xs
xsm
sm
md
lg

3 พิธีกร “เคาะข่าวริมโขง” สับ “จอม เพชรประดับ-มติชน” สื่อขายตัวรับใช้ระบอบทักษิณ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เคาะข่าวริมโขง 3 พิธีกรคนเก่ง เปิดโต๊ะคุ้ยข่าว “ประพันธ์” สับ “จอม เพชรประดับ” สื่อขายตัวรับใช้ระบอบทักษิณ ด้าน “น้าชัช” จวกมติชนยุคอากู๋ บิ๊กบอสแกรมมี่บริหาร เป็นสื่อจอมบิดเบือน ชอบเขียนข่าวเชียร์ “นช.แม้ว” ขณะที่ “เจ๊ปอง” เปิดประเด็นเสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ให้เขมร - ซัด “มาร์ค” โง่กว่าฮุนเซน ยอมเจรจา-ปล่อยเขมรยึดพื้นที่ ทั้งที่ยังไม่ได้ปักปันเขตแดนชัดเจน ย้ำยิ่งเขมร ยื้อเวลาเจรจาเท่าไหร่ ยิ่งได้เปรียบกว่าไทยมากเท่านั้น ตบท้ายความเคลื่อนไหวคอกม้าร้อยล้าน “พัชรวาท” โผล่นั่งบอร์ดบริหาร แอบเอาเวลาราชการไปรับจ๊อบประชุมแลกค่าเหนื่อยครั้งละ 50,000 บาท


คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ “เคาะข่าวริมโขง”

รายการ “เคาะข่าวริมโขง” ออกอากาศทางช่องอีสานทีวี-ทีวีเพื่อคนอีสาน วันที่ 8 กันยายน มี นายประพันธ์ คูณมี น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก และนายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยวันนี้ได้มีการหยิบยกประเด็นข่าวที่น่าสนใจมาขุดคุ้ยและนำเสนอหลากหลายมุมมอง อาทิ กรณี นายจอม เพชรประดับ เปิดสายสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผ่านทางคลื่น 100.5 ของ อสมท. จนทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมเกี่ยวกับบทบาทการทำหน้าที่สื่อมวลชน หรือจะเป็นกรณี เขาพระวิหาร ที่มีการนำภาพถ่ายผ่านดาวเทียม มาโชว์ในรายการ เพื่อให้เห็นถึงแนวสันปันน้ำ เขตแดนไทย-กัมพูชา ได้ดีและชัดเจนยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ยังมีการหยิบยกกรณีความคืบหน้าคอกม้าร้อยล้านที่เกี่ยวข้องกับ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. และสุดท้ายเป็น กรณีแดงกัดแดง ที่หน้าที่ทำการพรรคเพื่อไทย

โดยช่วงแรกของรายการ น.ส.อัญชะลี หยิบยกกรณี นายจอม เพชรประดับ เปิดสายสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผ่านทางคลื่น 100.5 ของ อสมท. ว่า หลังจากเรื่องนี้เกิดขึ้น นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ถึงกับนั่งไม่ติดเก้าอี้ ที่ปล่อยให้สื่อของรัฐ มาเป็นกระบอกเสียงให้ผู้ที่เป็นศัตรูรัฐบาล ทั้งนี้ นายสาทิตย์ ได้จี้ให้ อสมท. รับผิดชอบเรื่องดังกล่าว ทำให้นายจอมต้องออกแถลงการณ์ขอยุติบทบาทในการทำหน้าที่จัดรายการในคลื่น 100.5 อีกทั้ง นายจอมยังระบุว่า การสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการทำหน้าที่สื่อสารมวลชน เพื่อนำข้อเท็จจริงรอบด้าน ไม่มีเจตนาทางการเมือง แต่อยากให้ผู้ฟังได้นำเอาข้อมูลการสัมภาษณ์ไปตัดสินเอาเองว่าสิ่งใดถูกหรือผิด โดยนายจอมยังอ้างว่าไม่มีเจตนาทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย แต่ที่ผ่านมาเวลาเกิดปัญหา ทุกฝ่ายจะโทษว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นตัวการ ดังนั้น ต้องการติดต่อขอสัมภาษณ์เพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้มีโอกาสชี้แจงบ้าง รวมทั้งต้องการให้ทุกฝ่ายหันหน้าหาทางปรองดองกัน

