เคาะข่าวริมโขง "ประพันธ์-ชัชวาลย์" เดินหน้าร่วมเติมปัญญาคนอีสาน หยิบยกประเด็นร้อน "เขาพระวิหาร-ดา ตอร์ปิโด" มาถก พร้อมต่อสายตรงถึง "วีระ" แจงลงพื้นที่เขาพระวิหาร พบไทยเสียดินแดน 4.6 ตร.กม.ให้เขมรแล้ว จี้ รบ.-รมว.กลาโหม รับผิดชอบ-จัดการไล่เขมรด้วยวิธีเด็ดขาด "ประพันธ์" ปูด เสธ.แดง โผล่เห็นด้วยแนวทางคอมมิวนิสต์ "สุรชัย-จักรภพ" ซัดเป็นกระบวนการล้มเจ้า-ระบอบอำมาตย์ ขณะที่ช่วงสนทนาเชิญ "อ.ปราโมทย์"นักวิชาการอิสระ ร่วมเวที "สำเริง" สื่ออาวุโส ย้อนรำลึกนักการเมืองเลือดอีสาน ผู้รักอุดมการณ์มากกว่าอุดมกิน
ชมรายการ เคาะข่าวริมโขง ช่วงที่ 1 (หรือคลิกที่จอภาพ เพื่อเข้าสู่หน้า วีดีโอย้อนหลัง)
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ “เคาะข่าวริมโขง”
รายการ “เคาะข่าวริมโขง” ออกอากาศทางช่องอีสานทีวี-ทีวีเพื่อคนอีสาน วันที่ 28 สิงหาคม มี นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย และนายประพันธ์ คูณมี รวมทั้งพิธีกรรับเชิญ น.ส.วรรษมน ช่างปรีชา เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยได้มีการหยิบยกหลากหลายประเด็นข่าวขึ้นมาเติมความรู้ให้แก่พี่น้องชาวอีสานเหมือนเช่นเคยทุกวัน ซึ่งประเด็นที่พูดถึงวันนี้ ได้แก่ กรณีเดินทางลงไปพิสูจน์พื้นที่ 4.6 ตร.กม. ของ นายวีระ สมความคิด แกนนำภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์ปราสาทพระวิหาร หรือจะเป็นกรณีที่ศาลอาญาตัดสินจำคุก 16 ปี น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด แนวร่วมกลุ่มคนเสื้อแดง ฐานดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์และพระราชินี
นอกจากนี้ ในช่วงสนทนา ยังได้รับเกียรติจาก นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ และนายสำเริง คำพะอุ สื่อมวลชนอาวุโส มาร่วมพูดคุยเพื่อย้อนรำลึกนักการเมืองเลือดอีสาน ที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและประชาชนอย่างแท้จริง
สำหรับช่วงแรกของรายการ นายประพันธ์ ได้เปิดประเด็นพูดคุยถึงกรณีการลงพื้นที่ของ นายวีระ สมความคิด แกนนำภาคีเครือข่ายผู้ติดตามสถานการณ์ปราสาทพระวิหาร ที่นำคณะร่วมพิสูจน์ความจริงว่าพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ยังเป็นสิทธิของประเทศไทยจริงหรือไม่ ซึ่งได้มีการต่อโทรศัพท์สายตรงถึง นายวีระ เพื่อพูดคุยประเด็นดังกล่าว
ทั้งนี้ นายวีระ กล่าวผ่านรายการ ว่า วันนี้ตนได้นำคณะลงพิสูจน์ความจริงว่าไทยเสียดินแดน 4.6 ตร.กม.ให้แก่กัมพูชาจริงหรือไม่ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่กองกำลังสุรนารี ร่วมลงพื้นที่ครั้งนี้ด้วย ทั้งนี้ ในส่วนการเดินทางของตนและคณะ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ได้ เนื่องจากต้องขออนุญาตทหารกัมพูชาเสียก่อน ซึ่งตนไม่เข้าว่า ในเมื่อเป็นพื้นที่ของไทย ทำไมเข้าไปบริเวณดังกล่าวไม่ได้ ตนจึงถามเจ้าหน้าที่กองกำลังสุรนารี ซึ่งก็ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใด กล้าตอบคำถาม ทำได้เพียงแค่ก้มหน้าเท่านั้น
