“ปณิธาน” ปูดแผน “ทักษิณ” ระดมคนก่อม็อบใหญ่ 19 กันยาฯ ส่วนตัวเองส่อป้วนเปี้ยนชายแดน หวังเผด็จศึกก่อนตุลาฯ คาดมีแผนล้มประชุมอาเซียนหักหน้ารัฐบาลอีกรอบ สั่งเพิ่มกำลังเฝ้าทำเนียบฯ 3 กองร้อยรับมือเหตุร้าย ซัด “นช.แม้ว” เอาแต่ได้ไม่ยอมกลับรับโทษ แต่จะขอเจรจาให้ตัวเองและครอบครัวรอดอย่าเดียว
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ประเมินการเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มเสื้อแดง ว่าต้องจับตาในช่วงเดือน ก.ย.และ ต.ค.จะเป็นช่วงที่อ่อนไหวที่สุด จากประวัติศาสตร์แล้วจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองกันในช่วงนี้ เพราะเป็นช่วงที่มีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการ ซึ่งจะมีทั้งคนที่พอใจและไม่พอใจ เป็นช่วงที่งบประมาณเริ่มไหลลงพื้นที่จะเกิดแรงกระเพื่อมสูง
รวมทั้งกลุ่มองค์กรภาคประชาชนทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดง กลุ่มคนเดือนตุลาจะมีกิจกรรมเคลื่อนไหวกันมาก ขณะที่รัฐบาลเอง เมื่อผ่านการบริหารงานหลายเดือนความแตกต่างทางความคิดก็จะเริ่มมีมากขึ้น กลุ่มเสื้อแดงก็จะใช้จังหวะนี้สร้างความรุนแรง อาจจะล้มประชุมผู้นำกลุ่มประเทศอาเซียนเพราะคิดว่าครั้งที่แล้วทำสำเร็จ ครั้งนี้ก็ทำได้
ปูดเสื้อแดงระดมหลายหมื่นม็อบ 19 ก.ย.
“รัฐบาลได้รับข่าวว่าในวันที่ 19 ก.ย.จะมีการระดมผู้มาชุมนุมหลายหมื่นคน จากหลากหลายกลุ่มทั่วประเทศ ส่วนจะเคลื่อนไหวอย่างไรจะรู้ได้ล่วงหน้าก่อน 2 สัปดาห์ แต่รัฐบาลได้วางมาตรการเฝ้าระวังเป็นพิเศษ โดยเพิ่มกำลังทหารในการดูแล ทำเนียบรัฐบาลจาก 1 กองร้อย เป็น 3 กองร้อย และใช้แผนปฏิบัติการที่เคยเตรียมไว้ ในวันที่ 30 ส.ค.มาใช้รับมือกลุ่มผู้ชุมนุม”
นายปณิธานกล่าวต่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เข้าใจดีว่ารัฐบาลอ่อนไหวมากในช่วงนี้ เขาจึงพยายามสร้างแรงกระเพื่อมระดับสูง เห็นได้จากการใช้สื่อสมัยใหม่อย่างทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก หรือแทรกตัวเข้ามาในสื่อรัฐ ก็เป็นความตั้งใจที่จะจุดกระแสโจมตีรัฐบาล เพื่อเผด็จศึกในช่วงนี้ เพราะถ้าผ่านเดือน ก.ย.และ ต.ค.ไป บรรยากาศของประเทศจะเปลี่ยนไป เพราะเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นอยู่ในช่วง ตัววี ขาขึ้น ขณะที่ประชาชน ก็เข้าสู่เทศกาลฉลอง ท่องเที่ยวในช่วงปลายปีไม่มีใครสนใจการเมือง ขณะที่กระแสยุบสภาก็ปลุกไม่ขึ้น เพราะพรรคร่วมรัฐบาลไม่พร้อมที่จะเลือกตั้ง ประชาชนก็ไม่ต้องการเลือกตั้งใหม่
ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามจะเปิดการเจรจานั้น นายปณิธานกล่าวว่า เป็นการเดินยุทธวิธีที่หลากหลายของ พ.ต.ท.ทักษิณ สิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการจะเจรจามี 2 ข้อเท่านั้นก็คือคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท คดีของคนในครอบครัว แต่ในความเป็นจริงเป็นเรื่องยากที่จะเจรจา เพราะนายกฯ ก็ย้ำหลายครั้งว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องกลับมารับโทษ หรือมีแนวโน้มว่าจะยอมรับกระบวนการยุติธรรมก่อน ประตูการเจรจาจึงจะถูกเปิดออก
“ในหลายประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ อดีตผู้นำก็ต้องเข้ารับโทษก่อนแล้วหลังจากนั้นจะมีการกระบวนการสื่อสารเพื่อเปลี่ยนแปลงโทษได้ เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ใดๆ เลยก็ยาก พ.ต.ท.ทักษิณ อยากจะได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง อยากจะเอาทุกอย่าง โดยที่ไม่เสียอะไรเลย เหมือนสมัยที่เป็นนายกฯ ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ เพราะวันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้เป็นนายกฯ หากยังยื้ออยู่แบบนี้ แล้วโค่นล้มรัฐบาลไม่ได้ในช่วง ต.ค. โอกาสของเขาจะน้อยลงมาก เพราะสภาพเศรษฐกิจสังคมจะเปลี่ยนแปลงไป ในทางที่ดีขึ้น เขาก็จะกลายเป็นอดีตนายกฯ คนหนึ่งที่ร่อนเร่อยู่ในต่างประเทศและเคลื่อนไหวทางการเมืองลำบากมากขึ้น หลังจากนี้ยุทธวิธีของเขาอาจจะปรับมาเคลื่อนไหวตามชายแดน เพื่อให้ใกล้ประเทศไทยมากขึ้นเพื่อกระตุ้นมวลชนในประเทศ โดยพร้อมที่จะเข้าประเทศไทยได้ทุกเมื่อ”
ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถเจาะเข้ามาที่สื่อของรัฐ ทั้งที่รัฐเป็นเจ้าของ เครือข่ายนั้น นายปณิธาน กล่าวว่า เป็นการพิสูจน์ว่ารัฐบาลนี้เปิดกว้างให้กับคน ทุกกลุ่มได้แสดงความคิดเห็น แบบไม่มีการปิดกั้น อย่างไรก็ตามก็มีคำถามตามมาว่า คนที่มีคดีติดตัวนั้นมีสิทธิจะเข้าถึงสื่อของรัฐได้มากน้อยแค่ไหน สำหรับที่นายจอม เพชรประดับ ประกาศยุติการทำรายการก็เป็นการแสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่ทำ ลงไป ไม่ใช่เกิดจากการกดดันหรือแทรกแซงจากรัฐบาลแต่อย่างใด แต่หลังจากนี้ก็เชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะมีเทคนิคใหม่ๆ ในการสื่อสารกับประชาชน เพราะมีคนที่แนะนำให้ พ.ต.ท.ทักษิณใช้สื่อใหม่จำนวนมาก