นายประพันธ์กล่าวเสริมกรณีนี้ว่า การที่นายจอมร่อนแถลงการณ์และออกมาระบุเช่นนี้ คิดว่าชาวบ้านโง่หรือไม่ และการที่นายจอมบอกว่าทำเช่นนี้เป็นการทำหน้าที่สื่อมวลชนและดำรงซึ่งความเป็นธรรม ตนขอถามนายจอมว่า ในเมื่อศาลตัดสินไปแล้วจะมาตั้งตัวเป็นศาลให้ความเป็นธรรมกับนักโทษหรือ ทำแบบนี้ตนขอประฌามว่าเป็นสื่อมวลชนจอมปลอม เพราะไม่มีจิตวิญญาณของการเป็นสื่อ ทำไมไม่รู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ทุกครั้งที่ได้ออกสื่อจะโจมตีศาลและกระบวนการยุติธรรมไทยตลอด จะมาอ้างว่าเหตุที่ไปสัมภาษณ์ เพื่อช่วยหาทางออกให้แก่วิกฤตของประเทศ ซึ่งตนอยากบอกว่า การทำเช่นนี้ถือเป็นการเพิ่มวิกฤตมากกว่า เนื่องจากการไปเป็นกระบอกเสียงให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ถือเป็นการสัมภาษณ์โจร สัมภาษณ์คนที่ทำร้ายประเทศ

นายประพันธ์กล่าวต่อว่า ตนได้มีโอกาสอ่านบทความของ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ที่เปรียบการทำหน้าที่ของโสเภณีว่าดีกว่าบทบาทสื่อมวลชนของนายจอม เพราะโสเภณีเวลาจะให้ความสุขกับแขกผู้ใช้บริการ ยังใส่ดูแลสุขภาพด้วยการสวมถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันเชื้อโรค แต่การทำหน้าที่สื่อของนายจอมไม่ได้ใส่ใจว่าส่วนรวมจะได้อะไรจากการสัมภาษณ์ครั้งนี้ ถือว่าขายตัวเพื่อช่วยให้คนคนหนึ่งให้ออกสื่อ

น.ส.อัญชะลี กล่าวว่า หลังจากที่นายจอมสัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้วเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่รุนแรง คอลัมน์วิหกเหินฟ้า ในหนังสือพิมพ์มติชน ได้เขียนเข้าข้างนายจอม พร้อมตั้งคำถามว่า การสัมภาษณ์ครั้งนี้ทำให้ทำเนียบรัฐบาลปั่นป่วนมากหรือ โดยประเด็นนี้ นายชัชวาลย์กล่าวต่อว่า ต้องยอมรับความจริงว่าสื่อบางคนในหนังสือพิมพ์มติชนมีความเช่นนี้ ซึ่งในความคิดตน รู้สึกว่าสื่อมวลชนไม่ต่างจากแพทย์ เพราะรู้ดีว่าอันไหนยาดี หรือยาพิษ รู้ว่าหากให้ยาชนิดนี้แล้วคนป่วยหรือคนไข้จะเป็นเช่นไร ดังนั้น นายจอมรู้ว่าตลอดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนเช่นไร และที่สำคัญ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ถูกศาลตัดสินแล้วว่ามีความผิดจากคดีใช้อำนาจไม่ชอบให้ได้มาซึ่งที่ดินรัชดาฯ การกระทำของนายจอม ถือว่าเข้าข่ายสื่อมวลชน 2 ประเภท คือ 1.แกล้งโง่เพื่อหวังผลประโยชน์ และ2.เปิดเผยว่ารับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ จริง

“หน้ากระดาษหรือหน้าจอของสื่อ ถือเป็นสิ่งมีค่ามาก เพราะต้องเอาไว้รับใช้ประชาชน ไม่ใช่คนกระทำผิด หนีคุก หนีคดีอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ โดยบางคนในมติชนชอบพยายามหากินผลประโยชน์กับคนๆนี้และพวกลิ้วล้อมาตลอด ดังนั้น จึงไม่แปลกใจว่าที่มติชนชอบบิดเบือนเนื้อหาเป็นเพราะเหตุผลใด อย่างกรณี ตี๋ ชิงชัย ที่มติชนลงภาพใหญ่ และกล่าวหาว่าพกพาระเบิดมาร่วมชุมนุม ทั้งที่หลังจากนั้น พิสูจน์แล้วและมีพยานยืนยันว่า เป็นพวงกุญแจ ไม่ใช่ระเบิด อยากถามว่าทำไมไม่ลงแก้ข่าวกรอบใหญ่ให้ ดังนั้น ถือว่าพยายามนำเสนอข้อมูลที่บิดเบือนความจริง” นายชัชวาลย์ กล่าว

