xs
xsm
sm
md
lg

พันธมิตรฯ ข้องใจ ผบ.ตร.นิ่งเฉยคดีลอบฆ่า “สนธิ” - จี้ ประธาน ป.ป.ช.หยุดเตะถ่วง"7ตุลาทมิฬ"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แกนนำพันธมิตรฯ ทวงถามความคืบหน้าคดีลอบสังหาร“สนธิ” เชื่อมั่นคนมีสีบงการ แฉนายพลใหญ่เรียกตำรวจหัวหน้าทีมสอบสวนข่มขู่ไม่ติดยศนายพล แถมมีขบวนการดึงฟ้าต่ำแปดเปื้อนหวังบิดเบือนรูปคดี เผยข้องใจ"พัชรวาท"ท่าทีนิ่งเฉย มัวอ้างไม่ได้รับรายงาน ขณะเดียวกันเตรียมทวงถาม ประธาน ป.ป.ช.สอบคดี 7 ตุลาทมิฬ 8 เดือนไม่คืบหน้า หวั่นมีผลประโยชน์ทับซ้อน เหตุ"ปานเทพ"เรียน วปอ.รุ่นเดียวกับพี่ชาย ผบ.ตร.


คลิกที่นี่ เพื่อฟัง เหล่าแกนนำพันธมิตรฯ แถลงข่าว

วันนี้ (25 มิ.ย.) ที่บ้านพระอาทิตย์ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งประกอบไปด้วย พล.ต.จำลอง ศรีเมือง นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายพิภพ ธงไชย และนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้จัดแถลงข่าวเพื่อแสดงความเป็นห่วงถึงความล่าช้าในคดีลอบสังหารนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ซึ่งมี พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.เป็นหัวหน้าคณะทำงาน ที่ล่วงหน้ามาแล้วกว่า 2 เดือนแต่ยังไม่มีความคืบหน้า และเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมา พล.ต.อ.ธานีได้ออกมาให้สัมภาษณ์และยอมรับว่าที่ไม่คืบหน้าเพราะเจอตอ แต่ยังเชื่อในความดีและความเป็นคนตรงไปตรงมาของ พล.ต.อ.ธานี ที่ยืนยันว่าคดีนี้จะคลี่คลายได้แน่ก่อนเกษียณอายุราชการ

นายสุริยะใสแถลงยืนยันว่า การปฏิบัติการลอบสังหารเชื่อว่าจะต้องเป็นฝีมือของคนมีสี ส่วนจะมีทหารสนธิกำลังกับตำรวจหรือไม่นั้นไม่แน่ใจ แต่มีข่าวที่น่าเชื่อถือระบุว่ามีนายพลใหญ่คนหนึ่งได้เรียกระดับหัวหน้าทีมสอบสวนไปข่มขู่ให้หยุดสืบสาวราวเรื่องไม่เช่นนั้นจะโดนเบรกตำแหน่งไม่ได้รับการติดยศนายพล และมีการปล่อยข่าวโดยดึงฟ้าลงมาแปดเปื้อนคดีเพื่อบิดเบือนรูปคดี โดยเป็นการคุกคามกระบวนการสอบสวนเบื้องต้น ทั้งที่คดีนี้จะกลายเป็นบรรทัดฐานในอีกหลายต่อหลายคดีในอนาคต โดยเฉพาะในบรรดาพันธมิตรฯ ที่กำลังจับจ้องฟังความคืบหน้าทางคดี ซึ่งอาจจะนำไปสู่ความไว้วางใจการใช้อำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนต่อไปในอนาคตอย่างแน่นอน

จึงขอเรียกร้องผู้ที่รับผิดชอบในคดีและมีอำนาจรัฐตั้งแต่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีซึ่งดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติรวมทั้งนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีให้ความความสำคัญกับคดีนี้ เพราะเป็นเรื่องที่อุกอาจไล่ฆ่ากันกลางถนนในเมืองหลวง

"ในขณะนี้ท่าทีจาก ผบ.ตร. พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็นท่าทีที่ทำนองว่า ยังไม่ได้รับรายงานว่าคดีถึงไหน อย่างไร เป็นท่าทีที่นิ่งเฉย ไม่ได้ใส่ใจ รวมทั้งท่าทีของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ที่ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือแม้กระทั่งนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เลือกไม่พูดเรื่องนี้ ทั้งที่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นคดีอุกอาจ เป็นคดีท้าทายพี่น้องประชาชน และท้าทายประชาคมโลก"นายสุริยะใสกล่าว

นายสุริยะใสยังกล่าวถึงคดีตำรวจใช้ความรุนแรงสลายการชุมนุมของพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 จนมีผู้บาดเจ็บและล้มตายว่า คดีดังกล่าวในการยื่นต่อ ป.ป.ช.มากว่า 8 เดือนแล้ว แต่คดียังไม่คืบหน้า แม้ว่าเมื่อ 2 เดือนก่อน อนุกรรมการสอบสวนเรื่องนี้ได้รายงานผลการสอบสวนต่อสังคม และทราบข่าวไปแล้วว่า มีข้าราชการการเมือง 2 คน และข้าราชการตำรวจบางนายที่ต้องรับผิดชอบ และความพยายามของอนุกรรมการสอบสวนมีความพยายามหลายครั้งหลายคราที่จะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ แต่ทางพันธมิตรฯ ทราบมาว่า ทางประธาน ป.ป.ช.ไม่บรรจุเข้าในวาระการประชุม

นายสุริยะใสกล่าวอีกว่า ข้อน่าเคลือบแคลงสงสัยในเรื่องนี้ ที่อาจจะเป็นมูลเหตุที่ทำให้การสอบสวนในเรื่องนี้ล่าช้า พันธมิตรฯ ไม่สบายใจ จึงขอตั้งคำถามไปที่การทำหน้าที่ของนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ป.ช. ว่า กำลังเผชิญกับผลประโยชน์ทับซ้อน หรือการขัดกันระหว่างหน้าที่หรือไม่ เพราะทราบมาว่า ประธาน ป.ป.ช. เป็นนักเรียน วปอ.รุ่นเดียวกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ชายของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นนายตำรวจที่ถูกคาดการณ์ว่าอาจจะต้องรับผิดชอบในคดี 7 ตุลา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แล้วทราบมาในคราวเดียวกันว่า ลูกชายของประธาน ป.ป.ช. รับราชการเป็นนายตำรวจอยู่ในขณะนี้ด้วย

