xs
xsm
sm
md
lg

สตช.ล็อบบี้เลิกมติ ครม. ดิ้นต่ออำนาจตั้งโผ ตร.ฉาว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
อาจกล่าวได้ว่า อนาคตบนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เพิ่งผ่านการอยู่ในตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของประเทศ ได้ 7 เดือนเท่านั้น จะสามารถอยู่ยาวต่อไปได้แค่ไหน ขึ้นกับปัจจัยที่สำคัญก็คือ “ความกล้า”ของอภิสิทธิ์ที่จะเป็นสิ่งบ่งบอกถึงภาวะผู้นำของเขา

อันเป็นเรื่องที่สังคมไทยอยากให้นายอภิสิทธิ์แสดงภาวะผู้นำที่กล้าหาญเฉียบขาดต่อการแก้ไขปัญหาของประเทศในทุกๆ เรื่อง

มิใช่ เจอเสียงข่มขู่ฝ่อจากฝ่ายผู้เสียประโยชน์ที่จะโดนจัดการ แล้วถอย ไม่ยอมเดินหน้าต่อไป

อาจเข้าใจได้ว่า การแก้ปัญหานั้นหากทำได้ด้วยวิธีสันติ แล้วบรรลุเป้าหมายก็เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายย่อมเห็นด้วยอย่างแน่นอน เสมือนชนะสงครามโดยไม่ต้องรบนั้น ถือว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่

ยิ่งตอนนี้สังคมไทยบอบช้ำกับการที่บ้านเมืองแตกแยกแบ่งฝ่าย จนส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทุกด้าน ไม่ว่าจะด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม หากปัญหาได้รับการจัดการให้ยุติลงได้ด้วยวิธีที่ไม่เพิ่มความขัดแย้ง แบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น ก็เป็นทางเลือกที่ควรถูกนำมาใช้เป็นแนวทางการแก้ปัญหาของสังคมไทย

แต่ในกรณีการแก้ปัญหาใน “สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ สตช.” ในยุคนี้ที่มีพล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ นั่งเป็นผู้บัญชาการ นายกฯอภิสิทธิ์จะใช้วิธีรอมชอมใช้แนวทางสมานฉันท์ไม่ได้

เพราะสำนักงานตำรวจฯยุคนี้ตกต่ำ-อัปยศที่สุด สุมไปด้วยปัญหามากมาย ทั้งการบริหารงาน และการอำนวยความยุติธรรมแก่สังคม ทำให้องค์กรสีกากีเสื่อมศรัทธาอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน การแก้ปัญหาตัดหัวยอดอำนาจตำรวจจะต้องใช้ความเด็ดขาด กล้าหาญ และฉับไวทันสถานการณ์ก่อนที่จะทำให้บ้านเมืองแย่ไปเพราะตำรวจมากกว่านี้


สำนักงานตำรวจฯยุคนี้ ตำรวจถูกนำเข้าไปรับใช้อำนาจการเมืองมากที่สุด จนแทบไม่เหลือความเป็น Royal Thai Police การทำงานในภารกิจหน้าที่ของผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ก็บกพร่องหย่อนยานไปมาก คือไม่สามารถปกป้องคุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนที่ไม่มี “เงินและอำนาจ”ได้เลย

เป็นยุคทองของเหล่ามิจฉาชีพ คนดีถูกข่มเหงรังแก

ไม่เพียงเฉพาะสังคมข้างนอก ประชากรตำรวจเองก็เดือดร้อนหนัก จากที่การบริหารงานใน สตช.เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สะท้อนภาพชัดเจนที่สุด ก็เป็นเรื่องการ

แต่งตั้งปรับยศเลื่อนตำแหน่ง

ในการแต่งตั้งโยกย้ายของ สตช.ยุค พล.ต.อ.พัชรวาท ไม่ได้ใช้หลักพิจารณาจากความรู้ ความสามารถ หรือความเหมาะสมตามธรรมเนียมประเพณีปฏิบัติ รวมทั้งผลงานก็ไม่ได้ถูกนำมาพิจารณาเป็นสาระสำคัญในการแต่งตั้งโยกย้ายเหมือนก่อน

หากแต่คนที่จะได้เลื่อนยศหรือย้ายไปอยู่ตำแหน่งสำคัญ ล้วนแต่เป็น “เด็กเส้น”ที่นักการเมืองในสังกัดกลุ่ม “อำนาจใหม่” ถ้าไม่ได้ตีตราเป็นเด็กสายนี้ก็ต้องหิ้วกระเป๋าเอาอย่างว่ามา “ตีตั๋วล่วงหน้า”วางไว้ก่อนบินทีหลัง