นายชัชวาลย์กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ทำให้หนังสือพิมพ์มติชนกลายเป็นสื่อรับใช้ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ที่ตัวผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ อากู๋ ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม บิ๊กบอสสื่อเอนเตอร์เทนยักษ์ใหญ่อย่าง บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) ซึ่งอากู๋มีความสนิทสนมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่วนคำถามที่คอลัมน์วิหกเหินฟ้า ในหนังสือพิมพ์มติชน ออกมาค้านสังคมด้วยการบอกว่า หากนายจอม ไปสัมภาษณ์ นางอองซาน ซูจี หรือ นายโอซามา บิน ลาเดน จะมีใครวิพากษ์วิจารณ์หรือทวงติงเรื่องนี้หรือไม่ ตนขอระบุถึงกรณีนี้ว่า ต้องพิจารณาก่อนว่าคนที่จะสัมภาษณ์มีคุณค่ามากน้อยแค่ไหน ถ้าเป็นนางอองซาน ซูจี ถือเป็นหงส์ของประชาธิปไตย ก็มีคุณค่าในการนำเสนอ หรือจะเป็นนายอุซามะห์ บิน ลาดิน ก็ถือเป็นโจรที่ต่อสู้ในโลกอาหรับ มีวิธีและแนวทางเป็นของตนเอง แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีคุณค่าอะไร ทำธุรกิจโดยใช้อำนาจทางการเมือง แสวงหาผลประโยชน์เข้าตัวเองตลอด รวมทั้งมีพฤติกรรมเผาบ้านเผาเมือง

“การที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาเรียกร้องประชาธิปไตยและด่าทอการปฏิวัติ หากจะดูต้นตอเรื่องนี้ เหตุที่ทหารปฏิวัติรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะทุจริต คอรัปชัน โกงกินชาติบ้านเมือง อีกทั้งมีความพยายามจาบจวงเบื้องสูง ก่อนหน้าที่จะเกิดการปฏิวัติ 19 กันยาฯ ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ก็หาทางยึดอำนาจ ครองประเทศซะเอง แต่ดันผิดแผน ทหารรู้ก่อน จึงชิงปฏิวัติ เพื่อรักษาความสงบบ้านเมือง ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนเช่นไร พูดไม่ตรงความจริงสักอย่าง” นายชัชวาลย์ กล่าว

น.ส.อัญชะลี กล่าวว่า นอกจากเนื้อหาในหนังสือพิมพ์มติชนจะพยายามนำเสนอข่าวเข้าข้าง พ.ต.ท.ทักษิณและลิ่วล้อแล้ว ยังออกพ็อกเกตบุ๊กฉบับพิเศษ “คืนยะเยือก” ที่รวบรวมเรื่องราวคนสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่หลุดหายจากวงโคจรการเมืองหลังเหตุการณ์ปฏิวัติ 19 กันยาฯ อาทิ พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา หรือพล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ โดยเนื้อหาในหนังสือเน้นการพรรณนาความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นจากการปฏิวัติในประเทศไทย

นายชัชวาลย์กล่าวเสริมกรณีนี้ว่า ทางมติชนมีฝ่ายการตลาดอยู่แล้ว ซึ่งพ็อกเกตบุ๊กเล่มดังกล่าวมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายชัดเจนว่าเป็นคนที่นิยมชมชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่เหนือสิ่งอื่นใด หนังสือเล่มดังกล่าวไม่ได้มีไว้ขายอย่างเดียว แต่มีไว้เพื่อเปิดเผยเป็นเครื่องมือโจมตีให้เห็นความเลวร้ายของการปฏิวัติ โดยไม่ได้นำเสนอต้นตอที่ทำให้เกิดปฏิวัติแต่อย่างใด

ต่อจากนั้น ช่วงถัดมา น.ส.อัญชะลี ต่อสายถึงผู้ประสานงานพันธมิตรฯ จ.อุบลราชธานี กรณีที่จะมีการรวมตัวกันเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลขับไล่ทหารและประชาชนเขมรออกจากพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ของไทยว่า พันธมิตรฯ จ.อุบลราชธานี จะรวมกันไปสมทบกับคณะของนายวีระ สมความคิด แกนนำภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์ปราสาทพระวิหาร ในการเดินทางลงพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ทวงสิทธิ์ของคนไทยที่เป็นเจ้าของดินแดนดังกล่าว ในวันที่ 19 กันยายนที่จะถึงนี้ โดยถ้าหากรัฐบาลยังนิ่งเฉย ไม่ยอมดำเนินการใดๆ ทางพันธมิตรฯ จ.อุบลราชธานี ก็พร้อมจะเคลื่อนไหวเรียกร้องเรื่องดังกล่าวอย่างเข้มข้นต่อไป

