xs
xsm
sm
md
lg

คำต่อคำ : “สนธิ” แถลงเปิดใจ เบื้องหลังเหตุลอบสังหาร

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

สนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ
รายละเอียดคำต่อคำ นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงข่าวเปิดใจครั้งแรกที่บ้านพระอาทิตย์ เมื่อช่วงเที่ยงวันที่ 3 พ.ค.2552 หลังถูกลอบยิงด้วยอาวุธสงคราม 100 กว่านัด แล้วรอดชีวิตมาได้ ระบุคนยิงเป็นทหารได้รับการฝึกมาอย่างดี แต่เป็นทหารบางคน ไม่ใช่กองทัพ ระบุเป็นการคุกคามสื่อ และมุ่งสังหารผู้นำมวลชน ยันไม่ถอดใจและวางมือ แต่ขอไปพักฟื้นที่ต่างประเทศสักระยะ ลั่นไม่โกรธและให้อภัยคนที่ทำร้ายแล้ว พร้อมฝากเตือน “ท่านผู้หญิงวิระยา” อย่าโกหกตัวเอง


คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสนธิ ลิ้มทองกุล แถลงข่าวเปิดใจกรณีถูกลอบสังหาร ที่บ้านพระอาทิตย์ 3 พ.ค. 52

สนธิ ลิ้มทองกุล


“ท่านสื่อมวลชนที่เคารพ เมื่อวันศุกร์นั้นเผอิญเป็นไข้ เพราะแผลบนศีรษะยังไม่หายดี บนศีรษะนั้นเย็บไป 43 เข็ม ผลข้างเคียงทางสมองไม่มี เพราะเศษกระสุนไม่ได้เข้าไปในสมอง วันนี้ผมจะมาพูดจาในเรื่องราวทั้งหมด โดยจะแบ่งเป็น 3-4 หัวข้อ หัวข้อแรก คือ การลอบสังหาร การลอบสังหารนั้น ผมจะพูดถึงเรื่องมิติของการลอบสังหารและนัยของการลอบสังหาร หัวข้อที่ 2 คือ ผมคิดว่ากลุ่มคนผู้ใดบ้างที่เป็นผู้กระทำ และอันที่ 3 คือ จากนี้ไปผมจะทำอะไรต่อไป จุดยืนผมอยู่ที่ไหน และอาจจะแถมอันสุดท้าย ว่าผมมองว่าการเมืองเมืองไทยต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร และหลังจากนั้นก็ต้องขอตัวให้ท่านแกนนำทั้งหลายเป็นผู้แถลงการประชุมของวันนี้

การลอบสังหารผมเมื่อวันที่ 17 เมษายน พ.ศ.2552 นั้น มีอยู่ 2 มิติ เป็นมิติที่สำคัญมาก มิติแรก คือ การลอบสังหารผมในฐานะที่ผมเป็นสื่อมวลชนที่ตื่นขึ้นมาแล้วออกเดินทางไปทำหน้าที่โดยสุจริต เที่ยงตรง ตรงไปตรงมา รักษาผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นส่วนรวม มิติที่ 2 คือ การลอบสังหารผมในฐานะที่ผมเป็นหนึ่งในแกนนำมวลชนซึ่งเป็นภาคประชาชน ทั้งสองมิตินี้เป็นสองมิติที่อุกอาจ โหดเหี้ยม อำมหิต เป็นการกระทำของคนมีอำนาจและมีหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติ

การทำร้ายผมในมิติของการเป็นสื่อมวลชนนั้น เป็นกระบวนการคุกคามสื่อที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทย เพราะว่าลักษณะการลอบสังหารนั้นไม่ใช่ลักษณะของการลอบสังหารแบบเรื่องส่วนตัว ไม่ใช่ลักษณะการลอบสังหารผู้สื่อข่าวต่างจังหวัด ที่ไปมีผลประโยชน์หรือไปขัดผลประโยชน์ของกลุ่มอิทธิพลในจังหวัด แต่เป็นการลอบสังหารเพื่อส่งนัย ส่งสัญญาณไปให้หลายฝ่าย แม้กระทั่งอาจจะรวมไปถึงท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ ด้วย ว่า ถ้า นายสนธิ ตายได้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ตายได้เช่นกัน และมีนัยเลยนายกฯ อภิสิทธิ์ไปด้วย ว่าในประเทศนี้ ถ้าใครมีอำนาจ มีปืน ร่วมมือกัน นึกจะทำอะไรก็ย่อมทำได้