"เราไม่ทราบว่านี่เป็นมูลเหตุหรือเปล่า เพราะว่าข้อสันนิษฐานนี้ เป็นเหตุที่ทำให้เราคิดว่า มีความพยายามเตะถ่วงคดีไป เพื่อที่จะให้คดีความนี้ไปหาข้อยุติหลังวันที่ 3 กรกฎาคม เพราะว่าภายในวันที่ 3 กรกฎาคม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ท่านนี้ จะต้องลงนามแต่งตั้งโยกย้ายครั้งใหญ่ ภายใน สตช."นายสุริยะใสกล่าว

ด้านนายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรฯ แถลงว่า ในวันพรุ่งนี้ตนและ พล.ต.จำลองจะเดินทางไปทวงถามความคืบหน้าผลสอบเหตุการณ์ 7 ตุลาทมิฬ จากนายปานเทพ กล้าณรงค์ราญ ประธาน ป.ช.ช.ในเวลา 09.00 น. ซึ่งจะต้องตอบคำถามต่อสังคมให้ได้ว่าเหตุใดถึงได้ล่าช้า และความเป็นองค์กรอิสระบัดนี้มีผลประโยชน์ทับซ้อนเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่ เพราะหลังจากที่ข้อสรุปของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนซึ่งได้ผ่านการพิจารณจาของอนุกรรมการแล้ว แต่เหตุใดนายปานเทพจึงไม่นำเข้าสู่ที่ประชุมใหญ่ เพราะเหตุการณ์ 7 ตุลานั้นเกี่ยวข้องนักการเมือง และตำรวจลงมือฆ่าประชาชน ดังนั้นองค์กรอิสระต้องทำความจริงให้ปรากฏ

ด้าน พล.ต.จำลอง กล่าวว่า ในวันพรุ่งนี้จะไม่มีนายสมศักดิ์ และนายสุริยะใส ไปร่วมด้วย เนื่องจากเกรงว่าจะกระทบต่อบทบาทและตำแหน่งของพรรคการเมืองการใหม่ในอนาคต ส่วนเรื่องการติดตามคดีก็จะได้มอบหมายให้นายพิภพ ธงไชย ทำหน้าที่รักษาการโฆษก ทั้งนี้ แกนนำทั้ง 5 คนยังยืนยันว่าไม่มีการแตกแยกอย่างเด็ดขาด แต่เพื่อให้การทำงานภาคการเมืองและภาคประชาชนเดินไปในรูปแบบคู่ขนานนั้น จึงต้องแยกตัวบุคลากรให้ชัด โดยจะใช้บ้านพระอาทิตย์เป็นที่ประชุมและแถลงข่าวเฉพาะเรื่องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเท่านั้น ส่วนเรื่องพรคการเมืองใหม่ก็จะใช้ที่ทำการพรรคชั่วคราวเป็นที่แถลงข่าว พรรคการเมืองใหม่เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และยืนยันว่า 5 แกนนำยังคงสภาพเดิม และจะมีการจัดประชุมและแถลงข่าวอย่างต่อเนื่อง

อ่านรายละเอียดคำแถลง

สุริยะใส กตะศิลา
“วันนี้มีการประชุม 5 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งมาครบทั้ง 5 ท่าน แต่วันนี้คุณสนธิ กับ อ.สมเกียรติ ติดธุระ ไม่สามารถร่วมแถลงข่าวได้ และได้มอบหมายให้ผมและแกนนำอีก 3 คนมาแถลงในประเด็นสำคัญๆ 3-4 เรื่อง ที่เรามีการพิจารณากันวันนี้

เรื่องแรก ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญและเป็นเรื่องใหญ่ ในวันนี้ เป็นเรื่องความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินการกับผู้ที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ ที่ใช้กำลังปราบปรามประชาชนจนมีผู้บาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก

เรื่องที่ 2 ก็คือความคืบหน้าคดีลอบสังหารคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ซึ่งผ่านไปแล้วเกือบ 3 เดือน ก็ยังไม่มีความคืบหน้าเท่าที่ควร ซึ่งวันนี้ก็จะมีประเด็นสำคัญว่าเพราะเหตุอะไร ซึ่งพันธมิตรฯ จะขอตั้งข้อสังเกต ว่าเพราะเหตุอะไรที่ทำให้คดีนี้มีความล่าช้าจนอาจจะกลายเป็นว่าไม่สามารถจับคนผิดมาลงโทษได้

เรื่องที่ 3 จะเป็นเรื่องที่มีการพาดพิงบทบาทของพันธมิตรฯ กับพรรคการเมืองใหม่ ในเรื่องการเคลื่อนไหวของสหภาพฯ การรถไฟแห่งประเทศไทย เรื่องการขายการรถไฟฯ ที่รัฐบาลอ้างว่าเป็นการแปรรูป คุณสมศักดิ์ ซึ่งเคยเป็นอดีตประธานสหภาพฯ การรถไฟแห่งประเทศไทย จะแถลงชี้แจง ทั้งในนามจุดยืนของพันธมิตรฯ และจุดยืนของพรรคการเมืองใหม่ด้วย ต่อความเป็นไปเป็นมาและเบื้องหน้าเบื้องหลังของข้อพิพาทในเรื่องการรถไฟฯ

เรื่องสุดท้าย คือเรื่องของการปรับโครงสร้างของพันธมิตรฯ เพื่อรองรับบทบาทและภารกิจใหม่ เนื่องจากว่า 5 แกนนำได้รับมอบหมายจากที่ประชุมมวลชนพันธมิตรฯ เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ให้ตั้งพรรคการเมืองใหม่ ซึ่ง 5 แกนนำก็ได้มอบหมายให้คุณสมศักดิ์ และผม เป็นตัวแทนไปทำ ไปจัดตั้ง ไปวางโครงสร้างพรรคการเมืองใหม่ ซึ่งก็มีความคืบหน้าเป็นลำดับ เดี๋ยวก็จะชี้แจงว่าถึงไหน อย่างไร และเปิดให้สื่อมวลชนซักถาม

ประเด็นแรกจะให้คุณสมศักดิ์ โกศัยสุข แถลงเรื่องที่มาที่ไปกรณีพิพาทเรื่องแผนแปรรูปรถไฟของ ครม.รัฐบาลท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เชิญคุณสมศักดิ์ โกศัยสุข ครับ

