ไก่ไข่ปาใส่พระบรมฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ มาแล้ว
นายประพันธ์กล่าวอีกว่า ในวันที่ 19 กันยายนที่จะถึงนี้ ตนไม่อยากให้ทุกฝ่ายประมาทการกระทำของกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะการที่แกนนำ นปช.และลิ่วล้อ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาเปิดเผยแผนการบางส่วนจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ก็ถือว่าประมาทไม่ได้ เนื่องจาก หากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะสามารถกลับประเทศไทยได้อย่างสะดวก ดังนั้น จึงความพยายามให้เกิดการปฏิวัติ
“ไหนกลุ่มคนเสื้อแดงเคยบอกว่าต้องการประชาธิปไตย แล้วทำไมทุกวันนี้ออกมาเรียกร้องเรื่องการปฏิวัติ ทั้งที่รัฐบาลภายในการนำของนายอภิสิทธิ์กำลังทำหน้าที่บริหารบ้านเมือง ประกอบกับสถาบันพระมหากษัตริย์ก็อยู่คู่กับประเทศไทยมาช้านาน แล้วทำไมกลุ่มคนเสื้อแดงถึงออกมาก่อความวุ่นวาย จาบจ้วงสถาบันตลอด โดยเฉพาะในวันที่ 19 กันยายนที่จะถึงนี้ ก็มีแนวโน้นจะมีการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรง เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง” นายประพันธ์กล่าว
น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก กล่าวว่า สิ่งที่น่าสังเกตกว่านั้นคือ การทำหน้าที่สื่อมวลชนของ น.ส.วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายความมั่นคง ที่ทำตัวเหมือนเป็นกระบอกเสียงให้แก่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ กรณีนี้ นายประพันธ์กล่าวต่อว่า เจ้าของผลงานลับ ลวง พราง เคยสัมภาษณ์ พล.อ.ชัยสิทธิ์ มาแล้วหลายครั้ง โดยหากจับพิรุธจะเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไว้ใจ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ให้ช่วยเดินเกมต่างๆ ซึ่งอาจเป็น พล.อ.ชัยสิทธิ์ เป็นทหาร ดังนั้นจึงถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์
นายชัชวาลย์กล่าวเสริมว่า ก่อนหน้าที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ จะให้สัมภาษณ์แก่ น.ส.วาสนา ครั้งล่าสุด ได้มีการไปพบ พ.ต.ทักษิณ ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ หรือดูไบก่อน ซึ่งกลุ่มบุคคลที่ไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ในต่างประเทศ จะมีอยู่ด้วยกัน 2 กลุ่ม คือ พวกสู้แล้วรวย ไปเอาหน้าเพื่อหลอกเอาเงินมาเคลื่อนไหวอะไรเล็กๆน้อยๆ หรืออีกพวกเป็นเครือญาติ ที่ไปรับคำสั่งให้มาปฏับัติการในประเทศไทย ทั้งนี้ ตนยังจำได้ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงเคยประกาศไว้ว่า การปฏิวัติไม่เป็นประชาธิปไตย และจะออกมานอนขวางรถถังหากมีการปฏิวัติอีก ต่างจากทุกวันนี้ ที่มีแต่ฝ่ายกลุ่มคนเสื้อแดง ออกมาเรียกร้องให้เกิดการปฏิวัติ สิ่งที่ทางแกนนำ นปช. พูดมันขัดกันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
