คอลัมน์ “เรื่องมันฟ้อง” โดย กรงเล็บ
โผนายพลที่ทำคลอดโดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย “พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ” และตำรวจใหญ่ที่มีอำนาจประสานมือแน่นเหนียวกับ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” จนได้ 152 นายพลออกมาตามการปรับโครงสร้างใหม่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในตำแหน่งผู้บังคับการถึงผู้บัญชาการ
ท่ามกลางเสียงครหาหนาหูว่ามีกลิ่นไม่ดี มีการใช้ปัจจัยใต้โต๊ะเพื่อให้ได้เก้าอี้ด้วยตัวเลขพุ่งสูงถึงตัวเลข 7 หลักแก่ๆ
งานนี้ หลังบ้านบิ๊กสีกากีกับหน้าห้องตามเก็บตามนับกันแบบไม่หวาดไม่ไหว
เพราะมั่นใจในอำนาจฝ่ายการเมืองที่หนุนหลังอยู่ จนไม่คำนึงถึงความถูกต้องในเรื่องข้อกฎหมาย แม้จะมีการทักท้วงจาก ก.ตร.บางคนว่า การกระทำดังกล่าวอาจขัดกับหลักกฎหมาย เนื่องจากตัวกฎหมายโครงสร้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มีการปรับปรุงใหม่ ยังไม่มีการประกาศใช้ แต่จะมีการผลบังคับใช้ในวันที่ 16 สิงหาคม
ดังนั้น การวางตัวบุคคลก่อนที่โครงสร้างจะมีผล ย่อมเป็นเรื่องที่ต้องบอกว่าไม่ปกติ!
ใครได้ประโยชน์จากความไม่ปกตินี้ มองเห็นกันไม่ยาก ดูได้จากคนที่เร่งรัดผลักดันให้มีการนำเอาโครงสร้างสำนักงานตำรวจแห่งชาติฉบับใหม่มาใช้ ซึ่งเป็นบุคคลที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้
เดินเครื่องเต็มสูบ
จนในที่สุดก็ผลักดันออกมาจนได้ โดยชะล่าใจไม่คิดว่าต้องมาเจอตอเข้าเสียเอง
ตอที่ว่า คือ หลักกฎหมายว่าด้วยเรื่องของความถูกต้อง โดยสำนักอารักษ์ ซึ่งเป็นหน่วยงานในสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี มีหน้าที่กลั่นกรองข้อกฎหมายก่อนจะเสนอนายกรัฐมนตรีลงนาม นำเรื่องขึ้นทูลเกล้าฯ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ได้ทำหนังสือ นร.05808/ท 4812 ลงวันที่ 20 ก.ค. 52 ตีกลับโผนายพลดังกล่าวที่ตั้งเรื่องรอให้มีการนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยหนังสือมาถึงกองทะเบียนพล สำนักกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติในวันถัดมาคือ วันที่ 21 ก.ค. 52 พร้อมกับให้เหตุผลการส่งคืนโผนายพลครั้งนี้ว่า
“ส่งคืนรอรับการโปรดเกล้าฯ โครงสร้างใหม่”
ชัดเจนในความหมาย นั่นย่อมหมายถึงว่าการทำคลอดโผนายพลก่อนกำหนด แม้จะไม่แท้ง แต่เด็กก็ไม่แข็งแรง จนต้องเอาไปเข้าตู้อบเพื่อรอเวลา
เมื่อสำนักอารักษ์ ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดสำนักเลขาธิการครม.ตีกลับเรื่องด้วยเหตุผลดังกล่าว ย่อมบอกนัยได้ว่า การเมืองที่ทำเนียบไม่เล่นด้วยกับสีกากีที่ลุกลี้ลุกลนจะให้ฝ่ายการเมืองนำโผนายพลชุดอัปยศขึ้นทูลเกล้าฯ อันเป็นการกระทำที่มิบังควร
ด้วยเหตุนี้ โผสองที่พยายามกันแบบสุดลิ่มทิ่มประตู ในการแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งรอง ผบก.ไปจนถึงสารวัตร จึงสะดุดไปโดยปริยาย เพราะเมื่อโผแรกถูกตีกลับ เนื่องจากมีปัญหาเรื่องการปรับโครงสร้างใหม่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติยังไม่มีผลบังคับใช้
โดยหลักปฏิบัติโผใหม่ที่พยายามทำกันอยู่ในขณะนี้ก็ควรจะระงับตามไปด้วย และควรปล่อยให้เป็นไปตามกฎระเบียบ คือ
ผบ.ตร.ที่กำลังจะเกษียณอายุราชการในอีกสองเดือนข้างหน้า ไม่ว่าจะมีพี่ชายชื่ออะไรก็ตาม ไม่ควรเข้ามาแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ แต่ควรรอให้ ผบ.ตร.คนต่อไปเข้ามารับช่วงดำเนินการเรื่องนี้แทน จึงจะเป็นเรื่องที่สง่างาม ตรงตามราชการประเพณีปฏิบัติ
แต่ก็ยังมีความพยายามที่จะเดินหน้าในเรื่องนี้ต่อ โดยหวังทำให้เสร็จเรียบร้อยเสียเลยในยุคนี้ แล้วเก็บไว้รอให้การปรับโครงสร้างตำรวจใหม่มีผลบังคับใช้
เหตุผลที่ต้องเร่งรีบดำเนินการให้เสร็จภายในสัปดาห์นี้ก็เพราะว่า หากพ้นสัปดาห์นี้ไปแล้วก็จะติดล็อกไม่สามารถเดินหน้าต่อได้
เนื่องจากมีมติ ครม.กำหนดห้ามไม่ให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติแต่งตั้งโยกย้าย 60 วันก่อนการเกษียณอายุราชการ
พล.ต.อ.พัชรวาทกำลังจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้ นั่นหมายถึงว่า ถ้าข้ามเส้นไปถึงเดือนสิงหาคมทุกอย่างก็เกม
คนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต
แม้จะคิดว่าทุกอย่างสะดวกโยธิน เพราะมีพี่ชายเป็น รมว.กลาโหมคอยติดปีกให้ แถมมีเนวินกับสุเทพหนุนหลังเต็มกำลัง แต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้
ด้วยความหวังที่ต้องการดึงทุกอย่างมาไว้ที่ตัวเอง ทำให้ไม่สามารถทำการแต่งตั้งโยกย้ายได้ทันตามกำหนดเวลา ประกอบกับติดขัดปัญหาข้อกฎหมายที่สำนักอารักษ์ตีกลับโผนายพลดังที่กล่าวข้างต้น
ทำให้เกิดอาการละล้าละลังว่า จะสามารถเดินหน้าต่อได้หรือไม่?
สุดท้ายก็ยอมจำนนแล้วว่าไม่สามารถดำเนินการได้ทัน จึงเป็นเหตุทำให้มีเสียงลือหนาหูว่าไฟลัดวงจรที่ สตช.เมื่อหลายวันก่อน
เป็นเพราะมีใครบางคนอยากทำลายโพยรายชื่อคนที่หลง “จองตั๋วล่วงหน้า” ไปแล้ว เพื่อเป็นข้ออ้างไม่ต้องคืน...ทั้งที่ให้ตำแหน่งเขาไม่ได้ หรือเปล่า?!?