เคาะข่าวริมโขง : จับตา "แดงถ่อย" เคลื่อนไหว "19 กันยาฯ" มีกลิ่นปฏิวัติโชย "นช.แม้ว" สั่งสมุนก่อเหตุรุนแรง เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง ชี้ ถึงประเทศตกอับ บ้านเมืองเต็มไปด้วยนักการเมืองชั่ว-ทหารหิวเงิน แนะเช็ค "นช.แม้ว" ทุกฝีก้าว หวังมีแผนชั่วคืนอำนาจ-ทวงเงินที่ถูกยึด
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ “เคาะข่าวริมโขง”
รายการ “เคาะข่าวริมโขง” ออกอากาศทางช่องอีสานทีวี-ทีวีเพื่อคนอีสาน วันที่ 11 กันยายน มี นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย เป็นผู้ดำเนินรายการหลัก ส่วนพิธีกรรับเชิญที่มาร่วมวิเคราะห์ข่าวสารบ้านเมืองที่น่าสนใจวันนี้ ได้แก่ น.ส.กมลพร วรกุล นายอมรเทพ อมรรัตนานนท์ และนายสำราญ รอดเพชร
สำหรับประเด็นข่าวที่ถูกหยิบยกมาพูดถึง คือ กรณี ศาลอาญา อ่านคำพิพากษาคดี นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หมิ่นประมาทกล่าวหา นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย เป็นคอมมิวนิสต์ ในระหว่างการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ปี 2548
หรือจะเป็น กรณี จับตาความเคลื่อนไหวกลุ่มคนเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่ ซึ่งมีแนวโน้มส่อเค้าความรุนแรง และสุดท้าย กรณี พันธมิตรฯ นัดรวมตัวกัน เพื่อปกป้องพื้นที่ 4.6 ตร.กม. รอบปราสาทเขาพระวิหาร
เริ่มรายการด้วย น.ส.กมลพร กล่าวถึงกรณี วันนี้ ศาลอาญา อ่านคำพิพากษาคดี นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หมิ่นประมาทกล่าวหา นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมาตั้งแต่ วันที่ 25 พฤศจิกายน ปี 2548 ในระหว่างการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ซึ่ง นายสนธิ ได้กล่าวหาพาดพิงถึง นายภูมิธรรม ว่าเป็นคอมมิวนิสต์
น.ส.กมลพร กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาสั่งจำคุก นายสนธิ เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ส่วน บริษัท ไทยเดย์ฯ จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลที่ร่วมในการกระทำความผิด ให้ปรับเงิน 200,000 บาท รวมทั้งให้ทำลายวีซีดี ดีวีดี รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ครั้งที่ 10 และนสพ.ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 26-28 พฤศจิกายน ปี 2548 จากนั้นล่าสุด วันนี้ ศาลอุทธรณ์ได้พิเคราะห์คดีดังกล่าวและเห็นว่า จำเลยที่ 1 บริษัท ไทยเดย์ฯ และจำเลยที่ 5 นายสนธิ มีความผิดจริง ตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 238 ฐานหมิ่นประมาท แต่เป็นการกระทำผิดในการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์เพียงครั้งเดียว ดังนั้น จึงเห็นควรลดโทษจำคุก นายสนธิ จาก 2 ปี เหลือ 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ส่วน บริษัท ไทยเดย์ฯ ยังปรับจำนวน 200,000 บาท เช่นเดิม โดยล่าสุด นายสนธิ ได้รับการประกันตัวแล้ว ด้วยวงเงิน 200,000 บาท พร้อมกล่าวว่า จะขอสู้คดีต่อไป
นายสำราญ กล่าวต่อว่า คดีนี้ยังถือว่าไม่สิ้นสุด สามารถต่อสู้ตามกระบวนการทางกฏหมายได้ต่อ ซึ่งตนเชื่อว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นายสนธิ จะยืนหยัดต่อสู้คดีนี้เพื่อความถูกต้องแน่นอน และตนหวังว่ากระบวนการยุติธรรมไทยจะมีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่พึ่งให้แก่คนทำความดีเพื่อบ้านเมือง เพราะที่ผ่านมา นายสนธิ ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และชาติบ้านเมือง ผิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ยอมรับในกระบวนการยุติธรรมไทย ไม่หนำซ้ำยังชอบโจมตี ให้ร้าย หาว่ากลั่นแกล้งสารพัด