สมศักดิ์ โกศัยสุข
“สวัสดีครับ ที่จริงพันธมิตรฯ ก็ยังเป็นที่ปรึกษาของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ การรถไฟฯ และทางคุณสาวิทย์ แก้วหวาน ก็ได้แถลงไปบ้างแล้ว แต่อยากจะเรียนเพิ่มเติมให้พี่น้องสื่อมวลชนและประชาชนได้เข้าใจว่า เรื่องนี้แต่เดิมนั้นมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ.2543 ว่า ในการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโครงสร้างใดๆ จะต้องตกลงกับสหภาพแรงงานก่อน แต่ว่าการรถไฟฯ โดยผู้ว่าการรถไฟฯ ฝ่ายบริหารรถไฟไม่ได้ดำเนินการ อันนี้ถือว่าทำผิดข้อตกลง และเท่าที่ผมติดตามตอนที่เจรจาอยู่ที่กระทรวงคมนาคม ก็ยอมรับ ท่านรองนายกฯ พล.ต.สนั่น บอร์ดรถไฟ ก็ยอมรับ นั่นคือสาเหตุของการที่เกิดปัญหา และเรื่องที่ทำไปนั้น ที่ท่านนายกฯ หรือว่ารัฐมนตรีฯ คมนาคม หรือว่าคุณประดิษฐ์ รัฐมนตรีช่วยฯ กระทรวงการคลัง บอกว่าไม่ใช่แปรรูปนั้น ความจริงเป็นเรื่องของการแปรรูป

เรื่องแบบนี้ในสมัยปี 2544 พ.ต.ท.ทักษิณ ก็พูดแบบนี้นะครับว่า การเอารัฐวิสาหกิจไปจำหน่ายในตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่แปรรูป เหมือนกับ ปตท.น่ะครับสุดท้าย นี่คือสิ่งที่เห็น

สำหรับของรถไฟจะเห็นว่าการดำเนินการจะใช้งบประมาณตั้ง 552,112 ล้านบาท อันนี้เป็นหนังสือที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเสนอเลขาฯ คณะรัฐมนตรี ลงวันที่ 13 พฤษภาคม 2552 เพื่อให้ไปพิจารณา แล้วก็ชัดเจนว่า แยกเป็นบริษัท ต้องการให้นายทุนเข้าไปหาประโยชน์ ซึ่งในเอกสารฉบับนี้จะเขียนว่า เห็นควรให้บริษัทบริหารทรัพย์สินทำหน้าที่จัดหาเอกชนเพื่อพัฒนาและบริหารที่ดินของรถไฟ โดยบริษัทจะทำหน้าที่บริหารสัญญาเช่า นี่ก็เห็นชัดนะครับว่าให้เอกชนเข้าไปดำเนินการ ซึ่งที่ดินรถไฟที่จัดสรรหาประโยชน์ ที่เรียกว่าเชิงพาณิชย์นั้น มีประมาณ 28,604 ไร่ ซึ่งเป็นที่ทำเลทองทั้งนั้นเลย

แล้วก็ทราบกันดีนะครับว่ามีนักการเมืองที่มีปัญหากับที่ดินบุรีรัมย์ ที่เขากระโดง และผู้ว่าการรถไฟฯ คนปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างสอบสวนของ ป.ป.ช. เกี่ยวกับเรื่องสัญญาเช่าที่ดิน ตามหนังสือของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน นี่ก็เป็นปัญหาที่ชี้ให้เห็นว่ามันไม่โปร่งใส ฉะนั้นที่สหภาพฯ เขาต่อสู้ไป ไม่ได้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของพนักงานเลย เขาไม่ได้เรียกร้องเงินแม้สักสลึง สักบาทเดียว

ตามกฎหมายแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ฯนั้น สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจมีวัตถุประสงค์ในมาตรา 40 (4) ว่า รักษาผลประโยชน์ของรัฐวิสาหกิจ คือเหมือนกับเป็นสุนัขเฝ้าบ้านที่จะต้องคอยโวยวาย เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชน ฉะนั้นการที่สื่อมวลชนบางคนที่ไปบอกว่าหาผลประโยชน์ส่วนตัวน่ะ อันนี้ไม่ใช่ เพราะว่าเป็นการปกป้องรักษาผลประโยชน์ และทำตามกฎหมาย ซึ่งตอนนี้ที่ ครม.ให้ชะลอไว้ก่อน ผมขอเรียนว่า ในการเอารถไฟไปขายก็คือทรัพย์สินของแผ่นดินที่รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสร้างการรถไฟฯ ขึ้นมา ก็เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ของประชาชน และตาม พ.ร.บ.การรถไฟฯ 2494 นั้น ไม่สามารถจะไปดำเนินการอย่างนี้ได้ ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างนะครับ แล้วบริษัทเดินรถที่จะให้เอารถมาวิ่ง หรือให้ยกเลิกระเบียบข้อบังคับในการเดินรถ ซึ่งมันไม่มีความปลอดภัยกับพี่น้องประชาชน เพราะงั้นไม่สามารถดำเนินกิจการเหล่านี้ได้ ซึ่งเป็นการนำเสนอที่เรียกว่าสุกเอาเผากิน และไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหา

การแก้ปัญหาที่ถูกต้องไม่ได้ใช้เงินมากขนาดนี้หรอกครับ สร้างทางคู่ ไม่ต้องเวนคืนที่ดิน แล้วก็จัดการบริหารที่ดินด้วยการรถไฟฯ เอง 30,000 กว่าไร่ก็สามารถที่จะหลุดภาวะหนี้สิน ซึ่งจริงๆ มีอยู่ประมาณแค่ 49,505 ล้านบาท ถ้าไม่นับแอร์พอร์ตลิงก์ ซึ่งรถไฟลงทุนไปทุกอย่าง ทั้งสร้างทาง ล้อเลื่อน รถจักร และก็จะให้บริษัทเอกชนเข้ามา เอาคนเข้ามาวิ่งอย่างเดียว ก็อยากจะเรียนชี้แจงว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไร บางคนที่เอาไปโยงว่าเกี่ยวอะไรกับพรรคการเมือง มันไม่เกี่ยวอะไร อธิบายได้ มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกันตรงไหนเลย พรรคการเมืองใหม่ก็ยังไม่ได้จดทะเบียนอย่างสมบูรณ์ ยังไม่ได้รับเอกสารอย่างเป็นทางการ ไม่เกี่ยวข้อง นั่นเป็นสิ่งที่สหภาพฯ เขาดำเนินการไปเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ซึ่งเราได้รับบทเรียนมาแล้วเรื่องการขายรัฐวิสาหกิจ ว่าที่ทำไปแล้วสุดท้ายประชาชนก็เดือดร้อน ไม่ว่าจะเป็น ปตท. หรือ กฟผ. รัฐวิสาหกิจที่เปลี่ยนเป็นบริษัทแล้ว องค์การโทรศัพท์ฯ ซึ่งวันนี้จากที่เคยมีกำไรก็ขาดทุน เราจะเห็นอยู่นะครับ การบินไทยก็ขาดทุน การสื่อสารก็เกือบจะขาดทุน ทั้งที่เคยนำรายได้เข้ารัฐจำนวนมาก นี่ก็อยากจะให้พี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนได้ทราบข้อเท็จจริงนะครับ

