เคาะข่าวริมโขง ฉกตัว “สุทธิพงษ์” สัตวแพทย์ผู้ติดตามความเลว “คนหน้าเหลี่ยม” มาเปิดเผยที่มาหนังสือ “10 ความระยำทักษิณ” ที่โด่งดัง ได้รับกระแสตอบรับไปทั่ว ด้านนักเขียนคนเก่งแฉสันดาน “นช.แม้ว” จอมสร้างภาพ หลงตัวเองว่าฉลาด ที่แท้แค่โชคดีได้เป็นนายกฯ ตอนศก.สหรัฐฯเสื่อม ขณะที่ “อ.ปราโมทย์” เปิดโปงความชั่ว สมัย นช.แม้ว บริหารประเทศ ชอบขายสมบัติชาติ เอารัฐวิสาหกิจขายในตลาดหุ้นฯ ให้ต่างชาติครองกรรมสิทธิ์ ทั้งที่เป็นสมบัติของคนทั้งประเทศ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ “เคาะข่าวริมโขง”
รายการ “เคาะข่าวริมโขง” ออกอากาศทางช่องอีสานทีวี-ทีวีเพื่อคนอีสาน วันที่ 10 กันยายน มี น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก และนายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยในวันนี้ช่วงแรกมีการหยิบยกหลากหลายประเด็นข่าวที่น่าสนใจมาเติมปัญญาให้แก่พี่น้องชาวอีสาน อาทิ กรณี ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาจำคุก นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คดีหมิ่นประมาท ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในระหว่างจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางช่อง News1 เอเอสทีวี
นอกจากนี้ยังมีกรณี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร.ทิ้งทวนก่อนอำลาตำแหน่งผบ.ตร. ด้วยการเซ็นลงนามโยกย้ายโผตำรวจและเปลี่ยนตัวหัวหน้าชุดสอบสวนคดีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปิดสนามบินนานาชาติ 2 แห่ง รวมทั้ง หยิบยกกรณี อดีตนายตำรวจหลายนายออกมาปกป้อง พล.ต.อ.พัชรวาท และกล่าวหาว่าถูก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กลั่นแกล้งให้สละเก้าอี้ ผบ.ตร.
ส่วนช่วงสนทนา หากใครพลาดชมรายการวันนี้ ต้องเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เพราะได้มีการนำตัวนักเขียนหนังสือ “10 ความระยำทักษิณ” มาตีแผ่เพื่อประจานให้รู้เช่นเห็นชาติว่าสันดานนักการเมืองชั่วเป็นอย่างไร โดย นายสุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์ สัตวแพทย์ผู้เฝ้าติดตามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ และนายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ จะมาร่วมชำแหละให้เห็นถึงธาตุแท้ของนักโทษชายผู้โกงบ้านกินเมืองคนดังกล่าว
สำหรับช่วงแรก เป็นการคุยข่าว โดยหยิบยกประเด็นที่น่าสนใจในรอบวันนี้มาพูดคุย ซึ่ง น.ส.อัญชะลี กล่าวถึงกรณี ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาคดี ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท ไทยเดย์ ด็อท คอม จำกัด นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และนายขุนทอง ลอเสรีวานิช บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ผู้จัดการ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา สืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2550 ที่ นายสนธิ ใส่ความ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ระหว่างการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางช่อง News1 เอเอสทีวี ว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ต้องการล้างมลทินให้กลุ่มอำนาจเก่า โดยปล่อยให้มีการออกสลากบนดิน 2 ตัว ซึ่งขัดต่อกฎหมาย รวมทั้ง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ยังได้ช่วยเหลือ นายศิโรตม์ สวัสดิพาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร ที่ไม่ตรวจสอบการขายหุ้นแอมเพิลริชให้กลุ่มทุนเทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์ และทำการปกป้องผู้กระทำผิดที่ปล่อยให้มีการโอนหุ้น บมจ.ชินคอร์ป โดยไม่ต้องเสียภาษี
