“สุนัย” และ 2 ส.ส.เพื่อไทย แจ้นแจง กกต.อ้างถือหุ้น ปตท.ไม่ใช่บริษัทคู่สัมปทานรัฐ ซัดของฝาก คมช.เขียนรัฐธรรมนูญทำนักการเมืองกลายเป็นคนบาป อ้างเมียเป็นพนักงานบริษัท ปตท.ถือหุ้นตามสิทธิกลับถูกลิดรอน จ้องไล่เมียขายหุ้นทิ้ง ไม่ขายหย่าแน่
วันนี้ (29 มิ.ย.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เมื่อเวลา 11.00 น. นายสุนัย จุลพงศธร นายไพโรจน์ ตันบรรจง และนางปานหทัย เสรีรักษ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ได้เข้าชี้แจงต่อคณะอนุกรรมการสืบสวนสอบสวนของ กกต. กรณีถือหุ้นบริษัทคู่สัมปทานรัฐ
โดยนายสุนัยเปิดเผยหลังการเข้าชี้แจงว่า ตนมีข้อโต้แย้งกรณีหุ้นของบริษัท ปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) และบริษัท ปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย เพื่อการสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.) ว่า เป็นบริษัทที่รับสัมปทานจากรัฐหรือไม่ เนื่องจากเมื่อวันที่ 29 พ.ค. ที่ผ่านมา ผู้จัดการสำนักกฎหมายบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ได้ทำหนังสือตอบนางปานหทัย โดยระบุว่าบริษัท ปตท.มิได้เป็นผู้รับสัมปทานจากรัฐ หรือหน่วยงานของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจแต่อย่างใด เนื่องจากธุรกิจปิโตรเลียมเป็นกิจการที่ดำเนินการได้โดยเสรี แต่ทาง กกต.กลับวินิจฉัยว่า บริษัท ปตท.เป็นสัมปทานของรัฐ
นายสุนัยกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีปัญหาข้อกฎหมาย โดยเฉพาะในส่วนของตน เพราะมาตรา 265 ที่ระบุการห้ามถือครองหุ้นสัมปทานนั้น บังคับรวมไปถึงภรรยาและบุตรที่บรรลุนิติภาวะไปแล้ว โดยภรรยาของตนนั้นเป็นพนักงานบริษัท ปตท. และได้รับหุ้นตามสวัสดิการที่พนักงานได้รับจัดสรร ซึ่งในกรณีนี้ตนมองว่าอาจจะขัดกับ มาตรา 43 และ 44 ของรัฐธรรมนูญเรื่องสิทธิเสรีภาพของพลเมืองในการประกอบอาชีพ หากเป็นอย่างนี้เท่ากับว่าลูกเมียของ ส.ส.ไม่สามารถือหุ้นหรือทำงานได้เลย และตนก็ได้ขายบริษัทและหุ้นไปหมดแล้ว แต่ในส่วนของภรรยาที่มีหุ้นอยู่นั้นก็จะกลับไปบอกให้ขายให้หมด หากไม่ขายก็จะต้องหย่ากันในคราวนี้
“รัฐธรรมนูญมองนักการเมืองชั่วร้าย และมองว่าการถือหุ้นของลูกเมียนั้นทำให้มีอิทธิพลต่อการบริหารธุรกิจ ผมอยากถามกลับว่าอย่างนี้ลูกเมียปลัดกระทรวงพลังงานไม่มีอิทธิพลมากกว่าหรือ อย่างไรก็ตาม ผมยินดีรับคำตัดสินจาก กกต. เพราะรู้ว่าเข้ามาเป็นนักการเมืองก็เหมือนเป็นคนบาปไปแล้ว และเห็นว่าคณะอนุกรรมการฯ ก็คงปวดหัวกับเรื่องนี้ และนี่คือของฝากจากเผด็จการ คมช. เพราะตั้งแต่รัฐธรรมนูญประกาศใช้เรื่องราวก็ยังไม่สงบ วันนี้เรากำลังมองนักการเมืองในแง่ร้าย และกกต.ก็มองกฎหมายเพียงด้านเดียว ไม่ว่าจะออกมาอย่างไรก็ทำใจพร้อมที่จะยอมรับคำตัดสินกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้แล้ว” นายสุนัย กล่าว