สุริยะใส กตะศิลา
“ประเด็นที่ 2 ที่จะแถลงคือเรื่องของกรณีเหตุการณ์ 7 ตุลาฯ ผมได้รับมอบหมายจาก 5 แกนนำให้แถลงใน 3-4 ประเด็นสำคัญ ดังนี้

ประเด็นแรกก็คือ เหตุการณ์ 7 ตุลาคม ผ่านไปแล้ว 8 เดือน และก็กำลังจะเข้าครบ 1 ปีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แล้วในระหว่างนี้ก็มีผลการสอบสวนของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สรุปความผิดของบุคคลที่เกี่ยวข้องที่ต้องรับผิดชอบไปแล้ว และส่งให้ทางรัฐบาลไปแล้วด้วย และก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทาง ป.ป.ช.นำมาประกอบการพิจารณาสอบสวนเพื่อเอาผิดบุคคลที่เกี่ยวข้องด้วย

นอกจากนี้ ยังมีผลการสอบสวนของอนุกรรมาธิการประจำวุฒิสภา ก็ได้รายงานผลการสอบสวนและก็ตีแผ่ให้สังคมเห็นแล้วว่า ใครเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ปราบปรามประชาชน จนมีคนเจ็บและคนตายจำนวนมาก และใครบ้างต้องรับผิดชอบ ทั้งในส่วนของข้าราชการการเมืองและข้าราชการประจำ แต่ว่าทั้งหมดก็ต้องยอมรับว่า คดีมีความล่าช้าไปมาก โดยเฉพาะในขณะนี้ การพิจารณาของ ป.ป.ช.ไม่มีความคืบหน้า ซึ่งเรามีข้อสังเกต เดี๋ยวจะอธิบายในตอนท้าย

ข้อที่ 2. เมื่อ 2 เดือนที่แล้ว อนุกรรมการสอบสวนเรื่องนี้ได้รายงานผลการสอบสวนต่อสังคม และทราบข่าวไปแล้วว่า มีข้าราชการการเมือง 2 ท่าน และข้าราชการตำรวจบางนายที่ต้องรับผิดชอบ และความพยายามของอนุกรรมการสอบสวนมีความพยายามหลายครั้งหลายคราที่จะนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ แต่ทางพันธมิตรฯ ทราบมาว่า ทางประธาน ป.ป.ช.ไม่บรรจุเข้าในวาระการประชุม วันนี้ก็มีการประชุมกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่ ทางเราก็ตรวจสอบไป ก็พบว่า ไม่มีวาระว่าด้วยการพิจารณารายงานการสอบสวนของอนุกรรมการในเหตุการณ์ 7 ตุลา ผมก็ตามต่อไป เมื่อไหร่ เจ้าหน้าที่ก็บอกว่า อาจจะเป็นเดือน คำตอบที่ได้รับจากทาง ป.ป.ช. ก็คือ อาจจะเป็นเดือน ทุกครั้งที่ถามไป ก็เป็นเดือนบวกเดือนเป็นเดือนบวกเดือนจนจะครบปีแล้ว ก็ยังไม่ทราบว่าจะจบอย่างไร

ซึ่งข้อน่าเคลือบแคลงสงสัยในเรื่องนี้ ที่อาจจะเป็นมูลเหตุที่ทำให้การสอบสวนในเรื่องนี้ล่าช้า เราขอตั้งข้อสงสัย ซึ่งพันธมิตรฯ ไม่สบายใจ ขอตั้งคำถามไปที่การทำหน้าที่ของประธาน ป.ป.ช. ว่าท่านกำลังเผชิญกับผลประโยชน์ทับซ้อน หรือการขัดกันระหว่างหน้าที่หรือเปล่า เพราะทราบมาว่า ท่านประธาน ป.ป.ช. เป็นนักเรียน วปอ.รุ่นเดียวกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นพี่ชายของ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ แล้วก็เป็นนายตำรวจที่ถูกคาดการณ์ว่าอาจจะต้องรับผิดชอบในคดี 7 ตุลา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แล้วทราบมาในคราวเดียวกันว่า ลูกชายของท่านประธาน ป.ป.ช. รับราชการเป็นนายตำรวจอยู่ในขณะนี้ด้วย เราไม่ทราบว่านี่เป็นมูลเหตุหรือเปล่า เพราะว่าข้อสันนิษฐานนี้ เป็นเหตุที่ทำให้เราคิดว่า มีความพยายามเตะถ่วงคดีไป เพื่อที่จะให้คดีความนี้ไปหาข้อยุติหลังวันที่ 3 กรกฎาคม เพราะว่าภายในวันที่ 3 กรกฎาคม ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ท่านนี้ จะต้องลงนามแต่งตั้งโยกย้ายครั้งใหญ่ ภายใน สตช.

ฉะนั้นเมื่อท่าน ผบ.ตร. ไม่ต้องคดี ไม่ถูกดำเนินคดี ไม่ถูกชี้มูลกับ ป.ป.ช. ผบ.ตร.ท่านนี้ก็มีอำนาจเต็มที่ที่จะย้ายใครไปไหนอย่างไรก็ได้ เราไม่ทราบนะครับว่า นี้เป็นขบวนการสมรู้ร่วมคิด หรือเป็นเรื่องบังเอิญหรือเปล่า แต่ว่านี่เป็นข้อสังเกต ข้อเคลือบแคลงสงสัยที่พันธมิตรฯ ไม่สบายใจ เพราะพวกผมไม่ใช่แค่ทำหน้าที่ทวงความเป็นธรรมให้คนเจ็บคนตายเท่านั้น ที่ร่วมต่อสู้กับพวกเรามา แต่ว่าเรื่องนี้ต้องสร้างบรรทัดฐานให้สังคม โดยเฉพาะการใช้กำลังปราบปรามประชาชนที่ชุมนุมกันอย่างสันติ และบริสุทธิ์ใจ จะกระทำไม่ได้ และน่าแปลกใจที่ฝ่าย ป.ป.ช.ไม่ได้รายงานเรื่องนี้ต่อสังคมอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แม้จะมีความพยายามถามไปทั้งส่วนตัวหรือผ่านสื่อก็ตาม ไม่มีการชี้แจงจาก ป.ป.ช.เป็นทางการ

ฉะนั้นในวันพรุ่งนี้ แกนนำมอบหมายให้ คุณพิภพ ธงไชย และผม ไปยื่นทวงถามความคืบหน้า และขอคำอธิบายจากท่านประธาน ป.ป.ช. ว่าข้อสังเกต หรือข้อเคลือบแคลงของเรา เป็นเหตุเป็นผล เป็นจริงหรือไม่ หรือมีส่วนสำคัญทำให้คดีล่าช้าหรือเปล่า หรือติดตรงไหนอย่างไร ด้วยความเคารพ พรุ่งนี้ 09.00 น. เราจะขออนุญาตเข้าไปพบท่านประธาน ป.ป.ช.