น.ส.อัญชะลี กล่าวต่อว่า คดีนี้ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 2 4 มีความผิดจริง ตามที่มีการฟ้องหมิ่นประมาท โดยสั่งจำคุก นายสนธิ ลิ้มทองกุล จำเลยที่ 2 เป็นเวลา 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 1 คือ บริษัท ไทยเดย์ ด็อท คอม จำกัด ให้ปรับ 200,000 บาท และนายขุนทอง ลอเสรีวานิช บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ผู้จัดการ จำคุก 1 ปี ปรับ 30,000 บาท ซึ่งโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ พร้อมให้ลงโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ มติชน และผู้จัดการรายวัน เป็นเวลา 5 วัน
น.ส.อัญชะลี กล่าวอีกว่า หลังจากศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จ นายสนธิ ก็ไม่ได้หวั่นไหวหรือแสดงความวิตกกังวลใดๆ โดยพร้อมจะต่อสู้คดีถึงที่สุด และประกาศว่า ในเมื่อทำชาติ ก็ไม่ต้องกลัวสิ่งใด
ช่วงต่อมา นายชัชวาลย์กล่าวถึงกรณี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผบ.ตร. ทิ้งทวนก่อนอำลาตำแหน่ง ผบ.ตร. ด้วยการเซ็นลงนามโยกย้ายโผตำรวจและเปลี่ยนตัวหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวนคดีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปิดสนามบินนานาชาติ 2 แห่ง ว่า คดีการสอบสวนของพันธมิตรฯ จากเดิม พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้ดูแล แต่ล่าสุด พล.ต.อ.พัชรวาท ได้เซ็นเปลี่ยนหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวนเป็น พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันม่วง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งหลังจากทราบเรื่อง พล.ต.ท.สมยศ ถึงกับตกใจที่ได้รับหมายหน้าที่ดังกล่าว เพราะ พล.ต.อ.พัชรวาท ไม่ได้มีการหารือเรื่องนี้มาก่อน โดย พล.ต.ท.สมยศ ได้ปฏิเสธที่จะเป็นหัวหน้าชุดสอบสวนคดีนี้ พร้อมทั้งระบุว่า หากต้องทำคดีจริง จะขอลาออก ซึ่งกรณีนี้ โดยความจริงแล้ว ผู้ที่ตอบคำถามได้ดีที่สุด คือ พล.ต.อ.พัชรวาท ที่เอาเหตุผลใดมาตัดสินใจเรื่องนี้ ทั้งที่ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจแล้ว หลังจากที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดคดีสลายการชุมนุมพันธมิตรฯ วันที่ 7 ต.ค. 2551 ก็ต้องหยุดทำหน้าที่ ผบ.ตร.ทันที ไม่ควรมีการเซ็นลงนามใดๆ อีก
น.ส.อัญชะลี กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวกับ พล.ต.อ.พัชรวาท คือ การที่มีอดีตนายตำรวจหลายนายออกมาปกป้องและกล่าวหาว่า นายอภิสิทธิ์ กลั่นแกล้ง พล.ต.อ.พัชรวาท ทำให้ต้องสละเก้าอี้ ผบ.ตร. ก่อนเกษียณอายุราชการ ว่า วันนี้ ทาง พล.ต.อ.วิสุทธิ์ กิตติวัฒน์ นายกสมาคมตำรวจ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค ประธานชมรมข้าราชการตำรวจนอกราชการ และพล.ต.อ.วิรุณ ฟื้นแสง นายกสมาคมโรงเรียนนายร้อยตำรวจ พร้อมด้วยอดีตข้าราชการตำรวจ ร่วมกันแถลงข่าว โจมตี ป.ป.ช. ว่าเป็นองค์กรเถื่อน ไม่มีความเป็นกลางในการตัดสินคดีสลายการชุมนุมพันธมิตรฯ ที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ต่อจากนั้น พล.ต.อ.สล้าง ก็ได้ต่อว่า นายอภิสิทธิ์ ว่าจงใจกลั่นแกล้ง พล.ต.อ.พัชรวาท โดยสั่งการให้ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดอย่างไม่ยุติธรรม
น.ส.อัญชะลี กล่าวต่อว่า นอกจากอดีตนายตำรวจออกมาปกป้อง พล.ต.อ.พัชรวาท แล้ว ยังมี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ได้ออกมาเอ่ยปากชม พล.ต.อ.พัชรวาท ว่าเป็นคนดี ที่เสียสละลาออกจากตำแหน่ง และเพื่อลดความขัดแย้งต่างๆ ทั้งที่จริงแล้ว ทางด้าน พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ได้ออกมาเปิดโปงความจริงว่า สาเหตุที่ พล.ต.อ.พัชรวาท ลาออก ไม่ได้เป็นการแสดงสปริตแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะยอมจำนนด้วยกฎหมาย ป.ป.ช.
