xs
xsm
sm
md
lg

อ.จุฬาฯ ทำ จม.เปิดผนึกจี้ “นช.แม้ว” ยึดคำถวายสัตย์ฯ สั่งลิ่วล้อยุติ “ฎีกาทรพี”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

การล่าชื่อถวายฎีกาฯ ของคนเสื้อแดง
อาจารย์จุฬาฯ เข้าชื่อ ทำจดหมายเปิดผนึก คัดค้าน “แก๊งหางแดง” โฆษณาชวนเชื่อให้ชาวบ้านลงชื่อถวายฎีกา ช่วย “นช.แม้ว” ระบุชัด ทำผิดจารีตประเพณี และไม่ใช่ฎีการ้องทุกข์ที่ถูกต้อง แต่มีเป้าหมายทางการเมืองให้กระทบความเคารพศรัทธาที่ประชาชนมีต่อสถาบันโดยตรง จี้ “ทักษิณ” ปฏิบัติตามคำถวายสัตย์ปฏิญาณ สั่งลิ่วล้อยุติการทำผิดกฎหมาย

รายงานข่าวแจ้งว่า วันนี้ (4 ส.ค.) คณาจารย์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยประมาณ 300 คนได้ทำจดหมายเปิดผนึกเรื่อง “ฎีกาตามกฎหมายและประเพณี และฎีกาการเมือง : อันตรายและผลกระทบ” เพื่อคัดค้านการล่ารายชื่อของกลุ่มคนเสื้อแดงเพื่อทูลเกล้าฯถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำเลยและนักโทษคดีทุจริตที่อยู่ระหว่างหลบหนี เนื่องจากเห็นว่า การล่าชื่อถวายฎีกาครั้งนี้เป็นการฝ่าฝืนประเพณีที่มีมาช้านาน มีปัญหาความไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติที่ถูกต้องในการถวายฎีกา

เนื้อความในจดหมายเปิดผนึก ระบุว่า การถวายฎีกาครั้งนี้ไม่ใช่ฎีการ้องทุกข์ตามปกติ แต่เป็นฎีกาที่มีเป้าหมายในทางการเมืองเพื่อให้กระทบความเคารพศรัทธาที่ประชาชนมีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง จึงเรียกร้องให้ฝ่ายต่างๆ โดยเฉพาะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ปฏิบัติตามคำสัตย์ปฏิญาณที่เคยถวายต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ประเพณี และระเบียบปฏิบัติที่ถูกต้อง และขอให้กลุ่มผู้นำการเมืองซึ่งสนับสนุนตัวเขา ที่ดำเนินการโฆษณาล่ารายชื่ออยู่ในขณะนี้หยุดยั้งกระทำการผิดกฎหมาย ประเพณี และระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการฎีกาเสีย และขอให้ประชาชน ผู้จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่หลงเชื่อคำโฆษณาที่มิได้เป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้องของกฎหมาย ประเพณี และระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการถวายฎีกา

จดหมายเปิดผนึกของคณาจารย์จุฬาฯ ยังขอให้สภามหาวิทยาลัยทุกมหาวิทยาลัย นักวิชาการที่เป็นผู้นำความคิด และปัญญาในสังคม เจ้าหน้าที่ของรัฐ สื่อมวลชน นักธุรกิจ ประชาชนพิจารณาดำเนินการให้จดหมายเปิดผนึกนี้ไปสู่การพิจารณาของรัฐบาล ราชเลขาธิการ และประชาชนทั้งประเทศ เพื่อให้การเป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย ประเพณี ระเบียบ และความเหมาะสมดีงามตามที่ถูกที่ควร พร้อมขอเรียกร้องให้สำนักราชเลขาธิการ ซึ่งมีอำนาจในการกลั่นกรองเรื่องฎีกาขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ใช้อำนาจตามกฎหมายและประเพณีที่มีอยู่ พิจารณาฎีกาดังกล่าวให้รอบคอบก่อนตัดสินใจดำเนินการใดๆ