น.ส.อัญชะลี กล่าวเสริมว่า ส่วนหนึ่งต้องโทษนายสาทิตย์ วงษ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มีหน้าทีกำกับดูแลการทำงานของสื่อ แต่ที่ผ่านมานายสาทิตย์ได้ปล่อยปละละเลย ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และลิ้วล้อได้ใจ โจมตีรัฐบาล โจมตีนายอภิสิทธิ์ หรือจาบจ้วงสถาบันได้ตลอด อย่างกรณี นายจอม เพชรประดับ สื่อทาสของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็รู้ทั้งรู้ แต่ นายสาทิตย์ก็ไม่จัดการทำอะไร
ช่วงต่อมา เป็นช่วงสนทนาได้เชิญ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร.มาร่วมพูดคุยถึงวงการสีกากีไทย พร้อมเปิดใจหมดเปลือกต่อกรณีความขัดแย้งกับ พล.ต.อ.พัชรวาท รวมทั้งคดีความต่างๆ ที่ส่งเรื่องให้รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จัดการ หลังจากที่ถูกดองมาเป็นเวลาหลายปี ผ่านมาหลายรัฐบาลแล้ว ผู้กระทำความผิดยังลอยนวล
โดย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวถึงการยื่นใบลาออกของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร.ว่า ใบลาออกดังกล่าวถือว่าไม่มีผลทางกฏหมาย เพราะ พล.ต.อ.พัชรวาทเป็นข้าราชการ ไม่ใช่บุคคลธรรมดา ดังนั้น การจะลาออกได้ต้องผ่านการพิจารณาของผู้ใหญ่หรือเจ้านาย ซึ่งในที่นี้หมายถึงนายอภิสิทธิ์ในฐานะที่เป็นประธาน ก.ต.ช. โดยการที่นายกรัฐมนตรี ยังไม่ยอมเซ็นใบลาออกของ พล.ต.อ.พัชรวาท ตนคิดว่าเป็นเพราะยึดหลักกฏหมายเป็นสำคัญ
ส่วนกรณี ความผิดที่ ป.ป.ช.ชี้มูล ว่า พล.ต.อ.พัชรวาท มีความผิดร้ายแรงในการร่วมสั่งการให้เจ้าหน้าที่ ตร.สลายการชุมนุมพันธมิตรฯ ที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า คดีนี้ได้ระบุความผิด พล.ต.อ.พัชรวาท ได้อย่างชัดเจน โดยหลังจากที่ ป.ป.ช.ส่งเรื่องถึงมือนายกรัฐมนตรี ก็สามารถตัดสินความผิดได้ทันที ไม่จำเป็นต้องสอบสวนเรื่องใดอีก เพราะทาง ป.ป.ช.ได้สรุปความผิดคดีนี้ไว้แล้ว ดังนั้น อยู่ที่ตัวนายอภิสิทธิ์จะเลือกบทลงโทษอย่างไร จะสั่งให้ไล่ออกหรือไล่ออก ซึ่งความแตกต่างของโทษดังกล่าว คือ ไล่ออกจะไม่ได้เงินบำเหน็จบำนาญ ส่วนลาออกได้
“กรณี 7 ตุลาฯ 51 นายกรัฐมนตรีตัดสินใดง่ายนิดเดียว แค่พลิกดูเอกสารหน้าสุดท้ายที่ ป.ป.ช.ส่งมา ซึ่งระบุความผิด พล.ต.อ.พัชรวาท ไว้อย่างชัดเจน ดังนั้น สามารถลงโทษได้ทันที ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาพิจารณาถึง 30 วัน ตามที่กรอบกฏหมายให้ไว้ เพราะไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องเตะถ่วงเรื่องนี้ โดยหากนายอภิสิทธิ์พยายามนิ่งเฉย รอเวลาให้ พล.ต.อ.พัชรวาท เกษียณอายุราชการ ก็ถือว่ามีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ หลายฝ่ายกังวลว่าการประชุม ก.ต.ช.ที่จะมีขึ้นเร็วๆนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท จะเข้าร่วมประชุมด้วย กรณีนี้ชัดเจนว่า พล.ต.อ.พัชรวาท ไม่สามารถเข้าร่วมประชุมได้ เพราะไม่ได้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.แล้ว โดย พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รักษาการ ผบ.ตร. จะได้รับสิทธิเข้าร่วมประชุม ก.ต.ช.และโหวตเลือก ผบ.ตร.คนใหม่ แทน พล.ต.อ.พัชรวาท