นายวีระ กล่าวต่อว่า จากการลงพื้นที่ ตนอยากโทษนโยบายของรัฐบาล ที่สั่งการให้ใช้ยุทธวิธีการเมืองนำการทหาร ทำให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ทางทหารไทยไม่สามารถเข้าไปจัดการหรือทำการปกป้องผืนแผ่นดินไทยได้ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา ตนทราบว่า ก่อนหน้านี้จะเสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม. มีตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) และทหารพรานไทยเข้ามาดูแลพื้นที่ตรงนี้อยู่ แต่เนื่องจากมีการวางกำลังทหารน้อย ทำให้ทหารกัมพูชาเดินหน้าประชิดเข้ามาในพื้นที่ไทยมากขึ้นเรื่อยๆ จนสาเหตุให้ทหารไทยต้องถอยร่นกำลัง ส่วนทางกัมพูชาก็ยึดครองพื้นที่ดังกล่าวได้สำเร็จ
นายวีระ กล่าวอีกว่า เรื่องนี้เกี่ยวพันกับการเสียปราสาทเขาพระวิหารให้แก่กัมพูชา เพราะเรื่องดังกล่าวได้เกิดจากการบริหารงานที่ผิดพลาดมาตั้งแต่สมัยปลายรัฐบาล นายชวน หลีกภัย จนถึงสมัยต้นรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เข้ามาบริหารประเทศ เมื่อปี 2544 แต่ตนไม่เข้าใจว่า ทำไมจึงรู้เห็นเป็นใจปล่อยให้กัมพูชายึดพื้นที่ของไทยเช่นนี้ และเพราะเหตุใดถึงไม่ยอมใช้กำลังทหารจัดการกับกัมพูชา ตนจึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลชุดที่ผ่านมาทั้งหมด ร่วมกันรับผิดชอบเรื่องนี้ สมัยก่อนเสียปราสาทเขาพระวิหารให้แก่กัมพูชาไปแล้ว ตอนนี้ กำลังจะเสียพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ซึ่งเป็นสิทธิของไทยอีก
"ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า เราไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ได้แล้ว ทำได้แต่เพียงยืนตรงรั้วลวดหนาม ดูทหารเขมรที่มีอาวุธครบมือประจำการอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว ที่ผ่านมา ในด้านการทหาร กัมพูชาแพ้ศักยภาพของไทยมาตลอด แต่ตอนนี้ ทหารเขมรกลับเข้าไปยึดบริเวณภูมะเขือได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งตนได้ถ่ายภาพมาด้วย เพื่อเป็นการยืนยันเรื่องดังกล่าว นอกจากนี้ ตนยังได้ถามทหารไทยว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ พวกนั้นก้มหน้าหมดทุกคน แต่ที่สุดแล้วก็พูดออกมาว่า นโยบายทุกอย่างขึ้นอยู่กับรัฐบาลว่าจะสั่งดำเนินการในเรื่องนี้อย่างไร พวกตนเป็นแค่เจ้าหน้าที่ต้องทำตามคำสั่ง" นายวีระ กล่าว
นายวีระ กล่าวต่อว่า ที่น่าสลดใจอีกอย่าง คือ การที่ทหารกัมพูชาตรึงกำลังอยู่เต็มไปหมด โดยขณะที่ ตนและคณะเดินทางไปที่วัดแก้วสิขคีรีศวร เห็นทหารกัมพูชายืนเรียงประจันหน้ากับทหารไทย ซึ่งก่อนหน้านี้ ตนทราบมาว่า ทหารไทยจะเข้าไปพื้นที่ดังกล่าวได้ ต้องทำการปลดอาวุธทุกชนิด แต่วันนี้ มีการเล่นละครตบตา โดยทหารไทยไปเจรจา ขอแต่งเครื่องแบบและพกอาวุธเข้าไปในพื้นที่ดังกล่าว ทั้งๆที่ทุกวันนี้ ทหารกัมพูชายืนถือปืนอาก้า ในขณะที่ ทหารไทยมีแค่มือเปล่า