นายอมรเทพ กล่าวเสริมว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตนคิดว่า นายสนธิ ไม่หนีไปไหนแน่นอน ไม่เหมือนกับนักการเมืองบางคน ที่ทำผิดแต่ไม่ยอมรับ พยายามหลบหนีสิ่งที่ตัวเองกระทำไว้ ซึ่งขณะนี้ ตนได้ข่าวมาว่า นักการเมืองหลายคนที่ส่อเค้าว่าจะติดคุกได้พยายามหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว แต่คนที่จับตามองมากที่สุด คือ นายเนวิน ชิดชอบ ที่เกี่ยวพันกับทุจริตการจัดซื้อกล้ายาง ทั้งนี้ ต้องคอยดูว่า นายเนวิน จะหนีหรือไม่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ออกมายันยันว่า จะไม่ไปไหน และกล้าพอจะยอมรับคำตัดสิน ซึ่งตนได้ข่าวเกี่ยวกับ นายเนวิน มาว่าคดีทุจริตจัดซื้อกล้ายาง จะยอมติดคุก 3-6 เดือน โดยจัดหาที่อยู่ในคุกไว้ที่บ้านทรงไทย ซึ่งนักโทษกิตติมศักดิ์เป็นผู้สร้างไว้ ดังนั้น ชีวิตความเป็นอยู่ในคุก จึงไม่น่าจะลำบากมากนัก ส่วนเหตุผลที่ยอมติดคุก ก็เพื่อรอเวลาการขอพระราชอภัยโทษ จะได้ไม่หลบหนีออกนอกประเทศและไม่มีวันได้กลับเหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายรักของ นายเนวิน
นายชัชวาลย์ กล่าวต่อว่า หลังจากที่พี่น้องพันธมิตรฯ ทราบข่าวคำพิพากษาของศาล ได้ต่างรู้สึกเป็นห่วง นายสนธิ เป็นอย่างมาก โดยส่วนใหญ่โทรมาตัดพ้อว่า ทำไมคนดีต่อสู้เพื่อปกป้องสถาบันและบ้านเมืองถึงถูกกระทำเช่นนี้ โดยส่วนตัวแล้ว ในความคิดตน ดูจากการต่อสู้ นายสนธิ มาตั้งแต่ปี 2548 ที่ออกมายืนต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง โดยสิ่งที่ นายสนธิ ทำ แตกต่างกับสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำ โดยสิ้นเชิง เพราะ นายสนธิ สู้เพื่อปกป้องสถาบัน แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ สู้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง นายสนธิ สู้เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมไทยมีความศักดิ์สิทธิ์ ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ สู้เพื่อให้ตัวเองรอดพ้นจากความผิด อีกทั้งยังกล่าวโจมตีศาลเสมอ พฤติกรรมมันต่างกันโดยสิ้นเชิง
นายชัชวาลย์ กล่าวต่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ขี้ขลาด ไม่กล้ายอมรับความผิดที่ก่อไว้ รวมทั้งไม่ยอมรับคำตัดสินของศาล โดยกล่าวหาว่าถูกกลั่นแกล้ง รังแก ไม่ยอมกลับมารับโทษ โดยวันนี้ หลังจากฟังคำพิพากษา นายสนธิ พร้อมเดินหน้าสู้ความจริง หากถึงวันที่ศาลตัดสินให้จำคุกจริง ก็จะถือว่าเป็นการติดคุกให้ชาติบ้านเมือง เพื่อเคารพความศักดิ์สิทธิ์ของศาลไทย ในเวลานี้ นายสนธิ ไม่ได้ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง แต่มีคำว่า คุกเป็นคุกด้วย ถือว่าเป็นคนหนึ่งที่ตนนับถือในความมีหัวใจนักต่อสู้อย่างแท้จริง ยอมขายทรัพย์สินส่วนตัว ในการนำเงินมาต่อสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และคนโกงชาติบ้านเมือง
น.ส.กมลพร กล่าวเปิดประเด็นใหม่ว่า ถ้าจะให้มองข้ามช็อต หาก นายสนธิ ต้องถูกจำคุกจริง สถานการณ์บ้านเมืองและมวลชนยังลุกฮือทำให้เกิดความรุนแรงหรือไม่ นายสำราญ กล่าวเสริมประเด็นนี้ ว่า ตนเชื่อว่า หากถึงวันนั้น มวลชนที่ออกมา ไม่ใช่พลังในแง่ลบ แต่เป็นพลังบริสุทธิ์ของประชาชน และเชื่อว่าพันธมิตรฯ จะไม่มีวันแตกแยกแน่นอน จะต้องหลอมรวมกันให้แน่นแฟ้นกว่าเดิม โดยถ้าหากศาลตัดสินให้จำคุก สิ่งที่ นายสนธิ จะบอกแก่พี่น้องพันธมิตรฯ ทุกคน คือ ให้ยอมรับในคำตัดสิน และเดินหน้าปกป้องสถาบัน รวมทั้งทำเพื่อบ้านเมืองต่อไป