“คงบอกไม่ได้ว่า พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ หรือพล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ผู้ใดจะเหมาะสมเป็น ผบ.ตร.คนใหม่มากกว่ากัน เพราะเห็นทั้งสองคนมาตั้งแต่เรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจมาด้วยกัน จนได้เป็นใหญ่เป็นโตในตำแหน่ง ดังนั้น ถ้าจะให้วิจารณ์ผ่านสื่อถึง 2 คนนี้ คงไม่สามารถพูดได้ แต่เอาเป็นว่า ด้วยกฏระเบียบที่ระบุว่า ผู้ที่จะได้รับเลือกเป็น ผบ.ตร.ต้องมีคุณสมบัติดำรงยศพลตำรวจเอก และไม่ได้มีประวัติด่างพร้อยใดๆ” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว
จากนั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวถึงกรณีความคืบหน้าเรื่องต่างๆ ที่ส่งไปให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี สั่งการและจัดการให้เกิดความเฉียบขาดว่า ที่ผ่านมาตนเสนอไปหลายเรื่อง อย่างกรณีทุจริตงบประชาสัมพันธ์ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 18 ล้านบาท ที่คดีนี้ถูกดองมาตั้งแต่สมัยรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช ต่อด้วยรัฐบาล นายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ คดีดังกล่าวไม่มีความคืบหน้าใดๆ จนมาถึงรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เรื่องนี้ ได้มีการสั่งการให้แต่งตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงดังกล่าวอีกครั้ง ซึ่งตนก็โต้แย้งไปทางนายกรัฐมนตรีว่า คดีนี้ได้รับการตรวจสอบข้อมูลมาแล้ว มาดังนั้น คดีควรเดินหน้าขั้นตอนต่อไปได้เลย นั่นคือ การให้ นายอภิสิทธิ์ พิจารณาว่าคดีนี้มีมูลความจริงหรือไม่ หากมีก็ให้ตัดสินลงโทษไปตามความผิดและข้อเท็จจริง
“การตั้งกรรมสืบสวนใหม่ เสมือนเป็นการวนทำตามขั้นตอนเดิมที่ทำแล้ว โดยในมาตรา 84 ของ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ได้ให้อำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีข้าราชการตำรวจถูกกล่าวหาว่าได้กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง โดยกรรมการประกอบด้วย นายธงทอง จันทรางศุ เลขาธิการสภาการการศึกษา เป็นประธานกรรมการ นายวชิระ เพ่งผล ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการ พล.ต.ท.สุวัฒน์ จันทร์อิทธิกุล ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นกรรมการ พล.ต.ท.อาจิณ โชติวงศ์ ผู้บัญชาการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ เป็นกรรมการ พล.ต.ต.ปัญญา เอ่งฉ้วน ผู้บังคับการกองวินัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ ซึ่งดูจากรายชื่อกรรมการสืบสวน ส่วนใหญ่จะเป็นคนสนิทของ พล.ต.อ.พัชรวาท หรือเป็นพวกที่เคยมีข้อพิพาทเรื่องต่างๆ กับตน ดังนั้น ว่าคดีนี้น่าเป็นห่วง” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวต่อว่า คดีทุจริตงบประชาสัมพันธ์ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 18 ล้านบาท สืบเนื่องทำให้มีการส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสอบและค้นรีสอร์ตของตน ที่จ.กาญจนบุรี โดยกล่าวหาว่าบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน ทั้งที่ความจริงที่ดินแปลงดังกล่าว เจ้าของเดิมได้ทำธุรกิจรีสอร์ตอยู่แล้ว และก่อนหน้าที่จะมีการก่อสร้างได้ตรวจสอบแล้วว่า ไม่ได้เป็นพื้นที่ป่าสงวน ซึ่งเมื่อปี 2535 ตนได้ซื้อกิจการต่อมา แต่จนถึงทุกวันนี้ ยังไม่ได้มีการก่อสร้างสิ่งใดๆ เพิ่มอีก นอกจากไปดำเนินการอนุญาตจากกรมเจ้าท่า เมื่อปี 2544 เพื่อขอถมดินในส่วนที่ถูกน้ำกัดเซาะตลิ่งเท่านั้น อีกทั้ง ตนกิจการดังกล่าว ปัจจุบันตนได้ให้ผู้อื่นเช่าทำธุรกิจต่อ ดังนั้น หากมีการกระทำความผิดใดๆ ก็ไม่เกี่ยวกับตนเองแน่นอน เนื่องจากทุกอย่างทำตามขั้นตอนทางกฏหมายทั้งหมด