น.ส.อัญชะลี กล่าวอีกว่า ด้านนายอภิสิทธิ์วันนี้ได้มีการเช็กเสียงก่อนจะมีการประชุม ก.ต.ช. เพื่อเลือก ผบ.ตร.คนใหม่ ภายในเดือนนี้ ปรากฏว่า เสียงจากคณะกรรมการ ก.ต.ช. 10 คน ไม่นับเสียงของนายกรัฐมนตรี 1 เสียง มีคนยกมือเห็นด้วยกับ นายอภิสิทธิ์ แค่ 3 เสียงเท่านั้น ส่วนอีก 7 เสียงยืนยันที่จะสนับสนุน พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย เป็น ผบ.ตร.คนใหม่ มากกว่า พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ ผู้ที่ นายอภิสิทธิ์ เลือก ซึ่งหลังจากที่เช็คได้แค่ 3 เสียง นายกรัฐมนตรีได้ปรึกษากับทีมกฏหมาย และได้ตัดสินใจประกาศ เพื่อขู่ นายสุเทพ นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่เคยไปล็อบบี้กับคณะกรรมการ ก.ต.ช. รวมทั้งพรรคภูมิใจไทย โดยได้ลั่นวาจาว่า หาก พล.ต.อ.ปทีป ไม่ได้เป็น ผบ.ตร.คนใหม่ จะทำการยุบสภา เลือกตั้งใหม่ทันที เนื่องจากนายกรัฐมนตรี ทราบว่า เวลานี้หลายฝ่ายโดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาล ยังไม่พร้อมสู้ศึกเลือกตั้งสนามใหญ่ จึงงัดไม้นี้ขึ้นมาจัดการ
ต่อมา เข้าสู่ช่วงสนทนา มีการเชิญ นายสุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์ สัตวแพทย์ผู้เฝ้าติดตามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ และนายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ มาร่วมชำแหละถึงธาตุแท้ของนักโทษชายผู้โกงบ้านกินเมือง โดยเริ่มจาก นายปราโมทย์ กล่าวว่า ตนได้เคยติดตามผลงานการเขียนหนังสือของ นายสุทธิ์พงษ์ ที่ออกมาเปิดโปงความระยำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่โกหกคนไทย 10 ข้อ โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ และพวกลิ้วล้อ ชอบสร้างภาพว่าอวดว่าเก่งและฉลาด สามารถเงินได้เยอะ น่าคบค้าสมาคมด้วย ทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อย หลงเชื่อภาพมายาดังกล่าว เชื่อว่าตัวตนที่แท้จริงของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ถ้าหากได้ทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด จะเห็นถึงความชั่วร้ายของระบอบทักษิณ
นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า หนังสือที่ตนเขียน เป็นการรวบรวมและเปิดโปงเรื่องราวที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่โกหกคนไทย ให้เชื่อว่าตัวเองเก่ง ตัวเองดี สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ มีความเชี่ยวชาญด้านการเงิน สร้างภาพว่าเป็นนักธุรกิจรวยล้นฟ้า แต่ถ้าหากมองความจริง สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดไม่เคยเป็นความจริง เพราะสาเหตุที่เศรษฐกิจในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาบริหารประเทศ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้รับปัจจัยบวกจากการที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ตกต่ำ ทำให้นักลงทุนเทเงินมาในประเทศแถบเอเซียสูง ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับเกื้อหนุนจากปัจจัยดังกล่าว เนื่องจากมีเงินทองจำนวนมากไหลเข้าสู่ไทย ดังนั้น คนที่ไม่เข้าใจวัฎจักรเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ก็จะหลงเชื่อว่าที่เศรษฐกิจดี เป็นเพราะฝีมือของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ความจริงแล้ว เกิดจากโชคช่วยเท่านั้น
“ตอนแรกที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ตกต่ำ เงินลงทุนจึงถูกเทมายังเอเซีย โดยไทยมีเงินทองไหลเข้าสู่ระบอบมากมาย คนจึงเข้าใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณ บริหารประเทศเก่ง แต่ในความจริงแล้ว ประเทศอื่นช่วงนั้นก็เศรษฐกิจดีเช่นกัน ทำอะไรช่วงนั้นดูจะเป็นใจให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นราคาข้าวโพด มันสำปะหลัง หรือยางพาราที่สูงขึ้น หรือการที่ไทยสามารถใช้หนี้ไอเอ็มเอฟได้หมด ทำให้เรียกศรัทธาจากประชาชนได้มากว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีฝีมือจริง” นายสุทธิพงษ์ กล่าว
นายสุทธิพงษ์กล่าวต่อว่า ประเทศอื่นที่ใช้หนี้ไอเอฟเอ็มได้ ไม่เห็นผู้นำยกประเด็นนี้ขึ้นมาอวดอ้าง แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ อวด ทั้งที่เศรษฐกิจดี เพราะมีเงินสำรองในประเทศเยอะ ประกอบกับการชำระหนี้ไอเอ็มเอฟ มีกำหนดเวลาชดใช้ชัดเจน ดังนั้น หากไม่ใช่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ต้องชดใช้ช่วงเวลานั้นอยู่ดี