นายชัชวาลย์ กล่าวเสริมว่า สิ่งที่ชัดเจนเรื่องการต่อสู้ คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีในสิ่งที่ นายสนธิ มี โดยที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้เงินซื้อนายตำรวจ ซื้อเจ้าหน้าที่อัยการ ซื้อเจ้าหน้าที่ศาลบางส่วน ทำให้กระบวนการยุติธรรมไทยอ่อนด้านความศักดิ์สิทธิ์ แม้จะเป็นแค่เจ้าหน้าที่บางคน แต่ก็ถือว่ามีส่วนสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนให้คดีไปทางไหนก็ได้ ผิดกับ นายสนธิ ที่ทราบเรื่องการใช้เงินซื้อเจ้าหน้าที่รัฐมาตลอด แต่ก็ได้บอกว่า ไม่เป็นไร เงินอาจซื้อเจ้าหน้าที่รัฐบางคนได้ แต่ในกระบวนการยุติธรรมทุกอย่างต้องทำให้ดีที่สุด ถ้าตัดสินให้จำคุกจริง ก็ต้องยอมรับคำตัดสิน
ช่วงต่อมา ได้มีการหยิบยกกรณี จับตาความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่จะนัดชุมนุมใหญ่ ในวันที่ 19 กันยายนนี้ โดยมีแนวโน้มส่อเค้าว่าจะเกิดเหตุรุนแรงจนนำไปสู่การปฏิวัติ โดยประเด็นนี้ นายอมรเทพ กล่าวว่า ตนได้ยินข่าวเรื่องนี้มาว่า ให้จับตาดูวันที่ 19 กันยายนนี้ให้ดี เพราะจะมีทหารบางส่วนและตำรวจใส่เกียร์ว่าง ปล่อยให้กลุ่มคนเสื้อแดง ก่อเหตุรุนแรง จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
นายชัชวาลย์ กล่าวเสริมกรณีนี้ ว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ได้ออกมาเตือน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่จะเดินทางไปประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ที่ประเทศสหรัฐฯ ว่าอาจจะไม่ได้กลับเข้าประเทศอีก หลังวันที่ 19 กันยายนนี้ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
นายสำราญ กล่าวเสริมกรณีนี้ ว่า เป้าหมายสูงสุดของกลุ่มคนเสื้อแดง คือ การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล โดยยุทธวิธีกำลังคนไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ ที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะใช้ขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่จะมีพวกหัวรุนแรงบางกลุ่ม ที่ถูกฝึกการใช้อาวุธจากต่างจังหวัด มาก่อเหตุให้เกิดความรุนแรง
นายอมรเทพ กล่าวเสริมกรณีนี้ ว่า มีโอกาสสูงมาก ที่วันที่ 19 กันยายนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องดำเนินการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เพราะเห็นแล้วว่าเวลานี้ จะไปต่อสู้หรือฟาดฟันในสภาไม่ได้ อีกทั้ง พรรค ส.ส.เพื่อไทย ก็แตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่า ทำให้การต่อสู้ทางการเมืองอ่อนแรง ดังนั้น สิ่งที่จะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมามีอำนาจในประเทศไทยได้ คือ การทำรัฐประหาร โดยปะทุสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรง และควบคุมยาก ซึ่งต้องดูว่า ตอนนี้ใครเป็นขุนพลในการคุมกองกำลังของ พ.ต.ท.ทักษิณ
น.ส.กมลพร กล่าวว่า ดูจากสัญญาณจาก นายจักรภพ ที่ออกตามสื่อต่างๆ จะเห็นได้ว่ามีความพยายามให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจริง แต่ถ้าหากดูจากโผโยกย้ายทหาร จะเห็นว่า เป็นพรรคพ้องของกลุ่มสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นกลุ่มอำนาจใหม่ ดังนั้น ถ้าหากจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ก็คงไม่ใช่ทหารที่จะทำ