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวถึงกรณี “สมถวิล” รีสอร์ตหรูมูลค่าร้อยล้านบาท ที่มีชื่อลูกสาว พล.ต.อ.พัชรวาท เป็นเจ้าของอยู่ ว่า เมื่อหลายปีที่แล้ว ตนเคยสร้างศาลาไม้สักทองเล็ก โดยซื้อไม้สักทองถูกต้องตามกฏหมายทุกอย่าง มีใบรับประกัน รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดเป็นเงิน 200,000 กว่าบาท ดังนั้น จึงอยากถาม พล.ต.อ.พัชรวาท ว่ารีสอร์ตไม้สักทองสุดหรูของลูกสาว ซื้อมาอย่างถูกต้องหรือไม่ แล้วใช้เงินจากที่ไหนไปซื้อ เอาเงินก่อสร้างมาจากไหน และยังสงสัยว่า ทำไมถึงให้แค่นายตำรวจยศสูงเข้าพักเป็นแขกได้เท่านั้น ซึ่งเรื่องทั้งหมด พล.ต.อ.พัชรวาท คงรู้คำตอบดีว่าเรื่องจริงเป็นเช่นไร
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวปิดท้ายว่า ก่อนหน้านี้ ตนเคยพูดว่า ใครทำอะไรไว้กับตน ผลกรรมจะตามไปสนองคืน เวลานี้ นายสมัคร สุนทรเวช ที่เคยสั่งย้ายตนเองอย่างไม่มีเหตุผล ก็ป่วยหนักเกือบเอาชีวิตไม่รอด ต่อจากนี้ ต้องดู พล.ต.อ.พัชรวาท บ้าง ว่าจะได้รับผลกรรมอย่างไร โดยตอนนี้ คดีความต่างๆของตน หลุดพ้นหมดแล้ว ใช้ชีวิตสบายในช่วงเกษียณอายุ แต่การต่อสู้เรื่องคดีความ พล.ต.อ.พัชรวาท ยังเพิ่งเริ่มต้นชีวิตในวัยเกษียณ คงต้องวุ่นวายต่อไป
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ “เคาะข่าวริมโขง”
รายการ “เคาะข่าวริมโขง” ออกอากาศทางช่องอีสานทีวี-ทีวีเพื่อคนอีสาน วันที่ 14 กันยายน มี น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย และนายประพันธ์ คูณมี เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยวันนี้เหมือนเดิมเช่นเคยที่จะมีการหยิบยกประเด็นข่าวร้อนแรงมานำเสนอและเติมเต็มความรู้ให้แก่พี่น้องชาวอีสาน
ส่วนในช่วงสนทนาได้เชิญ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อมาร่วมพูดคุยถึงวงการสีกากีไทย พร้อมเปิดใจหมดเปลือกต่อกรณีความขัดแย้งกับ พล.ต.อ.พัชรวาท รวมทั้งคดีความต่างๆ ที่ส่งเรื่องให้รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จัดการ หลังจากที่ถูกดองมาเป็นเวลาหลายปี ผ่านมาหลายรัฐบาลแล้ว ผู้กระทำความผิดยังลอยนวล
เริ่มช่วงแรกของรายการ เป็นการนำประเด็น พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ออกมาพูดว่าประเทศไทยจะเกิดเหตุการณ์ปฏิวัติอีกครั้ง โดย นายประพันธ์ กล่าวถึงกรณีนี้ ว่า สิ่งที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ พูด นับว่าตรงกันข้ามกับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยออกมาโจมตี เพราะเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2551 พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกยึดอำนาจ ทำให้หลุดพ้นจากการเป็นนายกรัฐมนตรี