สำหรับรายละเอียดในจดหมายเปิดผนึกเรื่อง ฎีกาตามกฎหมายและประเพณี และฎีกาการเมือง : อันตรายและผลกระทบ มีดังนี้

“บรรดาคณาจารย์ นักวิชาการและบุคคลผู้มีรายนามข้างท้ายนี้ได้ติดตามศึกษากระแสที่มีโฆษณาชักชวนให้ประชาชนโดยทั่วไป ร่วมกันเข้าชื่อทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาเพื่อ “ทรงพระกรุณาอภัยโทษให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุก 2 ปี นั้นเสีย เพื่อจักได้อิสรภาพกลับมาเป็นข้าทูลละอองธุลีพระบาททำประโยชน์ต่อแผ่นดิน”

โดยให้เหตุผลว่า “เวลานี้เหลือที่พึ่งสุดท้ายหนึ่งเดียวที่ข้าพระพุทธเจ้าพึ่งได้ คือ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท เพราะ....... มีสายพระเนตรยาวไกล คงจะไม่ปล่อยปละละเลยพสกนิกรให้จมอยู่กับความระทมทุกข์เป็นเวลายาวนานเกินไป”

บุคคลที่มีรายนามข้างท้ายนี้ ได้ศึกษาประเพณีถวายฎีกา และได้ศึกษารัฐธรรมนูญ กฎหมาย และระเบียบปฏิบัติโดยถี่ถ้วนแล้ว มีความเห็นร่วมกันว่า ในการถวายฎีกาในครั้งนี้ เป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนประเพณีที่มีมาช้านาน ทั้งยังมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมาย ตลอดจนยังเป็นการจงใจไม่ปฏิบัติตามระเบียบปฏิบัติที่ถูกต้องในการถวายฎีกา ดังนี้

1.การทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาต่อพระมหากษัตริย์ ในปัจจุบันมีสองประเภท คือ ฎีกาขอพระราชอภัยโทษของนักโทษในคดีที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วประการหนึ่ง และฎีกาของพระราชทานความเป็นธรรมในเรื่องต่างๆ อีกหลายประการหนึ่ง

1.1 ฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 259-267 และพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23 วรรค 2 ที่ว่า “คดีใดซึ่งศาลฎีกาได้พิจารณาพิพากษาแล้วคู่ความหามีสิทธิที่จะทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาคัดค้านคดีนั้นต่อไปอีกไม่” ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับที่พระราชกฤษฎีกาวางระเบียบทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาซึ่งตราขึ้นโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2457 และยังอนุโลมใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ข้อ 1(1) ที่ว่า “ขอพระราชทานพระมหากรุณาลดหย่อนผ่อนโทษ ซึ่งศาลหลวงใดๆ ตั้งแต่ศาลฎีกาลงไปได้วางบทแล้วตามพระราชกำหนดกฎหมาย (แต่ไม่ใช่โต้แย้งคำพิพากษาของศาลนั้นๆ)”

นอกจากนั้น ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้วางหลักการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษไว้ ทั้งผู้มีสิทธิ์ทูลเกล้าฯ ถวาย สถานที่ที่จะยื่น ขั้นตอนการถวายฎีกาและการกราบบังคมทูลฯถวายความเห็นของรัฐบาล กล่าวคือ

ผู้มีสิทธิ์ทูลเกล้าฯถวายฎีกาต้องเป็น ผู้ต้องคำพิพากษาเอง (ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) หรือผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้องอันได้แก่ บิดา มารดา คู่สมรส บุตร ญาติพี่น้อง (มาตรา 259) หรือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม (มาตรา 261 วรรคสอง)