นายอมรเทพ กล่าวแย้งว่า เรื่องนี้ประมาทไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าทหารเป็นคนของกลุ่มเสื้อน้ำเงินอยู่จำนวนเท่าไหร่ เพราะอย่าลืมว่า ปัจจัยเรื่องเงินสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่าง และเท่าที่ตนทราบมา มีการเชื่อมสัมพันธ์ลับๆ ระหว่างทหารบางคนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาโดยตลอด ซึ่งถ้าหากเกิดความรุนแรงวันที่ 19 กันยายานี้ ก็ไม่แน่ว่าจะมีทหารบางกลุ่ม ออกมากระทำอะไรบางอย่างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยอาจยึดอำนาจเอาไว้เอง
นายสำราญ กล่าวแย้งว่า แต่ตนกลับคิดว่า ทหารยุคนี้ ไม่ทำการปฏิวัติอีก เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้น คงทำไปนานแล้ว โดยประวัติศาสตร์การเมืองไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีการทำปฏิวัติมาแล้วถึง 22 ครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนที่ทำให้บ้านเมืองสงบได้จริง สำหรับตนแล้ว บ้านเมืองเวลานี้ถือว่าเป็นสีช้ำเลือดช้ำหนอง ถ้ามีการปฏิวัติที่ทำให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าได้ ประเทศไทยมีความสงบร่มเย็น ตนก็อยากให้มีการปฏิวัติ แต่มันคงเป็นได้แค่ความฝัน ไม่มีทางเป็นความจริง ทั้งนี้ ต้องถือว่าบ้านเมืองเราเวลานี้ อยู่กันอย่างยากลำบาก
นายอมรเทพ กล่าวว่า ตนคิดว่าโอกาสจะเกิดการปฏิวัติมีสูง เพราะตอนนี้ มีนักการเมืองจำนวนไม่น้อยติดบ่วงเรื่องคดีความที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต คอรัปชัน ดังนั้น เมื่อนักการเมืองเหล่านี้ เห็นว่าทางที่กำลังจะเดินไปต้องพบเจอกับทางตัน ส่วนทางทหารก็ถูกผลักให้ขาข้างหนึ่งไปอยู่ในคุก เพราะรับใช้และเกื้อหนุนนักการเมือง ฉะนั้น ตนจึงเห็นว่าปฏิวัติไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
นายสำราญ กล่าวเห็นด้วยกรณีว่า บ้านเมืองพบกับความยากลำบากจริง นักการเมืองและทหารบางกลุ่มก็ติดอยู่กับวังวนเดิม ส่วนทางรัฐบาลชุดนี้ ก็พอไปได้ต่อ เพราะนายกรัฐมนตรีดี แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่า จะยื้อเวลาบริหารประเทศได้อีกไม่นาน น่าจะถึงช่วงสิ้นปี แต่คงไปไกลกว่านี้ไม่ได้ โดยสิ่งที่น่าจับตามอง คือ การเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จะดำเนินการด้วยแผนต่างๆ ทำให้กลับมามีอำนาจ พร้อมทั้งทวงเอาเงินที่ถูกยึดไปคืน ทุกฝ่ายต้องเฝ้าระวัง อย่าประมาทกับสถานการณ์ที่ล่อแหลมเด็ดขาด
ช่วงสุดท้ายของรายการ ได้หยิบยกกรณี พันธมิตรฯ รวมตัวกันเพื่อปกป้องพื้นที่ 4.6 ตร.กม. รอบปราสาทเขาพระวิหาร โดย นายสำราญ กล่าวว่า ตนรู้สึกเป็นห่วงสถานการณ์ที่พันธมิตรฯ จะเดินทางลงพื้นที่ไปปกป้องพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ในวันที่ 19 กันยายนนี้ แต่ก็เข้าในเหตุผลของ นายวีระ สมความคิด ที่เห็นว่า หากปล่อยเรื่องดังกล่าวให้ลุล่วงไปมากกว่านี้ ไทยอาจเสียพื้นที่ดังกล่าวให้แก่กัมพูชาได้ แต่ถึงอย่างไร ก็ต้องคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญ เพราะผู้ที่ลงพื้นที่ไปด้วยมือเปล่า ไม่มีอาวุธใดๆ
นายอมรเทพ กล่าวเสริมกรณีนี้ ว่า ตนเห็นด้วยที่ให้คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก เพราะกัมพูชาใช้ทหารเขมรแดงที่มีความเชี่ยวชาญด้านการรบตรึงกำลังอยู่บริเวณปราสาทเขาพระวิหาร ดังนั้น จึงอยากฝากพี่น้องพันธมิตรฯ ทุกคนที่จะเดินทางไปร่วมลงพื้นที่ ต้องตั้งมั่นอยู่ในความสงบ เพราะพันธมิตรฯ ไม่ได้ต้องการไปรบหรือต่อสู้กับทหารกัมพูชา แต่ไปเพื่อกดดันให้รัฐบาลและกองทัพ ออกมาต่อสู้เอาแผ่นดินของไทยคืน