นายสุทธิพงษ์กล่าวอีกว่า ในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ไทยไม่ได้มีความเจริญอย่างแท้จริง แม้จะมีเงินทองไหลเข้ามาทำให้เกิดสภาพคล่องเป็นอย่างดี แต่ถ้าหากดูรากฐานของประเทศที่คนจนยังมีอยู่เต็มประเทศ แสดงว่า เศรษฐกิจประเทศไทยยังไม่ดีจริง แค่เจริญแต่เปลือกนอก นอกจากนี้ ถ้าหากยังจำได้ ช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี มีช่วงหนึ่งที่ไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนให้แก่ข้าราชการ จนทำให้ต้องขายรัฐวิสาหกิจ ซึ่งถือเป็นสมบัติของชาติ
นายปราโมทย์กล่าวเสริมว่า ปตท.ถือเป็นหนึ่งองค์กรที่ถูกขายไปในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งส่งผลกระทบทำให้คนไทยต้องแบกรับภาระในการซื้อพลังเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นจนถึงทุกวันนี้ โดยตนอยากฝากถึงพวกแท๊กซี่ที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ว่ารู้หรือไม่ เหตุที่เงินทองยังไม่พอเลี้ยงปากท้องใครเป็นต้นเหตุเรื่องนี้ ทั้งนี้ การขายรัฐวิสาหกิจ เท่าที่ตนทราบ ก่อนหน้าที่จะขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้กดราคาจนต่ำ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ให้พวกไปกว้านซื้อมาในราคาถูก จากนั้นก็จะขูดรีดกับประชาชนอย่างไรก็ได้ เพราะเป็นเจ้าของแล้ว
นายสุทธิพงษ์กล่าวว่า ยุค พ.ต.ท.ทักษิณ บริหารประเทศ มีการขายรัฐวิสาหกิจมากมาย ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่ต้องลงทุนลงแรงด้วยตนเอง เพราะเอาสมบัติของคนไทยทั้งประเทศ ไปเป็นต้นทุน เพื่อนำขายและกอบโกยผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง
นายปราโมทย์กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ทะนงตัว นอกจากสร้างภาพหลอกคนอื่นว่าเก่งแล้ว ยังเป็นผู้อุปโลกน์หลักเศรษฐกิจแนวทางใหม่ที่เรียกว่า “ทักษิโณมิกส์” โดยอวดว่าสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ ทั้งที่ ถ้าหากเศรษฐกิจประเทศดีขึ้นจริง ประชาชนต้องมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่ใช่นำนโยบายประชานิยมไปหว่านแห ให้คนจนลุ่มหลง จนทำให้เกิดปัญหาหนี้สิ้นครัวเรือนเพิ่มขึ้น ซึ่งกรณีนี้ หากใครไปฟัง พ.ต.ท.ทักษิณ แล้วไม่ได้ไตร่ตรองคิดให้รอบคอบ จะไม่รู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ โกงบ้านเมืองอย่างไร นอกจากนี้ ในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศช่วยเหลือชาวนาให้กู้หนี้ยืมสิ้นได้ ซึ่งมีชาวบ้านหลงเชื่อมาลงชื่อเป็นจำนวนมาก แต่ข้อแม้การกู้ต้องเอาที่นามาค้ำประกัน พอชาวนาเป็นหนี้ ไม่มีปัญญาจ่าย ก็เข้ายึดครองที่นา ทำให้ชาวนาเดือดร้อนมากกว่าเดิม ตนอยากถามว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการช่วยเหลือชาวนาจริง ทำไมต้องยึดที่ดินทำกิน ทำไมไม่หาวิธีอื่นที่ช่วยส่งเสริมอาชีพ ทำให้ชาวนาลืมตาอ้าปากได้
นายสุทธิพงษ์กล่าวปิดท้ายว่า คำว่า “ขายชาติ” จะมีสักกี่คนที่รู้ซึ้งถึงความหมายของคำคำนี้ โดยการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เอาสมบัติชาติไปขายและแก้กฏหมายถือครองกรรมสิทธิ์ เปิดทางให้ต่างชาติสามารถถือหุ้นจาก 25% เป็น 49% นับเป็นเสียหายของประเทศ เพราะผลประโยชน์ไม่ได้ตกอยู่กับส่วนรวม แต่ดันเข้ากระเป๋า พ.ต.ท.ทักษิณ และพวกพ้อง ตนจึงนับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นต้นตอความแตกแยกของประเทศอย่างแท้จริง และขอสนับสนุนการต่อสู้เพื่อความถูกต้องของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ต่อสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ นักธุรกิจและนักการเมืองจอมคอรัปชัน
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ “เคาะข่าวริมโขง”
รายการ “เคาะข่าวริมโขง” ออกอากาศทางช่องอีสานทีวี-ทีวีเพื่อคนอีสาน วันที่ 10 กันยายน มี น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก และนายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยในวันนี้ช่วงแรกมีการหยิบยกหลากหลายประเด็นข่าวที่น่าสนใจมาเติมปัญญาให้แก่พี่น้องชาวอีสาน อาทิ กรณี ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาจำคุก นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คดีหมิ่นประมาท ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในระหว่างจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางช่อง News1 เอเอสทีวี
นอกจากนี้ยังมีกรณี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร.ทิ้งทวนก่อนอำลาตำแหน่งผบ.ตร. ด้วยการเซ็นลงนามโยกย้ายโผตำรวจและเปลี่ยนตัวหัวหน้าชุดสอบสวนคดีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปิดสนามบินนานาชาติ 2 แห่ง รวมทั้ง หยิบยกกรณี อดีตนายตำรวจหลายนายออกมาปกป้อง พล.ต.อ.พัชรวาท และกล่าวหาว่าถูก นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กลั่นแกล้งให้สละเก้าอี้ ผบ.ตร.