สถานที่ที่จะยื่นฎีกา คือ เรือนจำ หรือกระทรวงยุติธรรม การทูลเกล้าฯถวายฎีกาต่อสำนักราชเลขาธิการ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวนั้น “ถือเป็นการยื่นเรื่องราวที่ไม่ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมาย” หากไปยื่นต่อสำนักราชเลขาธิการ หน่วยงานนั้นก็ต้องส่งเรื่องย้อนไปมายังกระทรวงยุติธรรมเพื่อรวบรวมข้อเท็จจริง และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมทำความเห็นกราบบังคมทูลขึ้นไปก่อนอยู่นั้นเอง

1.2 ฎีการ้องทุกข์หรือขอพระราชทานความเป็นธรรม

ประชาชนคนใดได้รับความเดือดร้อนก็สามารถทูลเกล้าฯ ถวาย ขอพระมหากรุณาให้ทรงช่วยเหลือ หรือทรงแก้ไขความทุกข์ให้ เช่น ขอพระราชทานที่ดินทำกิน ขอพระราชทานแหล่งน้ำ หรือส่วนราชการกระทำการอันไม่เป็นธรรม ฎีกาประเภทนี้ พระราชกฤษฎีกาวางระเบียบการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา พ.ศ.2457 ข้อ 1(2) กำหนดว่าต้องเป็นการ

“ขอพระราชทานพระมหากรุณา ขอรับพระราชทานพระราชานุเคราะห์ในกิจการส่วนตัวเพื่อปลดเปลื้องทุกข์อันจะหาหนทางปลดเปลื้องโดยอาการอื่นไม่ได้ นอกจากขอพระราชทานพระมหากรุณาโดยตรง” กล่าวอีกนัยหนึ่ง ก็คือ การทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาประเภทนี้ ต้องขอโดยผู้มีทุกข์และขอในกิจการส่วนตัวของผู้นั้นเอง เพราะเจ้าหน้าที่จะต้องสัมภาษณ์หารือ ติดต่อขอทราบข้อมูลเพิ่มเติม มิใช่ว่าถวายแล้วก็อยู่นิ่งเฉยปล่อยให้เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่แต่ฝ่ายเดียว ฎีการ้องทุกข์ประเภทนี้จะทูลเกล้าฯ ผ่านทางใดก็ได้

1.3 ขั้นตอนการพิจารณาการฎีกา

หากเป็นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ก็เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ต้องสรุปข้อเท็จจริง นำเสนอตามลำดับจนถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แล้วรัฐมนตรีก็จะทำความเห็น ส่งเรื่องไปที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ซึ่งจะสรุปเรื่องให้นายกรัฐมนตรีหรือรองนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับมอบหมายลงนามทูลเกล้าฯ ถวายความเห็น แล้วเรื่องไปสำนักราชเลขาธิการ เพื่อเสนอคณะองคมนตรีกลั่นกรองและทูลเกล้าฯ ถวายความเห็นต่อไป ขั้นตอนต่อจากนี้ก็สุดแท้แต่จะทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยให้พระราชทานอภัยโทษ หรือ ลดโทษ หรือยกฎีกา

อนึ่ง หากมีการยื่นผิดขั้นตอนไปยังสำนักราชเลขาธิการ สำนักราชเลขาธิการก็ไม่อาจพิจารณาเรื่องได้ ต้องส่งเรื่องกลับไปที่กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรมเพื่อเริ่มต้นให้ถูกต้อง

สำหรับฎีการ้องทุกข์นั้น ไม่ว่าจะทูลเกล้าฯ ถวายโดยทางใด สำนักราชเลขาธิการก็จะส่งเรื่องไปยังสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อให้สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีสอบถามไปยังหน่วยงานที่ถูกร้องฎีกานั้นชี้แจง รวมทั้งสอบถามไปยังหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักข่าวกรอง กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานอื่นๆ เพื่อรวบรวมข้อมูลมาทำสรุปข้อเท็จจริงเสนอสำนักราชเลขาธิการ แต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเมือง ก็ต้องถามความเห็นให้ครบถ้วนแล้วสรุปเรื่องเสนอนายกรัฐมนตรีสั่งการ และทำวามเห็นเพื่อประกอบพระบรมราชวินิจฉัย