น.ส.กมลพร กล่าวฝากปิดท้ายรายการถึงพันธมิตรฯ หัวหินที่จะไปร่วมลงพื้นที่ครั้งนี้ ว่า ให้สำรองที่นั่งรถได้ที่เบอร์ 085-970-0557
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ “เคาะข่าวริมโขง”
รายการ “เคาะข่าวริมโขง” ออกอากาศทางช่องอีสานทีวี-ทีวีเพื่อคนอีสาน วันที่ 11 กันยายน มี นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย เป็นผู้ดำเนินรายการหลัก ส่วนพิธีกรรับเชิญที่มาร่วมวิเคราะห์ข่าวสารบ้านเมืองที่น่าสนใจวันนี้ ได้แก่ น.ส.กมลพร วรกุล นายอมรเทพ อมรรัตนานนท์ และนายสำราญ รอดเพชร
สำหรับประเด็นข่าวที่ถูกหยิบยกมาพูดถึง คือ กรณี ศาลอาญา อ่านคำพิพากษาคดี นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หมิ่นประมาทกล่าวหา นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย เป็นคอมมิวนิสต์ ในระหว่างการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ปี 2548
หรือจะเป็น กรณี จับตาความเคลื่อนไหวกลุ่มคนเสื้อแดงนัดชุมนุมใหญ่ ซึ่งมีแนวโน้มส่อเค้าความรุนแรง และสุดท้าย กรณี พันธมิตรฯ นัดรวมตัวกัน เพื่อปกป้องพื้นที่ 4.6 ตร.กม. รอบปราสาทเขาพระวิหาร
เริ่มรายการด้วย น.ส.กมลพร กล่าวถึงกรณี วันนี้ ศาลอาญา อ่านคำพิพากษาคดี นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หมิ่นประมาทกล่าวหา นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย ว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นมาตั้งแต่ วันที่ 25 พฤศจิกายน ปี 2548 ในระหว่างการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ซึ่ง นายสนธิ ได้กล่าวหาพาดพิงถึง นายภูมิธรรม ว่าเป็นคอมมิวนิสต์
น.ส.กมลพร กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้ คดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาสั่งจำคุก นายสนธิ เป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา ส่วน บริษัท ไทยเดย์ฯ จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลที่ร่วมในการกระทำความผิด ให้ปรับเงิน 200,000 บาท รวมทั้งให้ทำลายวีซีดี ดีวีดี รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ครั้งที่ 10 และนสพ.ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 26-28 พฤศจิกายน ปี 2548 จากนั้นล่าสุด วันนี้ ศาลอุทธรณ์ได้พิเคราะห์คดีดังกล่าวและเห็นว่า จำเลยที่ 1 บริษัท ไทยเดย์ฯ และจำเลยที่ 5 นายสนธิ มีความผิดจริง ตามประมวลกฎหมายอาญา ม. 238 ฐานหมิ่นประมาท แต่เป็นการกระทำผิดในการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์เพียงครั้งเดียว ดังนั้น จึงเห็นควรลดโทษจำคุก นายสนธิ จาก 2 ปี เหลือ 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา ส่วน บริษัท ไทยเดย์ฯ ยังปรับจำนวน 200,000 บาท เช่นเดิม โดยล่าสุด นายสนธิ ได้รับการประกันตัวแล้ว ด้วยวงเงิน 200,000 บาท พร้อมกล่าวว่า จะขอสู้คดีต่อไป
นายสำราญ กล่าวต่อว่า คดีนี้ยังถือว่าไม่สิ้นสุด สามารถต่อสู้ตามกระบวนการทางกฏหมายได้ต่อ ซึ่งตนเชื่อว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น นายสนธิ จะยืนหยัดต่อสู้คดีนี้เพื่อความถูกต้องแน่นอน และตนหวังว่ากระบวนการยุติธรรมไทยจะมีความศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่พึ่งให้แก่คนทำความดีเพื่อบ้านเมือง เพราะที่ผ่านมา นายสนธิ ทำทุกอย่างเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ และชาติบ้านเมือง ผิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ยอมรับในกระบวนการยุติธรรมไทย ไม่หนำซ้ำยังชอบโจมตี ให้ร้าย หาว่ากลั่นแกล้งสารพัด