ต่อที่คดีคุณสนธิ คุณสนธิมอบหมายให้ผมทำหน้าที่เป็นการส่วนตัว เพื่อรายงานความคืบหน้าในคดีปฏิบัติการลอบสังหารคุณสนธิ สถานการณ์คดีลอบสังหารคุณสนธิไม่ต่างกับความคืบหน้าในการสอบสวนคดีเหตุการณ์ 7 ตุลา เพราะว่าเป็นขบวนการที่ท่านหัวหน้าพนักงานสอบสวน คือ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อ 3-4 วันที่ผ่านมาว่า คดีคุณสนธิสอบไปแล้วเจอตอ ซึ่งผมจะเท้าความ 2-3 ประเด็นเพื่อให้เกิดความชัดเจนว่า เพราะเหตุอะไร คดีนี้ถึงไม่มีความคืบหน้า

ประเด็นแรก พันธมิตรฯ และตัวคุณสนธิมั่นใจและเชื่อมั่นว่า พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน เป็นคนดี และเราเชื่อมั่นว่าความสามารถของท่านจะหาคนผิดมาลงโทษได้ ถ้าหากว่าอำนาจรัฐ หรืออำนาจบางอำนาจไม่ไปคุกคาม ขัดขวาง แต่ว่าคำสัมภาษณ์ของท่านล่าสุด ทำให้เราไม่สบายใจ เพราะท่านยอมรับว่า การสอบสวนไปเจอตอ และก่อนหน้านี้ท่านพูด และเป็นที่ยืนยันว่า ปฏิบัติการลอบสังหารคุณสนธิ เป็นปฏิบัติการของคนมีสี คนมีสีในที่นี้ไม่ทหารก็ตำรวจ แต่จะเป็นขบวนการเดียวกันหรือเปล่า เป็นการสนธิกำลังกันหรือเปล่า เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่ต้องคลี่คลาย

ประเด็นที่ 2 คือ ในขณะนี้ท่าทีจาก ผบ.ตร. พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ เป็นท่าทีที่ทำนองว่า ยังไม่ได้รับรายงานว่าคดีถึงไหน อย่างไร เป็นท่าทีที่นิ่งเฉย ไม่ได้ใส่ใจ รวมทั้งท่าทีของคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ที่ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือแม้กระทั่งนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เลือกไม่พูดเรื่องนี้ ทั้งที่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นคดีอุกอาจ เป็นคดีท้าทายพี่น้องประชาชน และท้าทายประชาคมโลกว่า มีการลอบสังหารบุคคลสำคัญกลางกรุง กลางเมืองหลวง ไม่สามารถจับคนผิด หรือคืบหน้าในการดำเนินการสอบสวน ได้อย่างไร

ซึ่งเราก็ทราบจนเป็นเหตุให้เราไม่สบายใจ และทำให้คดีนี้จับคนผิดไม่ได้ เพราะมีขบวนการบางขบวนการ ของกลุ่มคนมีอำนาจ พยายามคุกคาม เพื่อขัดขวางกระบวนการสอบสวนของพนักงานสอบสวน โดยมีนายพลใหญ่ท่านหนึ่ง เรียกพนักงานสอบสวนบางนาย ระดับหัวหน้าทีม ไปข่มขู่ว่า ให้หยุด ให้เลิก ไม่เช่นนั้นจะไม่ได้เป็นนายพล จนทำให้พนักงานสอบสวนท่านนี้ ทำงานยากลำบากขึ้น

ที่สำคัญทราบว่า มีความพยายามปล่อยข่าวเพื่อบิดเบือนรูปคดี โดยการอธิบายว่า การลอบสังหารคุณสนธิ บุคคลระดับสูงของบ้านเมืองเป็นผู้บงการ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกันเลย แต่เหตุที่ต้องปล่อยข่าวเพื่อบิดเบือนรูปคดีเพื่อจะปรามและข่มขวัญพนักงานสอบสวนว่า ให้เลิกล้มความพยายามที่จะจับคนผิดมาลงโทษ

ฉะนั้น เป็นเรื่องที่พันธมิตรฯไม่สบายใจ และอยากเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ท่านสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รายงานความคืบหน้า และแสดงท่าทีต่อเรื่องนี้ ด้วยว่า มีการคุกคามกระบวนการสอบสวน ซึ่งเป็นกระบวนการขั้นตอนของระบบยุติธรรมของประเทศจริงหรือเปล่า หากเป็นจริง อาจทำให้พี่น้องประชาชนไม่ไว้วางใจในการรักษาความสงบ สวัสดิภาพ ความปลอดภัยของประชาชนในคดีอื่นได้ คดีนี้จะเป็นคดีบรรทัดฐาน ซึ่งพันธมิตรฯจะติดตามต่อไปจนกว่าจะมีความชัดเจน เพราะเรายังไว้วางใจท่าน พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวน แต่เนื่องจากคดีนี้เกี่ยวพันกับคนมีอำนาจบางกลุ่ม ก็เห็นใจท่าน แต่ยังให้กำลังใจท่านอยู่ เราจะติดตามเป็นระยะๆ