ฎีการ้องทุกข์นี้เป็นที่น่าสังเกตว่า ตามประเพณีและคำพิพากษาศาลฎีกา เคยวินิจฉัยว่า “....ราชเลขาธิการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ย่อมมีหน้าที่ต้องคอยกลั่นกรองเรื่องราวต่างๆ ที่นำขึ้นกราบบังคมทูลให้ทรงทราบตามที่เห็นสมควรให้เหมาะสมกับกาลเทศะและราชประเพณี ซึ่งจะต้องกระทำด้วยความรอบคอบ มิใช่ว่าเมื่อมีการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาในเรื่องใดก็จะต้องรีบนำขึ้นกราบบังคมทูลให้ทรงทราบทันที โดยไม่ต้องสอบสวนเรื่องราวให้ได้ความถ่องแท้เสียก่อน” (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 808/2528) อำนาจนี้รวมถึงการที่ราชเลขาธิการอาจงดไม่นำขึ้นทูลเกล้าฯถวายได้ โดยเฉพาะฎีกาขอพระมหากรุณาบางเรื่อง (เช่น ของานทำ) หรือฎีกาที่ใจความหรือสาเหตุที่อ้างคลุมเครือไม่มีมูล

ดังนั้น การทีมีผู้อ้างเมื่อเร็วๆ นี้ว่าการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ครั้งนี้จะ “ข้ามหัวองคมนตรี” จึงเป็นการละลาบละล้วง จ้วงจาบเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว โดยไม่มีนำพาต่อระเบียบประเพณีและรัฐธรรมนูญที่ว่าคณะองคมนตรีเป็นที่ปรึกษาของพระมหากษัตริย์

1.4 พระราชอำนาจในการทรงพิจารณาฎีกา


แม้การพระราชทานอภัยโทษในรัฐธรรมนูญมาตรา 191 จะบัญญัติว่า “พระมหากษัตริย์ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจในการพระราชทานอภัยโทษ” ก็อยู่ภายใต้หลักการที่ว่าในการที่พระมหากษัตริย์จะทรงใช้พระราชอำนาจทุกชนิดที่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดิน เช่น พระราชทานอภัยโทษก็ดี หรือแก้ไขทุกข์ของราษฎรที่ต้องให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐปฏิบัติก็ดี พระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตยโดยผ่านคณะรัฐมนตรีซึ่งต้องรับผิดชอบทางการเมือง

ดังที่รัฐธรรมนูญมาตรา 195 กำหนดว่า “บทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการอันเกี่ยวกับราชการแผ่นดินนั้น ต้องมีรัฐมนตรี ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ เว้นแต่ที่มีบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญนี้”

ดังนั้น นายกรัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรี ที่รับมอบหมายจึงต้องเป็นผู้กลั่นกรองเรื่องฎีกาทุกชนิดที่เกี่ยวกับราชการแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ หรือฎีการ้องทุกข์ รวมทั้งกราบบังคมทูล ถวายคำแนะนำ และรับผิดชอบทางการเมืองและกฎหมายแทนพระมหากษัตริย์ ตามหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ยกเว้นฎีกาที่ไม่เกี่ยวกับราชการแผ่นดิน หากมีพระมหากรุณาพระราชทานเป็นการส่วนพระองค์ ย่อมเป็นพระราชอำนาจส่วนพระองค์โดยแท้ที่นายกรัฐมนตรีไม่เข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรง

2.หากพิจารณากระบวนการโฆษณาให้ประชาชนมาร่วมลงชื่อถวายฎีกา พิจารณาเนื้อความฎีกา และจุดประสงค์ ร่วมกันทั้งหมดแล้ว วิญญูชนย่อมทราบดีว่า ฎีกาที่กำลังรวบรวมรายชื่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ให้ได้นับล้านนี้ ไม่ใช่ทั้งฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ไม่ใช่ฎีการ้องทุกข์ แต่เป็นฎีกาทางการเมืองที่หวังผลทางการเมืองโดยชัดแจ้ง โดยอาศัยกระแสมวลชนตามที่ชินกับการดำเนินการในทางการเมืองอื่นมาผลักดัน หรือกดดันผู้เกี่ยวข้องในเรื่องนี้โดยไม่สมควร

