ASTVผู้จัดการออนไลน์ - กระทรวงการต่างประเทศแจงรัฐบาลไทยไม่เคยมีนโยบายสร้างรัฐกันชนใกล้ปราสาทพระวิหาร ยืนยันยังไม่มีแผนเสนอให้ผนวกพื้นที่ป่าอุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า 1.5 ล้านไร่ เข้ากับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารของกัมพูชา
น.ส.วิมล คิดชอบ อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ได้ทำหนังสือชี้แจงข่าวการออกแถลงการณ์ของเครือข่ายติดตามปัญหาเขาพระวิหารในหัวข้อข่าว “หวั่นเสียค่าโง่เขมรซ้ำซาก” ตีพิมพ์ใน “ASTVผู้จัดการรายวัน” หน้า 16 ประจำวันอังคารที่ 28 ก.ค.52 ที่ผ่านมาในประเด็นต่างๆ เพื่อให้ข้อมูลข้อเท็จจริงเป็นที่กระจ่างชัดต่อสาธารณชน ดังนี้
1) การยกเลิกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ฉบับวันที่ 18 มิ.ย.51 ในรายงานข่าวระบุว่า มีการเสนอให้ไทยยกเลิกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ฉบับวันที่ 18 มิ.ย.2551 ซึ่งข้อเท็จจริง ฝ่ายไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนคำแถลงการณ์ร่วมดังกล่าวสิ้นผลไปแล้ว และไทยกับกัมพูชาไม่มีพันธะกรณีระหว่างกันตามแถลงการณ์ร่วมฯ อีก
ขณะเดียวกัน กระทรวงการต่างประเทศได้ดำเนินการให้ประเทศสมาชิกคณะกรรมการมรดกโลกได้รับทราบถึงการระงับและสิ้นผลของแถลงการณ์ร่วมฯ แล้ว และในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลก สมัยที่ 32 ที่เมืองคิวเบก ประเทศแคนาดา ระหว่างวันที่ 2-10 ก.ค.51 คณะกรรมการมรดกโลกได้มีมติขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร เป็นมรดกโลก โดยระบในข้อ 5 ของข้อมติว่า “คำแถลงการณ์ร่วมฯ ต้องไม่นำมาใช้ในการพิจารณา”
นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 27 พ.ย.51 ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีวันที่ 17 มิ.ย.51 ที่อนุมัติให้นายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในขณะนั้นลงนามในแถลงการณ์ร่วมแล้ว
2) แผนบริหารจัดการพื้นที่พัฒนาร่วม 1.5 ล้านไร่ อธิบดีกรมสารนิเทศชี้แจงว่า รัฐบาลไทยยังไม่มีแผนที่จะเสนอให้มีการผนวกพื้นที่อุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าของไทย จำนวน 1.5 ล้านไร่ เข้ากับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารของกัมพูชา
3) การสัญจรรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ในเรื่องที่กระทรวงการต่างประเทศกำลังดำเนินการชี้แจงและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ตามมาตรา 190 วรรค 3 ของรัฐธรรมนูญฯ คือ เรื่องการเจรจาจัดทำข้อตกลงชั่วคราวเกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดนบริเวณปราสาทพระวิหาร ซึ่งเป็นการเจรจาเพื่อแก้ไขปัญหาความตึงเครียดและหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งในบริเวณเขาพระวิหารในระหว่างรอผลการเจรจาสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ซึ่งไม่ได้มีประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก หรือแถลงการณ์ร่วม ฉบับวันที่ 18 มิ.ย.51 แต่อย่างใด ทั้งนี้ รัฐสภาได้มีมติเห็นชอบกรอบการเจรจาข้อตกลงชั่วคราวฯ แล้ว เมื่อวันที่ 28 ต.ค.2551 ด้วยคะแนนเสียง 409 เสียง จากผู้เข้าร่วมประชุม 418 เสียง
กระทรวงการต่างประเทศ ขอยืนยันว่า ในการเจรจาจัดทำข้อตกลงชั่วคราวฯ รัฐบาลได้ดำเนินการตามมาตรา 190 อย่างเคร่งครัด ตั้งแต่การขอกรอบเจรจา การชี้แจงข้อมูลและจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และการชี้แจงต่อรัฐสภาอย่างต่อเนื่อง
4) การสร้างรัฐกันชนในพื้นที่ใกล้ปราสาทพระวิหาร กระทรวงการต่างประเทศ ขอยืนยันว่า ไทยไม่เคยมีนโยบายที่จะสร้าง “รัฐกันชน” ขึ้นในพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ใกล้ปราสาทพระวิหาร
5) การเจรจาพื้นที่เขตทางทะเลที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิทับซ้อนกัน แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ที่ได้รับการเลิกไปแล้ว ไม่มีส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่เขตทางทะเลที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิทับซ้อนกันแม้แต่น้อย
ส่วนเรื่องข่าวว่า กัมพูชาให้สิทธิสัมปทานกับบริษัทฝรั่งเศสนั้น กระทรวงการต่างประเทศกำลังตรวจสอบข้อเท็จจริงอยู่
อย่างไรก็ตาม การให้สิทธิสัมปทานใดๆ ของรัฐบาลกัมพูชาจะไม่ส่งผลกระทบต่อสิทธิของไทย และทั้งสองฝ่ายได้มีการตกลงไว้ตั้งแต่ปี 2518 ว่าจะไม่ให้ผู้รับสิทธิสัมปทานในพื้นที่เขตทางทะเลที่อ้างสิทธิทับซ้อนเข้าไปดำเนินการสำรวจหรือพัฒนาแหล่งทรัพยากรปิโตรเลียมจนกว่าจะสามารถเจรจาหาข้อยุติเรื่องพื้นที่เขตทางทะเลที่ไทยและกัมพูชาอ้างสิทธิทับซ้อนได้