นายประพันธ์กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า เมื่อรัฐบาลและทหารไม่ยอมทำหน้าที่ในการรักษาดินแดนของไทย ก็เป็นหน้าที่ของประชาชนที่จะต้องดำเนินการเรื่องนี้ โดยผู้ที่เกี่ยวข้องอีกคนที่ต้องรับผิดชอบ คือ นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่เมื่อคืน (7 ก.ย.) ให้สัมภาษณ์กับทางช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ถึงกรณีปราสาทเขาพระวิหาร และพื้นที่ 4.6 ตร.กม. โดยยังยืนในอุดมการณ์ในการรักษาดินแดนไทย รวมทั้งระบุว่า พื้นที่ดังกล่าวยังเป็นสิทธิของไทย

นายประพันธ์กล่าวว่า ตนรู้สึกเห็นใจนายกษิตที่ต้องเป็นตัวแทนรัฐบาลออกมาพูดเรื่องดังกล่าว แต่ปัญหาที่แท้จริงมันอยู่ที่ ในเมื่อระบุว่าไทยและกัมพูชากำลังมีการเจรจากันเรื่องเขตแดน ทำไมรัฐบาลไทยถึงปล่อยให้ทหารและประชาชนกัมพูชา มายึดครองพื้นที่ดังกล่าว ถ้าจะมีการเจรจาก็ต้องขับไล่ทหารและประชาชนกัมพูชาออกไป จนกว่าจะได้ข้อสรุปในการเจรจา และมีการปักปันเขตแดนอย่างชัดเจน การเจรจากับกัมพูชาด้วยวิธีนี้ถือว่าไม่ฉลาด ที่ปล่อยให้ทางกัมพูชาได้เปรียบ ซึ่งไม่มีประเทศไหนในโลกเขาทำกัน ที่ปล่อยให้ประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาอาศัยในดินแดนประเทศตัวเอง

นายชัชวาลย์กล่าวเสริมว่า การที่นายกษิตย้ำว่าอุดมการณ์ยังเหมือนเดิม ตนเชื่อที่นายกษิตพูด แต่ถ้าถามว่าความคิดนายกษิตเหมือนเดิมหรือไม่ ตนไม่แน่ใจ เพราะการที่รัฐบาลไทยยอมเจรจากับกัมพูชาถือว่าโง่กว่า เพราะพื้นที่ดังกล่าวเป็นของไทย เหตุใดจึงต้องไปเจรจาให้ประเทศอื่นเข้ามาทำประโยชน์ในพื้นที่ของตัวเอง โดยตนขอพูดแรงว่า สมเด็จฯ ฮุนเซน ฉลาดกว่า นายอภิสิทธิ์ และนายพรอำพง รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ก็ฉลาดกว่า นายกษิต ด้วย เนื่องจากการเจรจาไม่มีกรอบระยะเวลาว่าจะยุติเมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆ ทหารและประชาชนกัมพูชา เข้ายึดครองพื้นที่ดังกล่าวแล้ว ถือว่าทางกัมพูชารุกคืบ ได้เปรียบไทยเข้ามาเรื่อยๆ

“จริงอยู่ที่โลกไม่ได้สนับสนุนให้เกิดสงคราม หรือใช้ความรุนแรง ในการแก้ไขปัญหาด้วยกำลังการทหาร ทำให้เกิดการเสียเลือดเสียเนื้อ แต่การเจรจากับกัมพูชา ที่ยึดครองพื้นที่ไทยอยู่ ถือเป็นการเจรจาที่ไม่จบไม่สิ้น เสมือนเรามีบ้าน และมีเพื่อนบ้าน ถ้าเพื่อนบ้านรุกล้ำเข้ามาในเขตบ้านเรา เราก็ต้องบอกเขา ซึ่งหากเขาเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ก็ต้องยอมถอยออกมา ดังนั้น มันส่ออยู่แล้วว่าอีกฝ่ายมีเจตนาอย่างไร” นายชัชวาลย์กล่าว