นายอมรเทพ กล่าวเสริมว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตนคิดว่า นายสนธิ ไม่หนีไปไหนแน่นอน ไม่เหมือนกับนักการเมืองบางคน ที่ทำผิดแต่ไม่ยอมรับ พยายามหลบหนีสิ่งที่ตัวเองกระทำไว้ ซึ่งขณะนี้ ตนได้ข่าวมาว่า นักการเมืองหลายคนที่ส่อเค้าว่าจะติดคุกได้พยายามหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว แต่คนที่จับตามองมากที่สุด คือ นายเนวิน ชิดชอบ ที่เกี่ยวพันกับทุจริตการจัดซื้อกล้ายาง ทั้งนี้ ต้องคอยดูว่า นายเนวิน จะหนีหรือไม่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ ออกมายันยันว่า จะไม่ไปไหน และกล้าพอจะยอมรับคำตัดสิน ซึ่งตนได้ข่าวเกี่ยวกับ นายเนวิน มาว่าคดีทุจริตจัดซื้อกล้ายาง จะยอมติดคุก 3-6 เดือน โดยจัดหาที่อยู่ในคุกไว้ที่บ้านทรงไทย ซึ่งนักโทษกิตติมศักดิ์เป็นผู้สร้างไว้ ดังนั้น ชีวิตความเป็นอยู่ในคุก จึงไม่น่าจะลำบากมากนัก ส่วนเหตุผลที่ยอมติดคุก ก็เพื่อรอเวลาการขอพระราชอภัยโทษ จะได้ไม่หลบหนีออกนอกประเทศและไม่มีวันได้กลับเหมือน พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายรักของ นายเนวิน
นายชัชวาลย์ กล่าวต่อว่า หลังจากที่พี่น้องพันธมิตรฯ ทราบข่าวคำพิพากษาของศาล ได้ต่างรู้สึกเป็นห่วง นายสนธิ เป็นอย่างมาก โดยส่วนใหญ่โทรมาตัดพ้อว่า ทำไมคนดีต่อสู้เพื่อปกป้องสถาบันและบ้านเมืองถึงถูกกระทำเช่นนี้ โดยส่วนตัวแล้ว ในความคิดตน ดูจากการต่อสู้ นายสนธิ มาตั้งแต่ปี 2548 ที่ออกมายืนต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง โดยสิ่งที่ นายสนธิ ทำ แตกต่างกับสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำ โดยสิ้นเชิง เพราะ นายสนธิ สู้เพื่อปกป้องสถาบัน แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ สู้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง นายสนธิ สู้เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมไทยมีความศักดิ์สิทธิ์ ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ สู้เพื่อให้ตัวเองรอดพ้นจากความผิด อีกทั้งยังกล่าวโจมตีศาลเสมอ พฤติกรรมมันต่างกันโดยสิ้นเชิง
นายชัชวาลย์ กล่าวต่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ขี้ขลาด ไม่กล้ายอมรับความผิดที่ก่อไว้ รวมทั้งไม่ยอมรับคำตัดสินของศาล โดยกล่าวหาว่าถูกกลั่นแกล้ง รังแก ไม่ยอมกลับมารับโทษ โดยวันนี้ หลังจากฟังคำพิพากษา นายสนธิ พร้อมเดินหน้าสู้ความจริง หากถึงวันที่ศาลตัดสินให้จำคุกจริง ก็จะถือว่าเป็นการติดคุกให้ชาติบ้านเมือง เพื่อเคารพความศักดิ์สิทธิ์ของศาลไทย ในเวลานี้ นายสนธิ ไม่ได้ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง แต่มีคำว่า คุกเป็นคุกด้วย ถือว่าเป็นคนหนึ่งที่ตนนับถือในความมีหัวใจนักต่อสู้อย่างแท้จริง ยอมขายทรัพย์สินส่วนตัว ในการนำเงินมาต่อสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ และคนโกงชาติบ้านเมือง
น.ส.กมลพร กล่าวเปิดประเด็นใหม่ว่า ถ้าจะให้มองข้ามช็อต หาก นายสนธิ ต้องถูกจำคุกจริง สถานการณ์บ้านเมืองและมวลชนยังลุกฮือทำให้เกิดความรุนแรงหรือไม่ นายสำราญ กล่าวเสริมประเด็นนี้ ว่า ตนเชื่อว่า หากถึงวันนั้น มวลชนที่ออกมา ไม่ใช่พลังในแง่ลบ แต่เป็นพลังบริสุทธิ์ของประชาชน และเชื่อว่าพันธมิตรฯ จะไม่มีวันแตกแยกแน่นอน จะต้องหลอมรวมกันให้แน่นแฟ้นกว่าเดิม โดยถ้าหากศาลตัดสินให้จำคุก สิ่งที่ นายสนธิ จะบอกแก่พี่น้องพันธมิตรฯ ทุกคน คือ ให้ยอมรับในคำตัดสิน และเดินหน้าปกป้องสถาบัน รวมทั้งทำเพื่อบ้านเมืองต่อไป