หิ้วกระเป๋าเอาอย่างว่ามาประมูลสู้กันดุเดือด ใครมากกว่าเอาไป ระบบคุณธรรมใน สตช.เสื่อมทรุดด้วยเหตุนี้?ถ้าขืนปล่อยให้เป็นไปเช่นนี้ก็ยากที่จะกู้ภาพพจน์ สตช.กลับมาได้

เรื่องฉาวโฉ่ในการแต่งตั้งโยกย้ายเพื่อรองรับการปรับ “โครงสร้างใหม่”รู้กันไปทั่วแผ่นดินทุกตารางนิ้วแล้ว นั่นการเพราะมีกลิ่นเหม็นอย่างแรง ทั้ง “หน้าห้อง-หลังบ้าน”ทำตัวเป็นเซลล์แมนนายหน้าซื้อขาย แย่งโควตา “เก้าอี้เกรดเอ”กันเอง ที่ว่ากันไปสูงถึงตัวเลขแปดหลัก จนเรื่องปูดออกมาให้ลือกันกระหึ่ม

เมื่อโผ 152 นายพลถูกตีกลับ โดยสำนักอารักษ์ หน่วยงานในสังกัดสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรีไม่ยอมให้เรื่องไม่เหมาะสมผ่านขึ้นไป ที่ สตช.หวังจะให้นำทูลเกล้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งๆที่กฤษฎีกาโครงสร้างใหม่ตำรวจจะประกาศให้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 16 สิงหาคม 52

“ส่งคืนรอรับการโปรดเกล้าฯโครงสร้างใหม่”

นี่เป็นคำวินิจฉัยของสำนักอารักษ์ที่ส่งคืนหนังสือหมายเลข นร.05808/ท 4812 เมื่อวันที่ 20ก.ค. และสตช.มารับคืนไปในวันถัดไป

ทำให้แผนการที่จะแต่งตั้งโยกย้ายในระดับรองผู้บังคับการลงมาถึงตำแหน่งสารวัตรในเวลาถัดมาต้องสะดุด ตอนนี้ก็เลยต้องดิ้นหนัก เพราะ “เศรษฐีตำรวจ”ทั้งหลายที่ “ตีตั๋วล่วงหน้า”ไว้

แห่ขอคืนตั๋วกันเพียบ

นี่จึงเป็นคำตอบว่าทำไม สตช.รีบร้อนคลอดโผนายพลออกมา ก็หวังจะได้จัดการเมนคอร์ส -อาหารจานใหญ่ที่รออยู่กับการจัดทำบัญชีตั้งแต่ตั้งโยกย้ายลำดับรองลงมา

การกระทำเช่นนี้ ยังต้องพิจารณาด้วยว่า สตช.นำโผนายพลขอให้นำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมนั้นเป็นสิ่งที่ควรหรือไม่อย่างไร และในเชิงกฎหมายก็เป็นเรื่องผิดขั้นตอน จะมาอ้างว่าเป็นไปเพื่อการบริหารงานบุคคลก็ฟังไม่ขึ้น เหตุเพราะกฎหมายยังไม่ได้บังคับใช้ สตช.จะแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจก่อนมีกฎหมายได้อย่างไร อันเป็นการขัดต่อหลักกฎหมายที่มีหลักว่า ข้าราชการจะทำการอันใดต้องมีกฎหมายรองรับ ถ้าไม่มีกฎหมายทำไม่ได้

อีกเหตุผลที่ สตช.ต้องเร่งรีบดำเนินการให้เสร็จก่อนเดือนสิงหาคม ก็เพราะว่า หากผ่านเดือนกรกฎาคมก็จะติดล็อกไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ เนื่องจากมีมติครม.กำหนดห้ามไม่ให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแต่งตั้งโยกย้าย 60 วันก่อนการเกษียณอายุราชการ ซึ่งมติครม.นี้บังคับใช้กับทุกหน่วยราชการ

พล.ต.อ..พัชรวาทกำลังจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้ นั่นหมายถึงว่า เงื่อนเวลาได้ข้ามเส้นไปแล้วทุกอย่างก็จบเกม พล.ต.อ.พัชรวาทในวันนี้เหลืออายุราชการไม่ถึง 60วัน จึงไม่อาจใช้อำนาจ ผบ.ตร.แต่งตั้งโยกย้ายตำรวจได้


เชื่อหรือไม่ แม้รู้ทั้งรู้ว่าไม่มีอำนาจทำได้แล้ว แต่ความพยายามจะจัดทำบัญชีแต่งตั้งยังไม่ล้มเลิก กลยุทธ์ที่ สตช.ปล่อยออกมาเพื่อให้ได้อำนาจกลับมาอยู่ในมืออีก ก็คือ

ได้พยายามเดินเกมให้คณะรัฐมนตรี “ยกเลิก”มติครม.ดังกล่าว!