นายประพันธ์ ถามว่า จากการลงพื้นที่สิ่งที่รัฐบาลไทยควรทำต่อไปนี้คือสิ่งใด นายวีระ กล่าวว่า นาทีนี้หากใช้วิธีเจรจา ตนขอบอกว่า 100 ปี ก็ไม่ได้ผล ขณะนี้ทางกัมพูชาไม่ถอยแล้ว เพราะได้เปรียบไทยเกือบหมดทุกด้าน มีการขนอาวุธมาประจำการ ทั้งที่จริงๆ ใช้เวลาเพียงครึ่งวัน ด้วยศักยภาพของทหารไทย ก็สามารถทำให้ทหารกัมพูชาล่าถอยออกจากพื้นที่ดังกล่าวไปได้ไม่ยาก ดังนั้น ตนจึงอยากเรียกร้องให้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงมาดูแลเรื่องนี้ด้วยตัวเอง ว่าปัญหาดังกล่าวลุกลามใหญ่โตแค่ไหน
"จากการลงพื้นที่ไปดูความจริง ถึงกลับน้ำตาอาบแก้มกับภาพที่เห็น และสิ่งที่เกิดขึ้น มองผ่านรั้วลวดหนาม เห็นแต่ทหารเขมรอยู่ในพื้นที่ไทย โดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย อยากเรียกร้องให้รัฐบาลสรุปเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา การกระทำดังกล่าวถือว่าขายชาติแล้ว ตนอยากให้นักข่าวทุกช่อง ทุกสำนัก ลงพื้นที่ไปพิสูจน์ความจริง แล้วถ่ายทอดสดให้ประชาชนเห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้น" นายวีระ กล่าว
หลังจากจบการสนทนาทางโทรศัพท์กับ นายวีระ ในรายการเคาะข่าวริมโขง ได้หยิบยกกรณี ศาลอาญาตัดสินจำคุก 16 ปี น.ส.ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และพระราชินี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
นายประพันธ์ กล่าวว่า ดา ตอร์ปิโด ขึ้นเวทีกลุ่มคนเสื้อแดงที่ท้องสนามหลวงและปราศรัยจาบจ้วงสถาบันมาโดยตลอด แม้ไม่เอ่ยพาดพิงตรงๆ แต่ก็ได้พูดจาแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางพระบรมราชินีนาถ ซึ่งเป็นการกระทำที่ถือเป็นปฏิปักษ์ต่อสถาบันเบื้องสูง ถือเป็นกระบวนการล้มเจ้า โดยก่อนหน้านี้ มีแกนนำคนเสื้อแดงหลายคนที่ตกเป็นผู้ต้องหาในคดีจาบจ้วงสถาบัน อาทิ นายใจลส์ ใจ อึ๊งภากรณ์ หรือจะเป็น นายจักรภพ เพ็ญแข ที่อยู่ระหว่างการหลบหนี
น.ส.วรรษมน กล่าวในประเด็นนี้ ว่า เหตุที่ ดา ตอร์ปิโด โดนสั่งคำคุก 16 ปี โดยไม่รอลงอาญา เพราะพูดพาดพิงถึงสีวันประสูติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางพระบรมราชินีนาถ แม้จะไม่มีการเอ่ยออกมาตรงๆ แต่ก็ทำให้ผู้ที่ฟังทราบว่ามีความหมายอย่างไร ทั้งนี้ ล่าสุด ทางทนายความของ ดา ตอร์ปิโด ได้ออกมาเปิดเผยว่า จะยื่นอุทธรณ์ต่อสู้คดีต่อไป นอกจากนี้ อาจจะมีการขอพระราชทานอภัยโทษ เหมือนกรณีนักข่าวต่างประเทศ ที่เคยเขียนหนังสือจาบจ้วงสถาบัน และเคยได้รับการพระราชทานอภัยโทษมาแล้ว