พิภพ ธงไชย
“ในฐานะแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ร่วมแถลงวันนี้ เรามีความรับผิดชอบต่อพี่น้องประชาชนที่ชุมนุมอย่างสงบและสันติ ที่หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม โดยการใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่ตำรวจและรัฐบาลขณะนั้น สั่งการให้ใช้อาวุธและเครื่องมือที่ร้ายแรงยิงประชาชน และทำร้ายจนบาดเจ็บ พิการ ตาย และคดีนี้เป็นคดีดังระดับโลก ทั่วโลกสนใจมาก ว่า การชุมนุมอย่างสงบและสันติ ทำไมอำนาจรัฐ และรัฐบาลสมัยนั้น จึงสั่งการ หรือเปิดโอกาสตำรวจใช้ความรุนแรง เกิดการบาดเจ็บอย่างที่ทราบ และการสอบสวนคดีนี้ มีการกระทำร่วมกันทุกฝ่าย ตั้งแต่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตั้งแต่คณะกรรมาธิการในรัฐสภา รวมทั้ง ป.ป.ช.ซึ่งเป็นองค์กรอิสระ และการทำงานในการสอบสวนในเรื่องการเข่นฆ่าประชาชนในวันที่ 7 ตุลาฯ ป.ป.ช.ก็อาศัยหลักฐานที่กรรมการสิทธิมนุษยชนได้ทำไว้ และกรรมาธิการในวุฒิสภาได้ทำไว้ และมีการสอบสวนเพิ่มเติม ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า งานในส่วนของอนุกรรมการได้เสร็จเรียบร้อย เหลือแต่ขั้นที่จะส่งเข้าในที่ประชุมใหญ่ของ ป.ป.ช. แต่ปรากฏว่าได้ติดชะงัก และไม่สามารถนำเข้าได้ ข้อสงสัยก็เลยเกิดขึ้นว่า ท่านประธาน ป.ป.ช.ในฐานะเป็นองค์กรอิสระ เป็นองค์กรที่เป็นความหวังของประชาชน ว่าจะต้องอิสระจากการเมือง อิสระจากข้าราชการประจำ และทำหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมในเบื้องต้น ทำไมจึงไม่เร่งที่จะนำเรื่องนี้เข้าสู่คณะกรรมการชุดใหญ่ ป.ป.ช. ซึ่งท่านประธาน ป.ป.ช.จะต้องตอบคำถามนี้ ในข้อสงสัยซึ่งเริ่มส่งความสงสัยมาที่แกนนำพันธมิตรฯ ว่ามีเหตุในเรื่องความสัมพันธ์ต่างๆ ที่คุณสุริยะใสได้แถลงไปแล้วหรือไม่ มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่

และจะเห็นได้ว่าความรุนแรงในช่วงนั้นลามมาถึงสุดท้ายก็คือการลอบยิง ลอบสังหารอย่างโหดเหี้ยม กับคุณสนธิ ลิ้มทองกุล เพราะฉะนั้นถ้าองค์กรอิสระและกระบวนการยุติธรรมไม่สามารถยับยั้งความรุนแรงในการเข่นฆ่าพี่น้องประชาชน รวมทั้งกรณีคุณสนธิ ซึ่งได้การสอบสวนเบื้องต้นชัดเจนว่าเกี่ยวข้องกับคนมีสี ไม่ทหารก็ตำรวจ สำหรับ 7 ตุลาฯ เกี่ยวข้องกับตำรวจแน่นอน และนักการเมือง เมื่อ ป.ป.ช.ปล่อยให้คดีนี้ยืดเยื้อและไม่รีบนำเข้าสู่คณะกรรมการใหญ่ของ ป.ป.ช. ก็จะเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.ไม่มีความอิสระจริง และไม่มีจิตสำนึกเพื่อนำความถูกต้องยับยั้งความรุนแรงในสังคมไทยจริง ดังรายละเอียดที่คุณสุริยะใสพูดไปแล้ว สังคมไทยจะหมดความหวัง และสังคมไทยก็จะตกอยู่ในสถานการณ์ของความดำมืด และความรุนแรงอาจจะเกิดขึ้นได้เป็นระยะๆ ในอนาคต เพราะถ้าไม่สามารถยับยั้งความรุนแรงที่เกิดจากคนมีสี หรือในระบบราชการ เช่น ตำรวจ หรือทหาร ได้ สังคมไทยก็จะหมดหวัง เพราะฉะนั้นวันนี้จึงเรียกร้องว่าท่านประธาน ป.ป.ช.จะต้องทำความสงสัยตัวนี้ให้กระจ่าง ว่าข้อสงสัยนี้ไม่เป็นความจริง และรีบนำเรื่องที่อนุกรรมการได้สรุปเรียบร้อยแล้วเข้าที่ประชุมใหญ่คณะกรรมการ ป.ป.ช.โดยเร็วที่สุด ซึ่งที่จริงแล้ววันนี้ควรจะนำเข้าได้ เพราะเป็นการประชุมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้เราจะไปยื่นหนังสือ ยื่นจดหมายถึงท่านประธาน เพื่อให้ท่นาตอบคำถามนี้กับสังคม

พล.ต.จำลอง ศรีเมือง
“เราทราบมาว่า กกต.อาจจะประกาศเร็วๆ นี้ ถึงเรื่องการรับพรรคการเมืองใหม่ โดยถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ เพราะฉะนั้นในการที่จะไปยื่นคำถามต่อ ป.ป.ช.ในวันพรุ่งนี้ ก็จะไม่มีคุณสมศักดิ์ ซึ่งจะเป็นหัวหน้าพรรคโดยถูกต้องสมบูรณ์ แล้วก็จะไม่มีคุณสุริยะใส ไป ก็จะมี อ.พิภพ กับผม ที่จะไปยื่นต่อ ป.ป.ช. และเราได้ตกลงกันแล้วว่า เมื่อได้รับการอนุมัติเป็นพรรคการเมืองโดยสมบูรณ์แล้ว ผู้ที่ทำหน้าที่ในการประสานงานและการให้ข่าวต่อสื่อมวลชน ก็คือ อ.พิภพ ส่วนคุณสุริยะใส คุณสมศักดิ์ ก็ยังเป็นแกนนำ เป็นผู้ประสานงานพันธมิตรฯ อยู่เหมือนเดิม ก็จะมาปรากฏที่นี่ทุกครั้งที่มีการพูดคุยกัน ประชุมปรึกษาหารือกัน และแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน แต่ถ้าถามเรื่องพรรคการเมือง ก็ต้องไปอีกที่หนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ที่ตรงนี้ เพราะที่ตรงนี้เป็นที่ๆ เราจะพูดเฉพาะเรื่องพันธมิตรฯ เท่านั้น ต้องทำความเข้าใจกับพวกเรานะครับ ไม่ได้แยกกันนะครับ เนื่องจากว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ตั้งพรรคการเมืองขึ้นมา ชื่อว่าพรรคการเมืองใหม่ โดยประชุมเห็นพ้องต้องกันว่า ส่งคุณสมศักดิ์ ไปเป็นหัวหน้าพรรค ส่งคุณสุริยะใส ไปเป็นเลขาธิการพรรค ดังนั้นจึงจะต้องทำให้ถูกต้องและชัดเจน เพื่อไม่ให้ผิดกฎหมายด้วยครับ