เรื่องนี้ คงต้องถามนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่มีความใกล้ชิดและรับใช้กลุ่ม “อำนาจใหม่”อย่างสุดชีวิต เพราะเป็นคนที่รู้เรื่องนี้ดีคนหนึ่ง


แต่กลยุทธ์นี้ก็ต้องแท้งไปอีก เนื่องจากเมื่อนายกฯอภิสิทธิ์เห็นเรื่องจาก “คนเดินสาส์น”ที่มีตำแหน่งใหญ่ในรัฐบาลมาแจ้งให้ทราบ ก็เห็นว่าหากทำไปก็จะเป็นการล้มหลักการโดยไม่มีความจำเป็นและไม่เหมาะสมที่จะหาเหตุผลมาบอกกับสังคมได้

เรื่องขอ “เว้นวรรค”มติ ครม.ห้ามใช้อำนาจแต่งตั้งดังกล่าวจึงโดนตีกลับไปเมื่อสัปดาห์ก่อน

เท่านี้พอฟังได้หรือไม่ว่า การแต่งตั้งโยกย้ายใน สตช.ที่ส่อว่าไม่โปร่งใส่ มีการยัดใส่เด็กฝากและเด็กซื้อตำแหน่ง มีเหตุผลสมควรรับฟังหรือไม่ และนายกฯ อภิสิทธิ์ต้องหาความจริงในเรื่องนี้มาชี้แจงต่อสังคม ถ้าปล่อยให้มีเสียงครหากันกระฉ่อนเช่นนี้ องค์กรตำรวจก็จะได้รับความเสียหาย

เรื่องการบริหารงานทำให้องค์กรเกิดความเสียหาย น่าจะเป็นเหตุให้นายกฯอภิสิทธิ์เข้าไปควบคุมสำนักงานตำรวจด้วยตนเอง ซึ่งเป็นเรื่องสมควรที่จะทำในตอนนี้ เพราะคนในโครงสร้างสำนักงานตำรวจไม่ว่าจะเป็นนายสุเทพก็ดี ผู้บริหาร สตช.ก็ดี ทั้งหลายทั้งปวงต่างใช้อำนาจตำรวจไปในทางที่ผิดเพี้ยนจากธรรมนองครองธรรมไปมาก

จนตำรวจเสียขวัญและกำลังใจ ส่วนประชาชนก็สุดระอา

แต่เหตุการณ์ ผบ.ตร.พัชรวาท ตอกกลับข้อเสนอนายกฯอภิสิทธิ์เพื่อแก้ไขปัญหาตัวพล.ต.อ.พัชรวาทที่ออกมาบอกให้ “พัชรวาทพักงาน”ย่อมถือได้ว่าเป็นคำสั่งของผู้บังคับบัญชาสูงสุด แต่กลับถูกโต้แย้งในทุกข้อทุกประเด็นเมื่อวันที่ 31 ก.ค.เพราะ พล.ต.อ.พัชรวาทย่ามใจว่ามีคนมีอำนาจค่อยหนุนหลัง

เดินหน้าลดความเชื่อถือต่อตัวนายกฯอภิสิทธิ์ ยังเสมือนเป็นการตั้งป้อมเปิดศึกกับรัฐบาล

นอกจากนี้ยังมีขบวนการใต้ดิน นำโดย “เจ๊เรือง” ปล่อยข่าว ให้นายกฯอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์เสียหาย ด้วยการป้ายสีสร้างเรื่อง เช่นการที่นายกฯอภิสิทธิ์ระงับโผ 152 นายพล เพราะเหตุการณ์เมืองขอคนมามาก เมื่อไม่ได้ตามต้องการก็ใช้อำนาจกลั่นแกล้งดึงโผไว้ และขู่ปลด พล.ต.อ.พัชรวาท ฯลฯ

ดังนั้น เหตุผลในการเด้ง ผบ.ตร.นั้นมีอยู่มากมายเพียงพอแล้ว กระทั่งปลดนายสุเทพออกจากรองนายกฯอีกคนยังได้ แต่ก็ “อยู่ที่ใจ”นายกฯอภิสิทธิ์จะเย็นไปได้นานแค่ไหน?

น่าหวั่นว่า แต่หากปล่อยนานไปจนถึงวันเกษียณอายุราชการ พล.ต.อ.พัชรวาทปิดฉากชีวิตตำรวจในตำแหน่ง ผบ.ตร. แต่ “อภิสิทธิ์”อาจจะไม่ได้อยู่เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วในวันนั้น!
พัชรวาท วงษ์สุวรรณ
สุเทพ เทือกสุบรรณ
กำลังโหลดความคิดเห็น