นัยของการเป็นสื่อมวลชนนั้นเป็นการคุกคามสื่อมวลชนที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทย เพราะฉะนั้นแล้ว การกระทำเช่นนี้เป็นการกระทำที่นอกจากโหดเหี้ยมอำมหิต โดยพื้นฐานแล้ว ยังเป็นการกระทำที่อุกอาจ และไม่คำนึงเลยว่าเมื่อทำแล้วประเทศไทยจะยืนอยู่ได้อย่างไร คนในวงการสื่อมวลชนจะยืนอยู่ได้อย่างไร สังคมไทยจะยืนอยู่ได้อย่างไร

ส่วนการคุกคามในฐานะที่เป็นแกนนำของภาคประชาชนนั้น ก็เป็นนัยที่ส่อให้เห็นว่า ภาคประชาชนที่ออกมาเรียกร้องความถูกต้อง เรียกร้องความเป็นไปให้มีความโปร่งใสนั้น เป็นภยันตรายต่อกลุ่มอำนาจเก่า หรืออำนาจที่จะเข้ามาใหม่ เพราะฉะนั้นแล้ว การลอบสังหารผมนั้น หากทำได้สำเร็จก็จะเป็นการข่มขู่ให้บรรดาผู้นำสื่อมวลชน ผู้นำ แกนนำมวลชน ภาคประชาชนทั้งหลาย ย่อมมีความเกรงกลัว นั่นคือ การข่มขู่ที่สามารถที่จะล้มรูปแบบของการต่อสู้อย่างเปิดเผย เท่ากับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกหลายๆ ตัว ตัวแรกคือข่มขู่ทางอ้อมไปถึงท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประการที่ 2 ข่มขู่ไปยังสื่อมวลชนที่กล้าพอที่จะออกมาพูดความจริงโดยที่ไม่หวั่นเกรงอะไร และควบคุมให้วงการสื่อมวลชนนั้นอยู่ภายใต้อำนาจของความป่าเถื่อน และเป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับขบวนการป่าเถื่อน

อันที่ 3 คือ ข่มขู่ขบวนการภาคประชาชน ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องเป็นเสื้อเหลือง อาจจะรวมไปถึงเสื้อแดง หรือเสื้อสีอะไรก็ได้ ว่าถ้าหากเรียกร้องมากนัก หรือมีจุดยืนที่ไม่เปลี่ยนแปลง ก็เอาความตายไปก็แล้วกัน แล้วดูซิว่าจะสู้ต่อไหม ฉะนั้นมิติและนัยของการลอบสังหารเมื่อวันที่ 17 เมษายน ก็มีดังนี้นะครับ

ข้อที่ 2 ขบวนการลอบสังหารนั้นเกิดขึ้นจากใคร ก่อนที่จะตอบคำถามข้อที่ 2 นั้น ต้องมาดูพฤติกรรมและรูปแบบของการลอบสังหารเสียก่อน การลอบสังหารครั้งนี้ที่ผมบอกว่าไม่เคยมีครั้งใดในประวัติศาสตร์ไทยเหมือนเช่นนี้ คือการใช้อาวุธสงครามล้วนๆ การยิงด้วยปืนอาก้า ปืน M-16 และตามด้วย M-79 อีก 2 ลูกที่ไม่ระเบิดออกมานั้น และลักษณะการยิงซึ่งผมเห็นชัดด้วยสายตาผมเอง เป็นการยิงจากคนซึ่งถูกฝึกฝนมาที่ให้ใช้อาวุธประเภทนี้โดยเฉพาะ เพราะว่าคนที่นั่งอยู่ท้ายรถกระบะ ซึ่งห่างจากรถผมไปไม่ถึง 20 เมตร 15 เมตร ท่านั่งประทับยิงผมยังจดจำอยู่ในสายตาเลย เป็นท่าการฝึกยิงของทหารให้เห็นได้ชัด