และต้องระหกระเหเร่ร่อนอยู่ต่างประเทศ ไม่สามารถกลับมายังประเทศไทยได้ พร้อมทั้งเคยบอกว่าเหตุการณ์ปฏิวัติทำลายความเป็นประชาธิปไตย โดยการที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ออกมาระบุว่า จะเกิดการปฏิวัติขึ้นอีก ก็ถือว่าขัดกับสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยพูด ดังนั้น แสดงให้เห็นแล้วว่า เมื่อก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ โจมตีว่าการปฏิวัติไม่ดี ก็เพราะทำให้ตัวเองสูญเสียอำนาจและผลประโยชน์ แต่ที่ต้องการให้เร็ววันนี้ เกิดการปฏิวัติ ก็เพราะหวังจะกลับมายืนอำนาจและกอบกู้ผลประโยชน์ที่เสียไปคืน
นายประพันธ์กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นแล้วยังมีแกนนำคนเสื้อแดงหลายคน ที่พูดถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง อาทิ นายวีระ มุสิกพงศ์ หนึ่งในแก๊งค์สามเกลอหัวขวด ได้ออกมาระบุว่าจะสร้างรัฐไทยใหม่ ซึ่งก็ถือว่า หากจะทำเช่นนั้นก็ต้องล้มระบอบในปัจจุบัน หรือจะเป็นทางด้าน นายจักรภพ เพ็ญแข และนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ที่พูดถึงแต่เรื่องการโค่นระบอบอำมาตย์ ฉะนั้น จะเห็นว่า สิ่งที่ตนเสื้อแดงพูด ไม่ต้องการประชาธิปไตยจริง ไม่ได้ต้องการแค่ล้มรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แต่เหนือกว่านั้นมีเป้าหมายพุ่งเป้าไปที่สถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย เพราะในต่างจังหวัด เคยเกิดกรณีกลุ่มคนเสื้อแดงใช้ไก่ไข่ปาใส่พระบรมฉายาลักษณ์ สมเด็จพระนางเจ้า พระบรมราชินีนาถ มาแล้ว
นายประพันธ์กล่าวอีกว่า ในวันที่ 19 กันยายนที่จะถึงนี้ ตนไม่อยากให้ทุกฝ่ายประมาทการกระทำของกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะการที่แกนนำ นปช.และลิ่วล้อ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาเปิดเผยแผนการบางส่วนจะด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ก็ถือว่าประมาทไม่ได้ เนื่องจาก หากมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็จะสามารถกลับประเทศไทยได้อย่างสะดวก ดังนั้น จึงความพยายามให้เกิดการปฏิวัติ
“ไหนกลุ่มคนเสื้อแดงเคยบอกว่าต้องการประชาธิปไตย แล้วทำไมทุกวันนี้ออกมาเรียกร้องเรื่องการปฏิวัติ ทั้งที่รัฐบาลภายในการนำของนายอภิสิทธิ์กำลังทำหน้าที่บริหารบ้านเมือง ประกอบกับสถาบันพระมหากษัตริย์ก็อยู่คู่กับประเทศไทยมาช้านาน แล้วทำไมกลุ่มคนเสื้อแดงถึงออกมาก่อความวุ่นวาย จาบจ้วงสถาบันตลอด โดยเฉพาะในวันที่ 19 กันยายนที่จะถึงนี้ ก็มีแนวโน้นจะมีการสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรง เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง” นายประพันธ์กล่าว
น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก กล่าวว่า สิ่งที่น่าสังเกตกว่านั้นคือ การทำหน้าที่สื่อมวลชนของ น.ส.วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายความมั่นคง ที่ทำตัวเหมือนเป็นกระบอกเสียงให้แก่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ กรณีนี้ นายประพันธ์กล่าวต่อว่า เจ้าของผลงานลับ ลวง พราง เคยสัมภาษณ์ พล.อ.ชัยสิทธิ์ มาแล้วหลายครั้ง โดยหากจับพิรุธจะเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไว้ใจ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ให้ช่วยเดินเกมต่างๆ ซึ่งอาจเป็น พล.อ.ชัยสิทธิ์ เป็นทหาร ดังนั้นจึงถูกนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์