ส่วนช่วงสนทนา หากใครพลาดชมรายการวันนี้ ต้องเสียดายเป็นอย่างยิ่ง เพราะได้มีการนำตัวนักเขียนหนังสือ “10 ความระยำทักษิณ” มาตีแผ่เพื่อประจานให้รู้เช่นเห็นชาติว่าสันดานนักการเมืองชั่วเป็นอย่างไร โดย นายสุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์ สัตวแพทย์ผู้เฝ้าติดตามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ และนายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ จะมาร่วมชำแหละให้เห็นถึงธาตุแท้ของนักโทษชายผู้โกงบ้านกินเมืองคนดังกล่าว
สำหรับช่วงแรก เป็นการคุยข่าว โดยหยิบยกประเด็นที่น่าสนใจในรอบวันนี้มาพูดคุย ซึ่ง น.ส.อัญชะลี กล่าวถึงกรณี ศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาคดี ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง บริษัท ไทยเดย์ ด็อท คอม จำกัด นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และนายขุนทอง ลอเสรีวานิช บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ผู้จัดการ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา สืบเนื่องมาจาก เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2550 ที่ นายสนธิ ใส่ความ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ระหว่างการจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางช่อง News1 เอเอสทีวี ว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ต้องการล้างมลทินให้กลุ่มอำนาจเก่า โดยปล่อยให้มีการออกสลากบนดิน 2 ตัว ซึ่งขัดต่อกฎหมาย รวมทั้ง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ยังได้ช่วยเหลือ นายศิโรตม์ สวัสดิพาณิชย์ อดีตอธิบดีกรมสรรพากร ที่ไม่ตรวจสอบการขายหุ้นแอมเพิลริชให้กลุ่มทุนเทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์ และทำการปกป้องผู้กระทำผิดที่ปล่อยให้มีการโอนหุ้น บมจ.ชินคอร์ป โดยไม่ต้องเสียภาษี
น.ส.อัญชะลี กล่าวต่อว่า คดีนี้ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1 2 4 มีความผิดจริง ตามที่มีการฟ้องหมิ่นประมาท โดยสั่งจำคุก นายสนธิ ลิ้มทองกุล จำเลยที่ 2 เป็นเวลา 2 ปี ส่วนจำเลยที่ 1 คือ บริษัท ไทยเดย์ ด็อท คอม จำกัด ให้ปรับ 200,000 บาท และนายขุนทอง ลอเสรีวานิช บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ.ผู้จัดการ จำคุก 1 ปี ปรับ 30,000 บาท ซึ่งโทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ พร้อมให้ลงโฆษณาคำพิพากษาในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ เดลินิวส์ มติชน และผู้จัดการรายวัน เป็นเวลา 5 วัน
น.ส.อัญชะลี กล่าวอีกว่า หลังจากศาลอ่านคำพิพากษาเสร็จ นายสนธิ ก็ไม่ได้หวั่นไหวหรือแสดงความวิตกกังวลใดๆ โดยพร้อมจะต่อสู้คดีถึงที่สุด และประกาศว่า ในเมื่อทำชาติ ก็ไม่ต้องกลัวสิ่งใด