2.1 ฎีกานี้ไม่ใช่ฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ และไม่ใช่ฎีการ้องทุกข์ที่ถูกต้อง ด้วยเหตุผล ดังนี้


2.1.1 หากเป็นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษต้องยื่นโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เองหรือ บิดา มารดา คู่สมรส บุตร หรือญาติพี่น้อง แต่ขบวนการนี้ไม่ได้มีฐานะใดฐานะหนึ่งดังกล่าว นอกจากนั้น การยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ ต้องมิใช่การโต้แย้งคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง แต่เนื้อความในฎีกาฉบับนี้ในข้อ 2 กลับมีว่า “....ใช้กฎหมายที่ไม่ต้องด้วยหลักนิติธรรมดำเนินคดี...”

ในข้อ 3 ที่ว่า “การยึดอำนาจการปกครองเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549..... ยังมีผลกระทบโดยตรงต่อกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมของประเทศ จนนักกฎหมายผู้เคารพต่อศักดิ์ศรีวิชาชีพต่างเห็นพ้องต้องกันว่าจากปี 2549 ถึงปัจจุบันนี้ ประเทศเรามีปัญหาด้านนิติรัฐและนิติธรรม เป็นที่น่าอับอายแก่นานาอารยประเทศ ข้าพระพุทธเจ้าและชาวบ้านทั่วไปต่างรู้ซาบซึ้งดีว่าการใช้กฎหมายสองมาตรฐานกับคนสองพวก การไม่ใช้กฎหมายโดยเสมอภาคเป็นวิธีการที่อนารยะ เป็นเรื่องไม่อาจยอมรับได้........” ซึ่งสอดคล้องกับคำให้สัมภาษณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ว่าไม่ได้รับความยุติธรรม และตนเองไม่มีความผิดใดๆ

แสดงให้เห็นชัดว่าเป็นการโต้แย้งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยตรง

2.1.2 ฎีกานี้ไม่ใช่ฎีการ้องทุกข์ปกติของราษฎรอีก เพราะการร้องทุกข์นั้น ต้องร้องตามพระราชกฤษฎีกาวางระเบียบการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา พ.ศ.2457 ข้อ 1(2) ที่ว่าต้อง “ขอรับพระราชทานพระราชานุเคราะห์ในกิจส่วนตัว” ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เอง ไม่ใช่ด้วยการชักชวนให้ประชาชนมาเข้าชื่อร้องทุกข์เพื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งที่ไม่มีเหตุขัดข้องใด ๆ ที่จะยื่นถวายฎีกาเองไม่ได้ อันจะเข้าลักษณะที่ว่า เจ้าตัวยังมิได้เดือนร้อนใดๆ แต่มีผู้อื่นเดือนร้อนยิ่งกว่า

ดังนั้น หากจะร้องทุกข์ให้ชอบด้วยประเพณีและกฎหมายบ้านเมืองแล้ว อดีตนายกรัฐมนตรีผู้เคยบริหารราชการแผ่นดินในตำแหน่งสูงสุดมาก่อน ก็ชอบที่จะเคารพแบบแผนประเพณี และกฎหมาย ด้วยการถวายฎีการ้องทุกข์ด้วยตนเอง แม้ทางไปรษณีย์ก็ย่อมทำได้

2.1.3 ฎีกานี้จึงเป็นฎีกาการเมือง โดยกระบวนการทำ โดยเป้าหมาย เนื้อหา และผลกระทบ มีดังนี้