สุริยะใส กตะศิลา
“คือจริงๆ สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองที่ดำรงอยู่ เราก็ไม่ได้เพิกเฉยนะครับ ก็มีการคุยกันอยู่ตลอด แต่ว่าวันนี้ไม่ได้เป็นวาระเป็นเรื่องเป็นราว การเคลื่อนไหวของกลุ่ม นปช. ของกลุ่มพรรคเพื่อไทยนอกสภาฯ ก็ต้องตอบคำถามสังคมเหมือนกัน ว่าเวทีในสภาฯ ไม่พอหรืออย่างไร การเอาเรื่องในสภาฯ บางเรื่องมาเคลื่อนไหวนอกสภาฯ มันไม่ได้ชอบธรรมเสมอไป

แผนตากสินเท่าที่ได้ยินมาก็มีการพูดกันมาหลายเดือนแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องไขข้อข้องใจ และทำความกระจ่างว่ามีจริงหรือไม่มีอย่างไร ถ้ามี ถ้ามันเกี่ยวข้อง ถ้ามันผิดกฎหมาย ก็ต้องดำเนินคดี ปล่อยไว้แบบนี้ก็จะเป็นการทำลายขวัญ ทำลายความมั่นใจของพี่น้องประชาชนด้วยว่าการเมืองของเราอยู่ในจุดที่มีการเข่นฆ่ากันได้ง่ายแบบนี้ มันไม่เป็นประโยชน์ เพราะว่าข่าวเรื่องท่านนายกฯ มีค่าหัว อะไรแบบนี้ ก็เป็นข่าวที่ไม่สร้างสรรค์ ท่านนายกฯ ก็ไม่ควรเฉยกับข่าวนี้ จริงเท็จประการใดท่านก็ต้องเร่งสะสางว่าที่มาที่ไปของข่าวนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร

ส่วนการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงวันที่ 27 มิถุนายนนี้ พันธมิตรฯ ก็ไม่ได้เอามาเป็นประเด็นวิเคราะห์อะไร เพราะเราก็เห็นเขาเคลื่อนไหวตลอด ดีเดย์ก็บอกชุมนุมใหญ่ทุกครั้งที่มีการนัดหมาย สังคมก็คงเห็นกันอยู่ว่าเป้าหมายสูงสุดของเขาคืออะไร ฉะนั้นวันนี้พันธมิตรฯ ได้รับฉันทานุมัติจากพี่น้องประชาชนทั้งประเทศให้มาจัดตั้งเรื่องพรรคการเมืองใหม่ เราก็ให้ความสำคัญกับการริเริ่ม การวางระบบ วางโครงสร้างของพรรค ซึ่งจะเป็นเครื่องมือตัวหนึ่งของพันธมิตรฯ ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองในระยะยาว และที่ลุงจำลองพูดไป ก็คือความพยายามที่จะปรับบทบาท ปรับโครงสร้าง ซึ่งวันนี้ก็เริ่มต้นจากคนที่จะทำหน้าที่สื่อสารกับสื่อมวลชน หรือรายงานความคืบหน้าของพันธมิตรฯ ก็จะเป็นคุณพิภพ ธงไชย รักษาการไปก่อน ส่วนผมก็จะให้ความเห็นในนามพันธมิตรฯ ก็ไม่น่าจะเหมาะสม เพราะผมได้รับมอบหมายจากแกนนำให้ไปดูที่พรรคการเมือง ฉะนั้นก็จะเป็นคุณพิภพ รับช่วงไปก่อน รักษาการไปก่อน”

ผู้สื่อข่าวถาม -ในการทำงานของพรรคการเมืองใหม่ของพันธมิตรฯ จะไม่มีการมาทำงานร่วมกัน
พล.ต.จำลอง - “ยังเป็นการทำงานร่วมกันนะครับ เรายืนยันแล้วยืนยันอีกว่า พรรคการเมืองใหม่เป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่เวลาที่ลงไปทำงานนั้น โดยตัวบทกฎหมายก็ตาม โดยความเข้าใจของประชาชนก็ตาม เราต้องให้ชัดเจนว่าใครทำอะไร ไม่ได้แตก ไม่ได้แยก ไม่ได้ไปทำเรื่องอะไรที่ผิดแผกแตกต่างไปจากพันธมิตรฯ เลย”

นายสุริยะใส - คือการคงบทบาทของ 5 แกนนำ ก็เป็นเรื่องที่พันธมิตรฯ และพรรคเห็นตรงกันว่าบทบาทของ 5 แกนนำ จะเป็นศูนย์รวม ทั้งการขับเคลื่อนของพันธมิตรฯ และส่วนในการชี้แนะการทำงานของพรรคด้วย พรรคก็เป็นเพียงเครื่องมือ เป็นเพียงเวทีหนึ่งเท่านั้นเอง 5 แกนนำก็ยังคงสภาพไว้เหมือนเดิม ซึ่งจะมีการประชุมกันเป็นระยะๆ แบบนี้ต่อไป

ผู้สื่อข่าวถาม - กกต.เขาแถลงว่าเขารับจดแจ้งการเป็นพรรคการเมืองใหม่เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
นายสุริยะใส - “ขั้นตอนต่อไปก็คือประกาศรับรองเป็นทางการ คือที่แถลงไปเป็นมติภายในของกรรมการ กกต.ทั้ง 4 ท่าน แต่ต้องรอพิธีการประกาศเป็นทางการก่อน แต่ว่าขั้นตอนจากนี้ไปพันธมิตรฯ มีความพร้อมแล้วทันทีที่กรรมการการเลือกตั้งประกาศ เราจะประกาศได้เลยนะครับว่าเราจะตั้งสาขาพรรคที่ไหน อย่างไร และกระบวนการในการรับสมัครสมาชิกจะกี่รูปแบบ จะดำเนินการอย่างไร ทันที เพราะว่าในช่วงที่ผ่านมาคุณสมศักดิ์ ผม และแกนนำหลายท่าน ก็ได้ลงพื้นที่พบปะพี่น้องพันธมิตรฯ เพื่อเตรียมความพร้อมในเรื่องนี้ไปแล้ว”

พล.ต.จำลอง - “ทราบว่าพรรคการเมืองใหม่ก็ยังไม่ได้รับหนังสือยืนยันจาก กกต.ใช่ไหมครับ เราต้องรอหนังสือนั้นก่อนนะครับ”