ช่วงต่อมา นายชัชวาลย์กล่าวถึงกรณี พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผบ.ตร. ทิ้งทวนก่อนอำลาตำแหน่ง ผบ.ตร. ด้วยการเซ็นลงนามโยกย้ายโผตำรวจและเปลี่ยนตัวหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวนคดีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ปิดสนามบินนานาชาติ 2 แห่ง ว่า คดีการสอบสวนของพันธมิตรฯ จากเดิม พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้ดูแล แต่ล่าสุด พล.ต.อ.พัชรวาท ได้เซ็นเปลี่ยนหัวหน้าชุดพนักงานสอบสวนเป็น พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันม่วง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งหลังจากทราบเรื่อง พล.ต.ท.สมยศ ถึงกับตกใจที่ได้รับหมายหน้าที่ดังกล่าว เพราะ พล.ต.อ.พัชรวาท ไม่ได้มีการหารือเรื่องนี้มาก่อน โดย พล.ต.ท.สมยศ ได้ปฏิเสธที่จะเป็นหัวหน้าชุดสอบสวนคดีนี้ พร้อมทั้งระบุว่า หากต้องทำคดีจริง จะขอลาออก ซึ่งกรณีนี้ โดยความจริงแล้ว ผู้ที่ตอบคำถามได้ดีที่สุด คือ พล.ต.อ.พัชรวาท ที่เอาเหตุผลใดมาตัดสินใจเรื่องนี้ ทั้งที่ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจแล้ว หลังจากที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดคดีสลายการชุมนุมพันธมิตรฯ วันที่ 7 ต.ค. 2551 ก็ต้องหยุดทำหน้าที่ ผบ.ตร.ทันที ไม่ควรมีการเซ็นลงนามใดๆ อีก
น.ส.อัญชะลี กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวกับ พล.ต.อ.พัชรวาท คือ การที่มีอดีตนายตำรวจหลายนายออกมาปกป้องและกล่าวหาว่า นายอภิสิทธิ์ กลั่นแกล้ง พล.ต.อ.พัชรวาท ทำให้ต้องสละเก้าอี้ ผบ.ตร. ก่อนเกษียณอายุราชการ ว่า วันนี้ ทาง พล.ต.อ.วิสุทธิ์ กิตติวัฒน์ นายกสมาคมตำรวจ พล.ต.อ.สล้าง บุนนาค ประธานชมรมข้าราชการตำรวจนอกราชการ และพล.ต.อ.วิรุณ ฟื้นแสง นายกสมาคมโรงเรียนนายร้อยตำรวจ พร้อมด้วยอดีตข้าราชการตำรวจ ร่วมกันแถลงข่าว โจมตี ป.ป.ช. ว่าเป็นองค์กรเถื่อน ไม่มีความเป็นกลางในการตัดสินคดีสลายการชุมนุมพันธมิตรฯ ที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ต่อจากนั้น พล.ต.อ.สล้าง ก็ได้ต่อว่า นายอภิสิทธิ์ ว่าจงใจกลั่นแกล้ง พล.ต.อ.พัชรวาท โดยสั่งการให้ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดอย่างไม่ยุติธรรม
น.ส.อัญชะลี กล่าวต่อว่า นอกจากอดีตนายตำรวจออกมาปกป้อง พล.ต.อ.พัชรวาท แล้ว ยังมี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ได้ออกมาเอ่ยปากชม พล.ต.อ.พัชรวาท ว่าเป็นคนดี ที่เสียสละลาออกจากตำแหน่ง และเพื่อลดความขัดแย้งต่างๆ ทั้งที่จริงแล้ว ทางด้าน พล.ต.อ.ประทิน สันติประภพ อดีตอธิบดีกรมตำรวจ ได้ออกมาเปิดโปงความจริงว่า สาเหตุที่ พล.ต.อ.พัชรวาท ลาออก ไม่ได้เป็นการแสดงสปริตแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะยอมจำนนด้วยกฎหมาย ป.ป.ช.