นายชัชวาลย์กล่าวเสริมว่า ก่อนหน้าที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ จะให้สัมภาษณ์แก่ น.ส.วาสนา ครั้งล่าสุด ได้มีการไปพบ พ.ต.ทักษิณ ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ หรือดูไบก่อน ซึ่งกลุ่มบุคคลที่ไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ในต่างประเทศ จะมีอยู่ด้วยกัน 2 กลุ่ม คือ พวกสู้แล้วรวย ไปเอาหน้าเพื่อหลอกเอาเงินมาเคลื่อนไหวอะไรเล็กๆน้อยๆ หรืออีกพวกเป็นเครือญาติ ที่ไปรับคำสั่งให้มาปฏับัติการในประเทศไทย ทั้งนี้ ตนยังจำได้ว่ากลุ่มคนเสื้อแดงเคยประกาศไว้ว่า การปฏิวัติไม่เป็นประชาธิปไตย และจะออกมานอนขวางรถถังหากมีการปฏิวัติอีก ต่างจากทุกวันนี้ ที่มีแต่ฝ่ายกลุ่มคนเสื้อแดง ออกมาเรียกร้องให้เกิดการปฏิวัติ สิ่งที่ทางแกนนำ นปช. พูดมันขัดกันตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
น.ส.อัญชะลี กล่าวเสริมว่า ส่วนหนึ่งต้องโทษนายสาทิตย์ วงษ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มีหน้าทีกำกับดูแลการทำงานของสื่อ แต่ที่ผ่านมานายสาทิตย์ได้ปล่อยปละละเลย ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ และลิ้วล้อได้ใจ โจมตีรัฐบาล โจมตีนายอภิสิทธิ์ หรือจาบจ้วงสถาบันได้ตลอด อย่างกรณี นายจอม เพชรประดับ สื่อทาสของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็รู้ทั้งรู้ แต่ นายสาทิตย์ก็ไม่จัดการทำอะไร
ช่วงต่อมา เป็นช่วงสนทนาได้เชิญ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร.มาร่วมพูดคุยถึงวงการสีกากีไทย พร้อมเปิดใจหมดเปลือกต่อกรณีความขัดแย้งกับ พล.ต.อ.พัชรวาท รวมทั้งคดีความต่างๆ ที่ส่งเรื่องให้รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จัดการ หลังจากที่ถูกดองมาเป็นเวลาหลายปี ผ่านมาหลายรัฐบาลแล้ว ผู้กระทำความผิดยังลอยนวล
โดย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวถึงการยื่นใบลาออกของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร.ว่า ใบลาออกดังกล่าวถือว่าไม่มีผลทางกฏหมาย เพราะ พล.ต.อ.พัชรวาทเป็นข้าราชการ ไม่ใช่บุคคลธรรมดา ดังนั้น การจะลาออกได้ต้องผ่านการพิจารณาของผู้ใหญ่หรือเจ้านาย ซึ่งในที่นี้หมายถึงนายอภิสิทธิ์ในฐานะที่เป็นประธาน ก.ต.ช. โดยการที่นายกรัฐมนตรี ยังไม่ยอมเซ็นใบลาออกของ พล.ต.อ.พัชรวาท ตนคิดว่าเป็นเพราะยึดหลักกฏหมายเป็นสำคัญ
ส่วนกรณี ความผิดที่ ป.ป.ช.ชี้มูล ว่า พล.ต.อ.พัชรวาท มีความผิดร้ายแรงในการร่วมสั่งการให้เจ้าหน้าที่ ตร.สลายการชุมนุมพันธมิตรฯ ที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวว่า คดีนี้ได้ระบุความผิด พล.ต.อ.พัชรวาท ได้อย่างชัดเจน โดยหลังจากที่ ป.ป.ช.ส่งเรื่องถึงมือนายกรัฐมนตรี ก็สามารถตัดสินความผิดได้ทันที ไม่จำเป็นต้องสอบสวนเรื่องใดอีก เพราะทาง ป.ป.ช.ได้สรุปความผิดคดีนี้ไว้แล้ว ดังนั้น อยู่ที่ตัวนายอภิสิทธิ์จะเลือกบทลงโทษอย่างไร จะสั่งให้ไล่ออกหรือไล่ออก ซึ่งความแตกต่างของโทษดังกล่าว คือ ไล่ออกจะไม่ได้เงินบำเหน็จบำนาญ ส่วนลาออกได้