นายชัชวาลย์ กล่าวว่า แม้ศาลอาญาจะสั่งจำคุก 18 ปี ดา ตอร์ปิโด แต่ตนเชื่อว่าคนแบบนี้ ไม่สำนึก เพราะเมื่อฟังคำพิพากษาจบ ยังชูสองนิ้วเล่นกล้องโทรทัศน์ คนพวกนี้ คนไทยไม่สมควรจะให้อภัย เพราะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางพระบรมราชินีนาถ เป็นศูนย์รวมจิตใจ ที่คนไทยเทิดทูนไว้เหนือหัว
นายประพันธ์ กล่าวถึงความเคลื่อนไหวของแกนนำคนเสื้อแดง ว่า ตอนนี้ 3 เกลอหัวขวด เริ่มแตกคอกับนายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือ แซ่ด่าน และนายจักรภพ เพ็ญแข เนื่องจากมีแนวคิดการต่อสู้ที่แตกต่างกัน โดย นายสุรชัยและนายจักรภพ ตั้งกลุ่มแดงสยามขึ้นมา เพื่อต้องการล้มระบอบอำมาตย์ หื่นกระหายการปฏิวัติ รวมทั้งรวบรวมคอมมิวนิสต์เก่าๆ มาร่วมกันต่อสู้
นายประพันธ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ตนอยากกล่าวถึงนายทหารที่มีจิตใจโอนเอียงอย่าง พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ที่ออกมาแสดงความเห็นด้วยกับแนวทางการต่อสู้คอมมิวนิสต์ของนายสุรชัยและนายจักรภพ ทั้งๆที่ เสธ.แดง เป็นทหาร ตนอยากให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ช่วยตรวจสอบเรื่องนี้ ว่าเป็นคำพูดของ เสธ.แดง จริงหรือไม่ ถ้าจริงก็นับว่าเสียชื่อทหารใน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยิ่งนัก
จากนั้น เข้าสู่ช่วงสนทนา ได้มีการเชิญ นายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ และนายสำเริง คำพะอุ สื่อมวลชนอาวุโส มาร่วมพูดคุย เพื่อย้อนรำลึกถึงประวัตินักการเมืองเลือดอีสาน ซึ่งมีอุดมการณ์ต่อสู้ทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่
นายปราโมทย์ กล่าวว่า อีสานเป็นภาคที่ก่อกำเนิดนักการเมืองที่ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและประชาชนอย่างแท้จริง โดยสมัยก่อนมีนักการเมืองเลือดอีสานหลายคนที่ชื่อเสียงและมีอุดมการณ์อันลือลั่น อาทิ นายเตียง ศิริขันธ์ อดีตหัวหน้าใหญ่กองทัพขบวนการเสรีไทยสายอีสาน หรือที่พี่น้องชาวอีสานรู้จักกันดีในนามขุนพลภูพาน วีรบุรุษเสรีไทยสามัญชน หรือจะเป็น นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ซึ่งเป็นหนึ่งในรัฐมนตรีที่เก่งและมีบทบาทมากตอนสมัย นายปรีดี พนมยงค์ เป็นนายกรัฐมนตรี
นายปราโมทย์ กล่าวต่อว่า นักการเมืองในอดีตที่ตนอยากกล่าวถึงมากที่สุด คือ นายทองอินทร์ ซึ่งเป็นส.ส.อุบลราชธานี เพราะเป็นบุคคลที่ได้รับฉายาว่าเป็นนักการเมือง "เสียงหอม สมองใส ใจกล้า และวาจาเชือดเฉียน" เป็นตัวอย่างที่ดีแก่นักการเมืองรุ่นหลังๆ เพราะเก่งทั้งงานในสภาและนอกสภา นับว่าเป็นนักการเมืองที่สมบูรณ์แบบ ครบสูตรทุกอย่าง