นายชัชวาลย์ กล่าวเสริมว่า สิ่งที่ชัดเจนเรื่องการต่อสู้ คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีในสิ่งที่ นายสนธิ มี โดยที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้เงินซื้อนายตำรวจ ซื้อเจ้าหน้าที่อัยการ ซื้อเจ้าหน้าที่ศาลบางส่วน ทำให้กระบวนการยุติธรรมไทยอ่อนด้านความศักดิ์สิทธิ์ แม้จะเป็นแค่เจ้าหน้าที่บางคน แต่ก็ถือว่ามีส่วนสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนให้คดีไปทางไหนก็ได้ ผิดกับ นายสนธิ ที่ทราบเรื่องการใช้เงินซื้อเจ้าหน้าที่รัฐมาตลอด แต่ก็ได้บอกว่า ไม่เป็นไร เงินอาจซื้อเจ้าหน้าที่รัฐบางคนได้ แต่ในกระบวนการยุติธรรมทุกอย่างต้องทำให้ดีที่สุด ถ้าตัดสินให้จำคุกจริง ก็ต้องยอมรับคำตัดสิน
ช่วงต่อมา ได้มีการหยิบยกกรณี จับตาความเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่จะนัดชุมนุมใหญ่ ในวันที่ 19 กันยายนนี้ โดยมีแนวโน้มส่อเค้าว่าจะเกิดเหตุรุนแรงจนนำไปสู่การปฏิวัติ โดยประเด็นนี้ นายอมรเทพ กล่าวว่า ตนได้ยินข่าวเรื่องนี้มาว่า ให้จับตาดูวันที่ 19 กันยายนนี้ให้ดี เพราะจะมีทหารบางส่วนและตำรวจใส่เกียร์ว่าง ปล่อยให้กลุ่มคนเสื้อแดง ก่อเหตุรุนแรง จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
นายชัชวาลย์ กล่าวเสริมกรณีนี้ ว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ได้ออกมาเตือน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่จะเดินทางไปประชุมสมัชชาสหประชาชาติ ที่ประเทศสหรัฐฯ ว่าอาจจะไม่ได้กลับเข้าประเทศอีก หลังวันที่ 19 กันยายนนี้ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
นายสำราญ กล่าวเสริมกรณีนี้ ว่า เป้าหมายสูงสุดของกลุ่มคนเสื้อแดง คือ การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล โดยยุทธวิธีกำลังคนไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ ที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะใช้ขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่จะมีพวกหัวรุนแรงบางกลุ่ม ที่ถูกฝึกการใช้อาวุธจากต่างจังหวัด มาก่อเหตุให้เกิดความรุนแรง
นายอมรเทพ กล่าวเสริมกรณีนี้ ว่า มีโอกาสสูงมาก ที่วันที่ 19 กันยายนนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องดำเนินการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เพราะเห็นแล้วว่าเวลานี้ จะไปต่อสู้หรือฟาดฟันในสภาไม่ได้ อีกทั้ง พรรค ส.ส.เพื่อไทย ก็แตกแยกเป็นก๊กเป็นเหล่า ทำให้การต่อสู้ทางการเมืองอ่อนแรง ดังนั้น สิ่งที่จะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมามีอำนาจในประเทศไทยได้ คือ การทำรัฐประหาร โดยปะทุสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรง และควบคุมยาก ซึ่งต้องดูว่า ตอนนี้ใครเป็นขุนพลในการคุมกองกำลังของ พ.ต.ท.ทักษิณ
น.ส.กมลพร กล่าวว่า ดูจากสัญญาณจาก นายจักรภพ ที่ออกตามสื่อต่างๆ จะเห็นได้ว่ามีความพยายามให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองจริง แต่ถ้าหากดูจากโผโยกย้ายทหาร จะเห็นว่า เป็นพรรคพ้องของกลุ่มสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นกลุ่มอำนาจใหม่ ดังนั้น ถ้าหากจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ก็คงไม่ใช่ทหารที่จะทำ