“กรณี 7 ตุลาฯ 51 นายกรัฐมนตรีตัดสินใดง่ายนิดเดียว แค่พลิกดูเอกสารหน้าสุดท้ายที่ ป.ป.ช.ส่งมา ซึ่งระบุความผิด พล.ต.อ.พัชรวาท ไว้อย่างชัดเจน ดังนั้น สามารถลงโทษได้ทันที ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาพิจารณาถึง 30 วัน ตามที่กรอบกฏหมายให้ไว้ เพราะไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องเตะถ่วงเรื่องนี้ โดยหากนายอภิสิทธิ์พยายามนิ่งเฉย รอเวลาให้ พล.ต.อ.พัชรวาท เกษียณอายุราชการ ก็ถือว่ามีความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ หลายฝ่ายกังวลว่าการประชุม ก.ต.ช.ที่จะมีขึ้นเร็วๆนี้ พล.ต.อ.พัชรวาท จะเข้าร่วมประชุมด้วย กรณีนี้ชัดเจนว่า พล.ต.อ.พัชรวาท ไม่สามารถเข้าร่วมประชุมได้ เพราะไม่ได้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร.แล้ว โดย พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รักษาการ ผบ.ตร. จะได้รับสิทธิเข้าร่วมประชุม ก.ต.ช.และโหวตเลือก ผบ.ตร.คนใหม่ แทน พล.ต.อ.พัชรวาท
“คงบอกไม่ได้ว่า พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ หรือพล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย ผู้ใดจะเหมาะสมเป็น ผบ.ตร.คนใหม่มากกว่ากัน เพราะเห็นทั้งสองคนมาตั้งแต่เรียนโรงเรียนนายร้อยตำรวจมาด้วยกัน จนได้เป็นใหญ่เป็นโตในตำแหน่ง ดังนั้น ถ้าจะให้วิจารณ์ผ่านสื่อถึง 2 คนนี้ คงไม่สามารถพูดได้ แต่เอาเป็นว่า ด้วยกฏระเบียบที่ระบุว่า ผู้ที่จะได้รับเลือกเป็น ผบ.ตร.ต้องมีคุณสมบัติดำรงยศพลตำรวจเอก และไม่ได้มีประวัติด่างพร้อยใดๆ” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว
จากนั้น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวถึงกรณีความคืบหน้าเรื่องต่างๆ ที่ส่งไปให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี สั่งการและจัดการให้เกิดความเฉียบขาดว่า ที่ผ่านมาตนเสนอไปหลายเรื่อง อย่างกรณีทุจริตงบประชาสัมพันธ์ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 18 ล้านบาท ที่คดีนี้ถูกดองมาตั้งแต่สมัยรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช ต่อด้วยรัฐบาล นายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ คดีดังกล่าวไม่มีความคืบหน้าใดๆ จนมาถึงรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เรื่องนี้ ได้มีการสั่งการให้แต่งตั้งกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงดังกล่าวอีกครั้ง ซึ่งตนก็โต้แย้งไปทางนายกรัฐมนตรีว่า คดีนี้ได้รับการตรวจสอบข้อมูลมาแล้ว มาดังนั้น คดีควรเดินหน้าขั้นตอนต่อไปได้เลย นั่นคือ การให้ นายอภิสิทธิ์ พิจารณาว่าคดีนี้มีมูลความจริงหรือไม่ หากมีก็ให้ตัดสินลงโทษไปตามความผิดและข้อเท็จจริง