นายสำเริง กล่าวถึงนักการเมืองสายเลือดอีสานที่มีชื่อเสียง ว่า สมัยก่อนนักการเมืองเลือดอีสานที่มีชื่อเสียงมากที่สุด หนีไม่พ้น 4 ขุนพลที่ยิ่งใหญ่อย่าง นายเตียง ศิริขันธ์ นายถวิล อุดล นายจำลอง ดาวเรือง และนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ ซึ่งบุคคลที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น 4 รัฐมนตรีอีสาน ที่มีผลงานการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและสู้เพื่อคนทุกข์ยาก รวมทั้งกลุ่มบุคคลที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ นายปรีดี พนมยงค์ อดีตนายกรัฐมนตรีและผู้ก่อตั้งคณะราษฎร มาโดยตลอด ทั้งนี้ ยังเป็นเหล่านักการเมืองมือสะอาดที่ไม่เคยใช้เงินซื้อสิทธิ์ขายเสียงในการเลือกตั้งแม้แต่ครั้งเดียว
นายปราโมทย์ กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้นักการเมืองเหล่านี้จางหายไปจากการเมืองไทย ว่า นักการเมืองผู้มีอุดมการณ์ ถูกอุ้มฆ่าหมด เพราะถือว่าเป็นคนของ นายปรีดี พนมยงค์ ทำให้นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามต้องจัดการกับการนักการเมืองเลือดอีสาน จึงทำให้ 4 ขุนพลอีสานต้องถูกทำลายด้วยวงจรการเมืองที่เปลี่ยนแปลงไป
นายสำเริง กล่าวถึงความทรงจำของนักการเมืองในอดีต ว่า นักการเมืองที่ตนเห็นในสภามีอยู่ 2 ประเภท คือ ประเภททำงานเหมือนเป็นนายคนอื่น กับอีกประเภท คือ พวกลูกหาบ ที่คอยทำหน้าที่ทำตามสั่งคนอื่น ไม่มีความคิดเห็นเป็นของตัวเอง แต่ก็ต้องยอมรับว่า ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนนักการเมืองเลือดอีสานก็มีบทบาทในวงการการเมืองไทยเสมอ
นายประพันธ์ ถามว่า ทำเช่นไรพี่น้องชาวอีสานถึงรู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมนักการเมืองในปัจจุบัน เพื่อจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของพวกนักการเมืองที่โกงกินบ้านเมือง นายปราโมทย์ กล่าวว่า ต้องให้ความรู้ที่ถูกต้องกับชาวอีสาน เพราะชาวอีสานไม่ได้โง่ แต่ไม่มีโอกาสจะได้รู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นว่าเป็นเช่นไร เพราะเดี๋ยวนี้มีแต่พรรคการเมือง ที่ลงพื้นที่ด้วยวัตถุประสงค์ที่ผิดๆ มีการใช้เงินปิดหูปิดตาประชาชน ตนขอพูดถึงสาเหตุที่คนอีสานชื่นชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เนื่องจากมีความหลงใหลว่าอดีตผู้นำประเทศรวยแล้วไม่โกง ตนคิดว่าเหตุที่ทำให้คิดเช่นนั้น เพราะไม่รู้เบื้องหลังที่แท้จริงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ โกงชาติบ้านเมืองอย่างไร เวลาที่ลงพื้นที่ พบปะประชาชนแต่ละที ก็เห็นมีแต่ใช้เงินหว่าน แจกเงินให้ประชาชนเอาไปใช้จ่ายฟุ่มเฟื่อย ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์
นายสำเริง กล่าวเสริมประเด็นนี้ ว่า สำหรับตนเห็นว่ามีแต่ทางเอเอสทีวีเท่านั้น ที่เป็นสื่อกล้าเปิดเผยเรื่องราวที่เกิดขึ้น โดยดูจากฟรีทีวีช่องต่างๆ มีช่องไหนที่อธิบายหรือทำข่าวเรื่องการโกงกิน คอรัปชั่นของรัฐบาลที่หื่นกระหายผลประโยชน์ ยิ่งนับวัน หายากที่จะมีสื่อมวลชนตีแพร่เรื่องพวกนี้