นายอมรเทพ กล่าวแย้งว่า เรื่องนี้ประมาทไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าทหารเป็นคนของกลุ่มเสื้อน้ำเงินอยู่จำนวนเท่าไหร่ เพราะอย่าลืมว่า ปัจจัยเรื่องเงินสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่าง และเท่าที่ตนทราบมา มีการเชื่อมสัมพันธ์ลับๆ ระหว่างทหารบางคนกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาโดยตลอด ซึ่งถ้าหากเกิดความรุนแรงวันที่ 19 กันยายานี้ ก็ไม่แน่ว่าจะมีทหารบางกลุ่ม ออกมากระทำอะไรบางอย่างให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยอาจยึดอำนาจเอาไว้เอง
นายสำราญ กล่าวแย้งว่า แต่ตนกลับคิดว่า ทหารยุคนี้ ไม่ทำการปฏิวัติอีก เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้น คงทำไปนานแล้ว โดยประวัติศาสตร์การเมืองไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีการทำปฏิวัติมาแล้วถึง 22 ครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนที่ทำให้บ้านเมืองสงบได้จริง สำหรับตนแล้ว บ้านเมืองเวลานี้ถือว่าเป็นสีช้ำเลือดช้ำหนอง ถ้ามีการปฏิวัติที่ทำให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าได้ ประเทศไทยมีความสงบร่มเย็น ตนก็อยากให้มีการปฏิวัติ แต่มันคงเป็นได้แค่ความฝัน ไม่มีทางเป็นความจริง ทั้งนี้ ต้องถือว่าบ้านเมืองเราเวลานี้ อยู่กันอย่างยากลำบาก
นายอมรเทพ กล่าวว่า ตนคิดว่าโอกาสจะเกิดการปฏิวัติมีสูง เพราะตอนนี้ มีนักการเมืองจำนวนไม่น้อยติดบ่วงเรื่องคดีความที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต คอรัปชัน ดังนั้น เมื่อนักการเมืองเหล่านี้ เห็นว่าทางที่กำลังจะเดินไปต้องพบเจอกับทางตัน ส่วนทางทหารก็ถูกผลักให้ขาข้างหนึ่งไปอยู่ในคุก เพราะรับใช้และเกื้อหนุนนักการเมือง ฉะนั้น ตนจึงเห็นว่าปฏิวัติไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
นายสำราญ กล่าวเห็นด้วยกรณีว่า บ้านเมืองพบกับความยากลำบากจริง นักการเมืองและทหารบางกลุ่มก็ติดอยู่กับวังวนเดิม ส่วนทางรัฐบาลชุดนี้ ก็พอไปได้ต่อ เพราะนายกรัฐมนตรีดี แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่า จะยื้อเวลาบริหารประเทศได้อีกไม่นาน น่าจะถึงช่วงสิ้นปี แต่คงไปไกลกว่านี้ไม่ได้ โดยสิ่งที่น่าจับตามอง คือ การเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จะดำเนินการด้วยแผนต่างๆ ทำให้กลับมามีอำนาจ พร้อมทั้งทวงเอาเงินที่ถูกยึดไปคืน ทุกฝ่ายต้องเฝ้าระวัง อย่าประมาทกับสถานการณ์ที่ล่อแหลมเด็ดขาด
ช่วงสุดท้ายของรายการ ได้หยิบยกกรณี พันธมิตรฯ รวมตัวกันเพื่อปกป้องพื้นที่ 4.6 ตร.กม. รอบปราสาทเขาพระวิหาร โดย นายสำราญ กล่าวว่า ตนรู้สึกเป็นห่วงสถานการณ์ที่พันธมิตรฯ จะเดินทางลงพื้นที่ไปปกป้องพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ในวันที่ 19 กันยายนนี้ แต่ก็เข้าในเหตุผลของ นายวีระ สมความคิด ที่เห็นว่า หากปล่อยเรื่องดังกล่าวให้ลุล่วงไปมากกว่านี้ ไทยอาจเสียพื้นที่ดังกล่าวให้แก่กัมพูชาได้ แต่ถึงอย่างไร ก็ต้องคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญ เพราะผู้ที่ลงพื้นที่ไปด้วยมือเปล่า ไม่มีอาวุธใดๆ
นายอมรเทพ กล่าวเสริมกรณีนี้ ว่า ตนเห็นด้วยที่ให้คำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก เพราะกัมพูชาใช้ทหารเขมรแดงที่มีความเชี่ยวชาญด้านการรบตรึงกำลังอยู่บริเวณปราสาทเขาพระวิหาร ดังนั้น จึงอยากฝากพี่น้องพันธมิตรฯ ทุกคนที่จะเดินทางไปร่วมลงพื้นที่ ต้องตั้งมั่นอยู่ในความสงบ เพราะพันธมิตรฯ ไม่ได้ต้องการไปรบหรือต่อสู้กับทหารกัมพูชา แต่ไปเพื่อกดดันให้รัฐบาลและกองทัพ ออกมาต่อสู้เอาแผ่นดินของไทยคืน
น.ส.กมลพร กล่าวฝากปิดท้ายรายการถึงพันธมิตรฯ หัวหินที่จะไปร่วมลงพื้นที่ครั้งนี้ ว่า ให้สำรองที่นั่งรถได้ที่เบอร์ 085-970-0557