พล.ต.จำลอง – “เรื่องนี้ไม่มีการขีดเส้นตายเส้นเป็นทั้งสิ้นนะครับ และเราก็ไม่ต้องรอ เพราะเราได้รอมานานแล้ว รอจนกระทั่งเห็นว่าไม่ควรจะรอต่อไปในการตั้งคำถาม เพราะผู้ที่มีหน้าที่ในการทำงานจะต้องตอบคำถามว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ทำไมถึงช้านานเหลือเกิน จนกระทั่งจะทำให้เสียงานเสียการไป”

ผู้สื่อข่าวถาม -ที่บอกว่ารอมาช้านานแล้ว ถ้ารอไม่ได้จะทำอย่างไร
พล.ต.จำลอง - “รอไม่ได้ตอนนี้เราต้องถามไป ท่านต้องตอบนะ เพราะท่านมีหน้าที่โดยตรง มันไม่ใช่เรื่องเร้นลับซับซ้อน ท่านก็ตอบมาว่าทำไมมันช้า ทำไมมันเสียเวลานานนักหนา ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องใหญ่โต เป็นเรื่องคุกคามความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนทั้งประเทศเลย”

พล.ต.จำลอง - “ก็อยู่แต่ท่าน เราก็คิดว่าถ้าใครเป็นคณะกรรมการ ป.ป.ช. ท่านก็ต้องออกมาบอก มันไม่เห็นจะยากอะไรเลย”

ผู้สื่อข่าวถาม -ถ้าบอกว่าต้องรอไปอีก 1-2 เดือน เหมือนที่ได้คำตอบทุกครั้งล่ะ
พล.ต.จำลอง - เราอย่าไปคาดการณ์ถึงขนาดนั้น บางทีท่านอาจจะเร็วๆ นี้ก็ได้ อย่าไปเล็งในแง่ร้ายว่าจะอย่างโน้นอย่างนี้ เอาไว้ให้สถานการณ์เกิดขึ้นก่อนนะครับ

ผู้สื่อข่าวถาม -ถ้าได้คำตอบไม่เป็นที่น่าพอใจ เราเตรียมอะไร
พล.ต.จำลอง - ของเราไม่ต้องเตรียมการอะไรมาก เพราะพวกเราทำงานไวอยู่แล้ว ทุกครั้งจะเห็นว่า ตลอดระยะเวลาที่เราทำงานร่วมกันมา เราทำไปตามสถานการณ์นะครับ เราอย่าไปคาดก่อนว่าจะอย่างโน้นจะอย่างนี้ อย่างโน้นแล้วจะทำยังไง อย่างนี้แล้วจะทำยังไง เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นเราก็สามารถแก้ไขปัญหาได้เร็วทุกครั้ง ไม่เคยช้าเลย

นายพิภพ - อย่าไปมองมุมเดียวเป็นมุมร้าย ผมว่าเราให้เกียรติท่านประธาน ป.ป.ช.นะครับ การที่ไปยื่นหนังสือ พรุ่งนี้ เป็นการให้เกียรติว่า ข้อสงสัยต่างๆ ที่พันธมิตรฯ และประชาชนทั่วไป รวมทั้งโลกเขามองมาที่ ป.ป.ช. ในการเข่นฆ่าประชาชนที่โหดร้ายรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งของสังคมไทย ผมคิดว่าท่านคงไม่ละเลย และเมื่อเราตั้งคำถามแล้ว ถ้าไม่มองโลกในแง่ร้ายเกินไป ท่านก็คงจะต้องตอบว่า มันติดขัดอะไร ถ้าไม่ติดขัดก็จะต้องนำเข้าสู่คณะกรรมการใหญ่ ป.ป.ช. การกระทำของเรา ไปยื่นหนังสือ และแถลงข่าววันนี้ นี่คือการให้เกียรติแก่คณะกรรมการ ป.ป.ช. และท่านประธาน ซึ่งหวังว่าท่านคงรับเกียรตินี้ โดยเร่งนำเรื่องที่คณะอนุกรรมการได้ดำเนินการสอบสวนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เข้าที่ประชุมใหญ่ของคณะกรรมการ ป.ป.ช.โดยเร็ว มิเช่นนั้น ข้อสงสัยของสังคมไทยก็จะถูกขยายความว่าเป็นจริงได้ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อองค์กรอิสระ เพราะองค์กรอิสระ ถ้าสังคมไทยหมดหวังแล้ว เราไม่รู้จะไปพึ่งใคร นอกจากจะไปพึ่งศาลยุติธรรม ในอันดับต่อไป แต่นี่ไปตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญ ทำตามรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นหวังว่า ท่านประธานคงจะเข้าใจเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีบทบาทและหน้าที่อย่างไร

ผู้สื่อข่าวถาม -วิเคราะห์หรือไม่การที่กลับมาระลอกใหม่จะสร้างแรงกระเพื่อมไปถึงแก้รัฐธรรมนูญให้ยุบสภา
พล.ต.จำลอง - เราไม่ได้มีการวิเคราะห์กันเรื่องนี้ เราไม่เคยถือเลยว่า กลุ่มนั้น กลุ่มนี้เป็นศัตรูของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เราถืออยู่อย่างเดียว เราจะต้องดำรงคงมั่นซึ่งความถูกต้องชอบธรรมตลอดไป ส่วนใครจะทำอะไรเป็นเรื่องของเขา เราติดตามดูแลต่อไปจนกระทั่งเห็นว่าจะเกิดผลเสียหายต่อประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง ค่อยมาพิจารณาอีกทีว่า ในกรณีนั้นเราจะมีส่วนช่วยบ้านเมืองในการแก้ปัญหาอย่างไรบ้าง ตอนนี้เป็นหน้าที่ของรัฐบาล พวกเราทุกคนคงยืนยัน หลังจาก 3 ธันวาคม ที่เรายุติการชุมนุม 193 วันไปแล้ว เราบอกชัดเจนว่า อะไรจะเกิดขึ้นในบ้านในเมืองนั้นเป็นเรื่องของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลมีเครื่องมือครบพร้อม มีผู้คน มีกฎหมายที่จะจัดการกับเรื่องนั้น เราได้แต่ติดตามสถานการณ์ไปเรื่อยๆ เราทำอย่างนี้มาโดยตลอด

ผู้สื่อข่าวถาม -พรุ่งนี้ไปกี่โมง
พล.ต.จำลอง - พรุ่งนี้ จะออกเดินทางจากนี่ 09.00 น. ขอบคุณครับ








กำลังโหลดความคิดเห็น