“การตั้งกรรมสืบสวนใหม่ เสมือนเป็นการวนทำตามขั้นตอนเดิมที่ทำแล้ว โดยในมาตรา 84 ของ พ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ได้ให้อำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกรณีข้าราชการตำรวจถูกกล่าวหาว่าได้กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง โดยกรรมการประกอบด้วย นายธงทอง จันทรางศุ เลขาธิการสภาการการศึกษา เป็นประธานกรรมการ นายวชิระ เพ่งผล ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นกรรมการ พล.ต.ท.สุวัฒน์ จันทร์อิทธิกุล ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นกรรมการ พล.ต.ท.อาจิณ โชติวงศ์ ผู้บัญชาการสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ เป็นกรรมการ พล.ต.ต.ปัญญา เอ่งฉ้วน ผู้บังคับการกองวินัย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นกรรมการและเลขานุการ ซึ่งดูจากรายชื่อกรรมการสืบสวน ส่วนใหญ่จะเป็นคนสนิทของ พล.ต.อ.พัชรวาท หรือเป็นพวกที่เคยมีข้อพิพาทเรื่องต่างๆ กับตน ดังนั้น ว่าคดีนี้น่าเป็นห่วง” พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าว
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวต่อว่า คดีทุจริตงบประชาสัมพันธ์ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จำนวน 18 ล้านบาท สืบเนื่องทำให้มีการส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจสอบและค้นรีสอร์ตของตน ที่จ.กาญจนบุรี โดยกล่าวหาว่าบุกรุกพื้นที่ป่าสงวน ทั้งที่ความจริงที่ดินแปลงดังกล่าว เจ้าของเดิมได้ทำธุรกิจรีสอร์ตอยู่แล้ว และก่อนหน้าที่จะมีการก่อสร้างได้ตรวจสอบแล้วว่า ไม่ได้เป็นพื้นที่ป่าสงวน ซึ่งเมื่อปี 2535 ตนได้ซื้อกิจการต่อมา แต่จนถึงทุกวันนี้ ยังไม่ได้มีการก่อสร้างสิ่งใดๆ เพิ่มอีก นอกจากไปดำเนินการอนุญาตจากกรมเจ้าท่า เมื่อปี 2544 เพื่อขอถมดินในส่วนที่ถูกน้ำกัดเซาะตลิ่งเท่านั้น อีกทั้ง ตนกิจการดังกล่าว ปัจจุบันตนได้ให้ผู้อื่นเช่าทำธุรกิจต่อ ดังนั้น หากมีการกระทำความผิดใดๆ ก็ไม่เกี่ยวกับตนเองแน่นอน เนื่องจากทุกอย่างทำตามขั้นตอนทางกฏหมายทั้งหมด
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวถึงกรณี “สมถวิล” รีสอร์ตหรูมูลค่าร้อยล้านบาท ที่มีชื่อลูกสาว พล.ต.อ.พัชรวาท เป็นเจ้าของอยู่ ว่า เมื่อหลายปีที่แล้ว ตนเคยสร้างศาลาไม้สักทองเล็ก โดยซื้อไม้สักทองถูกต้องตามกฏหมายทุกอย่าง มีใบรับประกัน รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดเป็นเงิน 200,000 กว่าบาท ดังนั้น จึงอยากถาม พล.ต.อ.พัชรวาท ว่ารีสอร์ตไม้สักทองสุดหรูของลูกสาว ซื้อมาอย่างถูกต้องหรือไม่ แล้วใช้เงินจากที่ไหนไปซื้อ เอาเงินก่อสร้างมาจากไหน และยังสงสัยว่า ทำไมถึงให้แค่นายตำรวจยศสูงเข้าพักเป็นแขกได้เท่านั้น ซึ่งเรื่องทั้งหมด พล.ต.อ.พัชรวาท คงรู้คำตอบดีว่าเรื่องจริงเป็นเช่นไร
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กล่าวปิดท้ายว่า ก่อนหน้านี้ ตนเคยพูดว่า ใครทำอะไรไว้กับตน ผลกรรมจะตามไปสนองคืน เวลานี้ นายสมัคร สุนทรเวช ที่เคยสั่งย้ายตนเองอย่างไม่มีเหตุผล ก็ป่วยหนักเกือบเอาชีวิตไม่รอด ต่อจากนี้ ต้องดู พล.ต.อ.พัชรวาท บ้าง ว่าจะได้รับผลกรรมอย่างไร โดยตอนนี้ คดีความต่างๆของตน หลุดพ้นหมดแล้ว ใช้ชีวิตสบายในช่วงเกษียณอายุ แต่การต่อสู้เรื่องคดีความ พล.ต.อ.พัชรวาท ยังเพิ่งเริ่มต้นชีวิตในวัยเกษียณ คงต้องวุ่นวายต่อไป