น.ส.อัญชะลี กล่าวอีกว่า ด้านนายอภิสิทธิ์วันนี้ได้มีการเช็กเสียงก่อนจะมีการประชุม ก.ต.ช. เพื่อเลือก ผบ.ตร.คนใหม่ ภายในเดือนนี้ ปรากฏว่า เสียงจากคณะกรรมการ ก.ต.ช. 10 คน ไม่นับเสียงของนายกรัฐมนตรี 1 เสียง มีคนยกมือเห็นด้วยกับ นายอภิสิทธิ์ แค่ 3 เสียงเท่านั้น ส่วนอีก 7 เสียงยืนยันที่จะสนับสนุน พล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย เป็น ผบ.ตร.คนใหม่ มากกว่า พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ ผู้ที่ นายอภิสิทธิ์ เลือก ซึ่งหลังจากที่เช็คได้แค่ 3 เสียง นายกรัฐมนตรีได้ปรึกษากับทีมกฏหมาย และได้ตัดสินใจประกาศ เพื่อขู่ นายสุเทพ นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่เคยไปล็อบบี้กับคณะกรรมการ ก.ต.ช. รวมทั้งพรรคภูมิใจไทย โดยได้ลั่นวาจาว่า หาก พล.ต.อ.ปทีป ไม่ได้เป็น ผบ.ตร.คนใหม่ จะทำการยุบสภา เลือกตั้งใหม่ทันที เนื่องจากนายกรัฐมนตรี ทราบว่า เวลานี้หลายฝ่ายโดยเฉพาะพรรคร่วมรัฐบาล ยังไม่พร้อมสู้ศึกเลือกตั้งสนามใหญ่ จึงงัดไม้นี้ขึ้นมาจัดการ
ต่อมา เข้าสู่ช่วงสนทนา มีการเชิญ นายสุทธิพงษ์ ปรัชญพฤทธิ์ สัตวแพทย์ผู้เฝ้าติดตามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ และนายปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ มาร่วมชำแหละถึงธาตุแท้ของนักโทษชายผู้โกงบ้านกินเมือง โดยเริ่มจาก นายปราโมทย์ กล่าวว่า ตนได้เคยติดตามผลงานการเขียนหนังสือของ นายสุทธิ์พงษ์ ที่ออกมาเปิดโปงความระยำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่โกหกคนไทย 10 ข้อ โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณ และพวกลิ้วล้อ ชอบสร้างภาพว่าอวดว่าเก่งและฉลาด สามารถเงินได้เยอะ น่าคบค้าสมาคมด้วย ทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อย หลงเชื่อภาพมายาดังกล่าว เชื่อว่าตัวตนที่แท้จริงของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่ถ้าหากได้ทราบข้อเท็จจริงทั้งหมด จะเห็นถึงความชั่วร้ายของระบอบทักษิณ
นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า หนังสือที่ตนเขียน เป็นการรวบรวมและเปิดโปงเรื่องราวที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่โกหกคนไทย ให้เชื่อว่าตัวเองเก่ง ตัวเองดี สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ มีความเชี่ยวชาญด้านการเงิน สร้างภาพว่าเป็นนักธุรกิจรวยล้นฟ้า แต่ถ้าหากมองความจริง สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดไม่เคยเป็นความจริง เพราะสาเหตุที่เศรษฐกิจในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาบริหารประเทศ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้รับปัจจัยบวกจากการที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ตกต่ำ ทำให้นักลงทุนเทเงินมาในประเทศแถบเอเซียสูง ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ได้รับเกื้อหนุนจากปัจจัยดังกล่าว เนื่องจากมีเงินทองจำนวนมากไหลเข้าสู่ไทย ดังนั้น คนที่ไม่เข้าใจวัฎจักรเศรษฐกิจอย่างแท้จริง ก็จะหลงเชื่อว่าที่เศรษฐกิจดี เป็นเพราะฝีมือของ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ความจริงแล้ว เกิดจากโชคช่วยเท่านั้น
“ตอนแรกที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ตกต่ำ เงินลงทุนจึงถูกเทมายังเอเซีย โดยไทยมีเงินทองไหลเข้าสู่ระบอบมากมาย คนจึงเข้าใจว่า พ.ต.ท.ทักษิณ บริหารประเทศเก่ง แต่ในความจริงแล้ว ประเทศอื่นช่วงนั้นก็เศรษฐกิจดีเช่นกัน ทำอะไรช่วงนั้นดูจะเป็นใจให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นราคาข้าวโพด มันสำปะหลัง หรือยางพาราที่สูงขึ้น หรือการที่ไทยสามารถใช้หนี้ไอเอ็มเอฟได้หมด ทำให้เรียกศรัทธาจากประชาชนได้มากว่า พ.ต.ท.ทักษิณ มีฝีมือจริง” นายสุทธิพงษ์ กล่าว