ช่วงสุดท้าย น.ส.อัญชะลี กล่าวถึงกรณีคอกม้าร้อยล้านที่เกี่ยวพันกับ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ที่มีหุ้นส่วนร่วมกับนายตำรวจคนสนิท ว่า ทางบริษัท ไดนาสตี้ เซรามิค จำกัด (มหาชน) ได้ออกตัวรับเป็นเจ้าของคอกม้า “รุ่งโรจน์-รุ่งพัชร” แต่ก็ไม่พ้น พล.ต.อ.พัชรวาท เข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ดี เพราะได้ดำรงตำแหน่งในบอร์ดของบริษัทดังกล่าว โดยล่าสุด ได้สืบทราบมาว่า ทาง พล.ต.อ.พัชรวาท ได้ไปร่วมประชุมบอร์ดบริหารของบริษัท พร้อมรับเบี้ยประชุมครั้งละ 50,000 บาท เมื่อวันที่ 29 เมษายนที่ผ่านมา เวลา 15.30 น. ซึ่งเป็นเวลาราชการ ถือเป็นการเอาเวลาหลวงไปประกอบกิจส่วนตัว ดังนั้น เรื่องนี้ต้องติดตามต่อไปว่าจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่บีบคั้นให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปลด พล.ต.อ.พัชรวาท ออกหรือไม่ หลังที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดทางอาญา ขั้นร้ายแรง ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมพันธมิตรฯ ที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 ที่ พล.ต.อ.พัชรวาท เป็นหนึ่งในผู้บัญชาการจนทำให้เหตุรุนแรงดังกล่าวด้วย

น.ส.อัญชะลี กล่าวต่อว่า วันนี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้กล่าวถึงกรณีนี้ ว่า แม้ ป.ป.ช. จะชี้มูลความผิดบุคคลที่เกี่ยวข้องคดี 7 ตุลาฯ แต่ยังมีอีกหลายบุคคลที่เล็ดรอด ลอยนวลอยู่ แต่ได้ให้ทางทนายพันธมิตรฯ เดินหน้าฟ้องร้องทั้งทางแพ่งและทางอาญาต่อไปแล้ว นอกจากนี้ นายสนธิ ยังเรียกร้องให้ นายอภิสิทธิ์ ใช้ความกล้าหาญ ในการจัดการกับ พล.ต.อ.พัชรวาท ให้เด็ดขาด ซึ่งหลังจาก ป.ป.ช. ชี้มูลแล้ว โดยมารยาทต้องสั่งพักราชการ ไม่ใช่ดื้อแพ่ง ขอทำหน้าที่ต่อ อีกทั้ง นายสนธิ ยังฝากถามนายกรัฐมนตรีว่าจริงหรือไม่ ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เคยไปเจรจากับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อแลกเปลี่ยนให้ พล.ต.อ.พัชรวาท รั้งตำแหน่ง ผบ.ตร. จนถึงเวลาเกษียรณ เรื่องนี้ นายอภิสิทธิ์ ต้องเป็นผู้ตอบ

จากนั้น ปิดท้ายรายการ น.ส.อัญชะลี ได้หยิบยกกรณี แดงกัดแดง ที่นายอดิศราช ธรรมพิทักษ์ อายุ 53 ปี ผู้อำนวยการศูนย์เลือกตั้งพรรคเพื่อไทย เขต 1 จ.สุราษฎร์ธานี และบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ชนใต้ เดินทางเข้าแจ้งความต่อ พ.ต.ท.ภูมิยศ เหล็กกล้า พนักงานสอบสวน (สบ3) สน.บางรัก เพื่อให้ดำเนินคดีต่อ นายเมธี อมรวุฒิกุล นักแสดงดาวร้าย ที่ทำร้ายร่างกายขณะที่ไปทวงถามค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 1 จ.สุราษฎร์ธานี ที่พรรคเพื่อไทย ถนนพระรามที่ 4

นายชัชวาลย์ กล่าวต่อกรณีนี้ว่า ตนเห็นภาพแล้วรู้สึกสลดใจ ที่พอผลประโยชน์ไม่ลงตัวแล้วใช้กำลังตัดสินปัญหา ซึ่งดูจากในภาพ นายเมธี ใช้ถ้อยคำรุนแรง ด่าทอ นายอดิศราช และจบลงด้วยการทำร้ายร่างกาย ทั้งต่อยและตี โดยนายอดิศราช ไม่มีทางสู้ เพราะอายุมากกว่า อีกทั้งเป็นคนต่างจังหวัด ที่ต้องการมาทวงเงินที่จ่ายไปแล้วในการศึกเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขต 1 จ.สุราษฎร์ธานี ทั้งนี้ ไม่ได้มีผู้ใหญ่หรือผู้มีอำนาจคนใดในพรรคเพื่อไทยเหลียวแล เพราะเมื่อผลเลือกตั้งออกมาว่าแพ้ ก็ถือว่าหมดประโยชน์ จึงเชิดจ่ายเงินจำนวนดังกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น