ก.การโฆษณารวบรวมรายชื่อประชาชนผู้บริสุทธิ์ ให้ลงชื่อในฎีกาได้นับล้านคน เป็นกระบวนการสร้างกระแสกดดันพระมหากษัตริย์โดยตรง ทั้งยังหวังผลในการวัดความนิยมทางการเมืองต่อตัวอดีตนายกรัฐมนตรีและพรรคการเมืองที่สนับสนุน เพื่อประโยชน์ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ดุจนำเรื่องนี้มาเป็นเครื่องต่อรอง


อนึ่ง การรวบรวมรายชื่อคนจำนวนมากทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาอาจมี แล้วในอดีต แต่ก็นับว่าเป็นการไม่สมควรและไม่ถูกต้อง จึงไม่ควรอ้างการกระทำดังกล่าวเป็นแบบอย่างการกระทำในครั้งนี้

ข.เป้าหมายของฎีกานี้มีขึ้นเพื่อให้กระทบความเคารพศรัทธาที่ประชาชนมีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง กล่าวคือ หากมีพระบรมราชวินิจฉัยยกฎีกา หรือไม่ทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยประการใด ผู้เป็นแกนนำก็คงทราบดีว่า จะสร้างความไม่พอใจให้เกิดขึ้นกับประชาชนจำนวนมากที่เข้าชื่อ อันเป็นการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ลงมาในการต่อสู้ทางการเมือง เพื่อประโยชน์ส่วนตนและส่วนพรรค หากมีพระบรมราชวินิจฉัยพระราชทานอภัยโทษหรือลดโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับคณะก็จะได้ประโยชน์ทางกฎหมายและทางการเมืองอีก

ค.เนื้อความในฎีกามีความไม่เหมาะสมหลายประการ อาทิ “ระบอบเผด็จการทหารที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” หรือ การกล่าวตู่พระบรมราชวินิจฉัยว่า “คงจะไม่ปล่อยปละละเลยพสกนิกรให้จมอยู่กับความระทมทุกข์เป็นเวลายาวนานเกินไป” อันแสดงในตัวว่าหากทรงยกฎีกาหรือไม่มีพระบรมราชวินิจฉัยก็เป็นการปล่อยให้ประชาชนระทมทุกข์ ถ้าจะให้ประชาชนพ้นทุกข์ก็ มีวิถีทางเดียวคือต้องทรงใช้พระราชอำนาจพระราชทานอภัยโทษ อันเสมือนเป็นการเดิมพัน ไม่ปล่อยให้การเป็นไปตามพระราชอัธยาศัยอันกอปรด้วยธรรมอยู่แล้ว

ง.เคยปรากฏข้อความวีดีโอลิงค์ในหลายเวทีรวมทั้งในวันที่ 26 กรกฎาคม 2552 มาแล้วว่า “หากได้รับพระเมตตา ก็จะกลับมารับใช้ประเทศชาติ” การกระทำดังกล่าวของแกนนำหลายจึงน่าวิตกว่าจะเกิดผลกระทบทางการเมืองตามมา ดังนี้

(1) ฎีกานี้สร้างแบบอย่างผิด ๆ ทางการเมืองว่า ถ้าหวังผลสำเร็จ ต้องรวบรวมรายชื่อจำนวนมากทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาให้ได้ ยิ่งมากยิ่งดี

(2) ฎีกานี้เป็นการดึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งต้องทรงเป็นกลางทางการเมือง และไม่อาจมีพระบรมราชวินิจฉัยทางการเมืองได้ ให้ลงมาสู่ความขัดแย้งทางการเมืองโดยตรง ทั้งยังนำประชาชนจำนวนมากให้เข้ามาสู่ความแตกแยกแบ่งฝ่าย ที่สำคัญคือการใช้จำนวนคนมาเป็นปัจจัยประกอบพระบรมราชวินิจฉัยโดยไม่บังควร


เพราะหากทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยให้เป็นคุณแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและคณะ ก็อาจทำให้ผู้ต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคณะไม่พอใจ หากวินิจฉัยให้เป็นโทษแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็จะทำให้ผู้ร่วมลงชื่อถวายฎีกาและผู้สนับสนุนไม่พอใจ ดังนั้น ไม่ว่าจะมีพระบรมราชวินิจฉัยทางใด ผลกระทบทางการเมืองจะเกิดขึ้นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ทุกทาง ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้

ด้วยเหตุดังได้ศึกษาและวิเคราะห์โดยถี่ถ้วนคณาจารย์ นักวิชาการและบุคคลผู้มีรายนามข้างท้ายนี้ ขอเรียกร้องบุคคลและองค์กรต่างๆ ดังนี้

(1) ขอให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ปฏิบัติตามคำสัตย์ปฏิญาณที่เคยถวายต่อพระมหากษัตริย์ รวมทั้งปฏิบัติตามกฎหมาย ประเพณี และระเบียบปฏิบัติที่ถูกต้อง ด้วยการขอให้กลุ่มผู้นำการเมืองซึ่งสนับสนุนตน ที่ดำเนินการโฆษณาล่ารายชื่ออยู่นี้หยุดยั้งกระทำการผิดกฎหมาย ประเพณีและระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการฎีกาเสีย และหากจะขอพระราชทานพระมหากรุณาด้วยตนเอง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็มีสิทธิโดยชอบที่จะกระทำการเช่นนั้นด้วยตนเอง

(2) ขอให้ผู้นำการเมือง ยุติการกระทำที่มิได้เป็นไปตามกฎหมาย ประเพณี และระเบียบปฏิบัติที่ถูกต้อง และยุติการกระพือความขัดแย้งแบ่งฝ่ายที่กำลังทำอยู่โดยพลัน

(3) ขอให้ประชาชน ผู้จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่หลงเชื่อคำโฆษณาที่มิได้เป็นไปตามขั้นตอนที่ถูกต้องของกฎหมาย ประเพณี และระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการถวายฎีกา การมีความนิยมในตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช้เรื่องผิดแต่ประการใดแต่จะนำความนิยมนั้นมาเสี่ยงต่อการละเมิดกฎหมาย ประเพณี และระเบียบปฏิบัติที่ถูกต้องไม่ได้

(4) ขอให้สภามหาวิทยาลัยทุกมหาวิทยาลัย นักวิชาการที่เป็นผู้นำความคิด และปัญญาในสังคม เจ้าหน้าที่ของรัฐ สื่อมวลชน นักธุรกิจ ประชาชนพิจารณาดำเนินการให้จดหมายเปิดผนึกนี้ไปสู่การพิจารณาของรัฐบาล ราชเลขาธิการ และประชาชนทั้งประเทศ เพื่อให้การเป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย ประเพณี ระเบียบ และความเหมาะสมดีงามตามที่ถูกที่ควร

(5) ขอให้รัฐบาลปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ด้วยการกลั่นกรองเรื่องฎีกาที่เกี่ยวกับการบริหารราชการแผ่นดินนี้ให้รอบคอบ และถูกต้องตามกฎหมาย ประเพณี และระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา และแสดงความรับผิดชอบทางการเมืองแทนสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วยความกล้าหาญ โดยการไม่นำฎีกาการเมือง ที่ไม่ใช่ทั้งฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ และไม่ใช่ฎีการ้องทุกข์ หรือขอพระราชทานความเป็นธรรมขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ให้เป็นที่ลำบากพระทัย และเป็นการตัดไฟแต่ต้นลมไม่ให้ความขัดแย้งทางการเมืองลุกลามไปกระทบต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

(6) ขอเรียกร้องให้สำนักราชเลขาธิการ ซึ่งมีอำนาจในการกลั่นกรองเรื่องฎีกาขึ้นทูลเกล้าฯ ถวาย ใช้อำนาจตามกฎหมายและประเพณีที่มีอยู่ พิจารณาฎีกาดังกล่าวให้รอบคอบก่อนตัดสินใจดำเนินการใดๆ”

กำลังโหลดความคิดเห็น