นายสุทธิพงษ์กล่าวต่อว่า ประเทศอื่นที่ใช้หนี้ไอเอฟเอ็มได้ ไม่เห็นผู้นำยกประเด็นนี้ขึ้นมาอวดอ้าง แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ อวด ทั้งที่เศรษฐกิจดี เพราะมีเงินสำรองในประเทศเยอะ ประกอบกับการชำระหนี้ไอเอ็มเอฟ มีกำหนดเวลาชดใช้ชัดเจน ดังนั้น หากไม่ใช่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ต้องชดใช้ช่วงเวลานั้นอยู่ดี
นายสุทธิพงษ์กล่าวอีกว่า ในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ไทยไม่ได้มีความเจริญอย่างแท้จริง แม้จะมีเงินทองไหลเข้ามาทำให้เกิดสภาพคล่องเป็นอย่างดี แต่ถ้าหากดูรากฐานของประเทศที่คนจนยังมีอยู่เต็มประเทศ แสดงว่า เศรษฐกิจประเทศไทยยังไม่ดีจริง แค่เจริญแต่เปลือกนอก นอกจากนี้ ถ้าหากยังจำได้ ช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี มีช่วงหนึ่งที่ไม่มีเงินจ่ายเงินเดือนให้แก่ข้าราชการ จนทำให้ต้องขายรัฐวิสาหกิจ ซึ่งถือเป็นสมบัติของชาติ
นายปราโมทย์กล่าวเสริมว่า ปตท.ถือเป็นหนึ่งองค์กรที่ถูกขายไปในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งส่งผลกระทบทำให้คนไทยต้องแบกรับภาระในการซื้อพลังเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นจนถึงทุกวันนี้ โดยตนอยากฝากถึงพวกแท๊กซี่ที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ว่ารู้หรือไม่ เหตุที่เงินทองยังไม่พอเลี้ยงปากท้องใครเป็นต้นเหตุเรื่องนี้ ทั้งนี้ การขายรัฐวิสาหกิจ เท่าที่ตนทราบ ก่อนหน้าที่จะขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้กดราคาจนต่ำ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ให้พวกไปกว้านซื้อมาในราคาถูก จากนั้นก็จะขูดรีดกับประชาชนอย่างไรก็ได้ เพราะเป็นเจ้าของแล้ว
นายสุทธิพงษ์กล่าวว่า ยุค พ.ต.ท.ทักษิณ บริหารประเทศ มีการขายรัฐวิสาหกิจมากมาย ซึ่งการกระทำดังกล่าวไม่ต้องลงทุนลงแรงด้วยตนเอง เพราะเอาสมบัติของคนไทยทั้งประเทศ ไปเป็นต้นทุน เพื่อนำขายและกอบโกยผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเอง
นายปราโมทย์กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ทะนงตัว นอกจากสร้างภาพหลอกคนอื่นว่าเก่งแล้ว ยังเป็นผู้อุปโลกน์หลักเศรษฐกิจแนวทางใหม่ที่เรียกว่า “ทักษิโณมิกส์” โดยอวดว่าสามารถแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ ทั้งที่ ถ้าหากเศรษฐกิจประเทศดีขึ้นจริง ประชาชนต้องมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ไม่ใช่นำนโยบายประชานิยมไปหว่านแห ให้คนจนลุ่มหลง จนทำให้เกิดปัญหาหนี้สิ้นครัวเรือนเพิ่มขึ้น ซึ่งกรณีนี้ หากใครไปฟัง พ.ต.ท.ทักษิณ แล้วไม่ได้ไตร่ตรองคิดให้รอบคอบ จะไม่รู้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ โกงบ้านเมืองอย่างไร นอกจากนี้ ในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศช่วยเหลือชาวนาให้กู้หนี้ยืมสิ้นได้ ซึ่งมีชาวบ้านหลงเชื่อมาลงชื่อเป็นจำนวนมาก แต่ข้อแม้การกู้ต้องเอาที่นามาค้ำประกัน พอชาวนาเป็นหนี้ ไม่มีปัญญาจ่าย ก็เข้ายึดครองที่นา ทำให้ชาวนาเดือดร้อนมากกว่าเดิม ตนอยากถามว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการช่วยเหลือชาวนาจริง ทำไมต้องยึดที่ดินทำกิน ทำไมไม่หาวิธีอื่นที่ช่วยส่งเสริมอาชีพ ทำให้ชาวนาลืมตาอ้าปากได้
นายสุทธิพงษ์กล่าวปิดท้ายว่า คำว่า “ขายชาติ” จะมีสักกี่คนที่รู้ซึ้งถึงความหมายของคำคำนี้ โดยการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เอาสมบัติชาติไปขายและแก้กฏหมายถือครองกรรมสิทธิ์ เปิดทางให้ต่างชาติสามารถถือหุ้นจาก 25% เป็น 49% นับเป็นเสียหายของประเทศ เพราะผลประโยชน์ไม่ได้ตกอยู่กับส่วนรวม แต่ดันเข้ากระเป๋า พ.ต.ท.ทักษิณ และพวกพ้อง ตนจึงนับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นต้นตอความแตกแยกของประเทศอย่างแท้จริง และขอสนับสนุนการต่อสู้เพื่อความถูกต้องของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ต่อสู้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ นักธุรกิจและนักการเมืองจอมคอรัปชัน