เพราะฉะนั้นแล้ว ด้วยเหตุนี้ ประกอบกับองค์ประกอบหลายประการ การยิงผมนั้นใช้ขบวนรถ 4 คัน และเท่าที่ทราบมีคนที่เข้ามาร่วมด้วยนั้น ร่วมเยอะพอสมควร 10 คน หรือ 10 กว่าคน ประกอบกับภาวะเหตุการณ์ที่กล้องวงจรปิดนั้นเกิดเสียขึ้นกะทันหัน ถึง5 กล้อง ย่อมเป็นพยานแวดล้อมที่ทำให้เชื่อได้ ว่ามีการร่วมมือกันระหว่างผู้ที่มีอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตามที่จะทำ และที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือว่า ในขณะที่ยิงนั้น ได้รับทราบเส้นทางเดินรถของผมตลอด แสดงว่าได้มีการเฝ้า จ้อง และมุ่งที่จะสังหารผมมาเป็นเวลานานพอสมควร

โชคดีของเขา และโชคร้ายของผม ตรงที่ว่า ในช่วงวันหยุดนั้นเผอิญผมไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศหรือไปพักผ่อนที่ไหน และตัดสินใจที่จะมาออกรายการ Good Morning Thailand ตอนเช้า ก็เลยทำให้เขาทราบถึงการเดินทางของผมมาตลอด

การที่มีรถ 4 คัน รออยู่เป็นจุดๆ และมีการขับปาดแซงผมไปทางซ้ายและเริ่มยิงผมก่อนทางซ้าย ข้างๆ แล้วให้รถคันหน้าซึ่งอยู่ข้างหน้าจอดและประทับยิงนั้น ไม่ใช่เป็นการกระทำของมือปืนมืออาชีพ แต่เป็นลักษณะของขบวนการที่ผมเรียกว่าทีมล่าสังหาร ซึ่งขบวนการแบบนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นเป็นส่วนบุคคล แต่ต้องผ่านการฝึกอบรมจากแหล่งต่างๆ ที่อาจจะมีการฝึกอบรมขบวนการล่าสังหาร เยอะแยะไปหมด

อันที่ 2 เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ผมยืนยันได้ว่า ขบวนการลอบสังหารผมนั้น เป็นฝีมือของทหาร แล้วก็เป็นทหารบางคนเท่านั้นเอง ไม่ใช่เป็นฝีมือของกองทัพ เพราะกองทัพส่วนใหญ่นั้นเป็นทหารอาชีพ จะไม่ทำเรื่องที่น่าอัปยศอดสูเช่นนี้เป็นอันขาด ผมทราบว่าเดี๋ยวท่านสื่อมวลชนคงจะตั้งคำถามถามผมหลายๆ เรื่อง ก่อนจะตั้งคำถามถามผมขอตอบไว้ล่วงหน้าก่อนก็แล้วกัน

เป็นที่น่าสังเกตว่า ตั้งแต่มีคดีที่ลอบยิงสังหารผม กลางนครหลวง หน้าธนาคารแห่งประเทศไทย ทันทีที่เกิดขึ้น ผู้ที่เกี่ยวข้องมีเพียงแค่ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เท่านั้นที่แสดงความเป็นห่วงเป็นใย และก็บอกว่าเรื่องนี้จะต้องดำเนินการให้ถึงที่สุด ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องคนอื่นนั้น ไม่ได้แสดงอาการรู้ร้อนรู้หนาว ในเรื่องของคนๆ หนึ่งที่เดินทางไปทำหน้าที่ของตัวเองแล้วถูกอาวุธสงครามถล่มไปแบบนี้ นอกจากไม่แสดงอาการรู้ร้อนรู้หนาวแล้ว ยังแสดงอาการถึงขนาดที่เรียกว่า ปฏิเสธที่มาที่ไปของอาวุธสงคราม ซึ่งไม่ใช่ประเด็นที่ควรจะพูด ประเด็นที่ควรจะพูดของผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือตำรวจ น่าที่จะออกมาในรูปแบบของการประณามการกระทำเช่นนี้ ว่าเป็นเรื่องที่ไม่น่าที่จะให้อภัยกันได้เลย เพราะว่าเกิดเหตุในระหว่างที่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน

ใน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นั้นคนที่กล้าจะทำเช่นนี้ได้ ก็ต้องเป็นคนซึ่งได้รับการหลิ่วตาจากผู้หลักผู้ใหญ่ให้ทำเช่นนี้ได้ แต่อย่างที่ผมเรียนให้ทราบว่าผมยังเชื่อมั่นว่าเหตุที่เกิดขึ้นกับผมนั้น เกิดขึ้นมาจากทหารเพียงไม่กี่คนเท่านั้นเอง นอกนั้นไม่มีส่วนรับรู้หรือรู้เห็นเป็นใจไปด้วย

อีกประการหนึ่งที่จะต้องชี้ให้เห็นก็คือว่า นอกจากไม่มีความรับผิดชอบแล้ว ก็เริ่มเข้าสู่กระบวนการของการปฏิเสธ ไม่ว่าจะเป็นการปฏิเสธว่าอาวุธสงครามแบบนี้ใครๆ ก็ซื้อหาได้ ไปจนกระทั่งถึงการปฏิเสธเรื่องปลอกกระสุนปืน โยนกันไปโยนกันมา พอความจริงโผล่ขึ้นมาก็มีโฆษกกองทัพบกออกมาปฏิเสธว่าไม่ใช่ มีคนโน้นคนนี้ปฏิเสธออกมาว่าไม่ใช่ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่น่าเสียใจตรงที่ว่า จนกระทั่ง 3-4 วันที่ผ่านมา ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่เกี่ยวข้องโดยตรง เพิ่งจะมาพูดเมื่อ 3-4 วันนี้เองว่า ถ้ามีทหารเกี่ยวข้องก็จะจัดการอย่างเด็ดขาด ทั้งๆ ที่เรื่องเช่นนี้ควรจะพูดตั้งแต่วันแรกเลย แต่กลับไม่พูดเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผมนั้น มึงตายก็ตายไป ไม่เป็นไร สมน้ำหน้ามึง ซึ่งผมก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคือง

อีกประเด็นหนึ่งที่ผมต้องชี้แจงว่า ใครเป็นคนทำนั้น ผมขอกราบเรียนอย่างนี้ดีกว่า เพื่อความเข้าใจในภาพรวมอันใหญ่ เพราะว่าผมก็ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษหนังสือพิมพ์เนชั่นสุดสัปดาห์ไปแล้ว ก็ขอเอาส่วนหนึ่งของเนชั่นสุดสัปดาห์มาเพิ่มเติม และขยายความออกมา

การต่อสู้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย โดยที่มีแกนนำทั้ง 5 ร่วมกันต่อสู้กันมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ต่อเนื่องมาจนกระทั่ง 193 วัน 193 วันที่ผ่านมานั้น โชคดีของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ในช่วงของการประท้วงของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น เราตั้งมั่น สงบ ไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไรกับใคร มันก็เป็นบทพิสูจน์ให้สังคมไทยได้เห็นว่าใครกันแน่เป็นผู้เน้นความรุนแรง นั่นข้อที่ 1

ข้อที่ 2 กระบวนการทำร้ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น เป็นกระบวนการทำร้ายถึงกับเอาชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการปราบปรามพวกเราในวันที่ 7 ตุลาคม ซึ่งทำให้มีคนเสียชีวิตหลายศพ พิการและบาดเจ็บอีกจำนวนมาก ดังที่ท่านสื่อมวลชนได้รับทราบไปแล้วนั้น เป็นกระบวนการต่อเนื่องเพื่อข่มขู่ รวมทั้งการยิงด้วยปืน M-79 ยิงระเบิดเข้าไปที่ทำเนียบรัฐบาล ทำให้คนตายถึง 4 คน แล้วก็ยิงตลอดเวลาที่ดอนเมือง และข่าวล่าสุดปรากฏออกมาแล้ว ว่าแหล่งข่าวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเป็นทหารด้วยกัน ตัดสินใจมาเล่าให้เราฟัง และเปิดตัวให้เราฟัง ว่ากลุ่มคนซึ่งยิง M-79 เข้าสู่ทำเนียบรัฐบาล ดอนเมือง และที่ศาลรัฐธรรมนูญนั้นเป็นกลุ่มคนกลุ่มเดียวกัน กลุ่มคนเดียวกันเลยที่ยิง และเตรียมการที่จะยิงต่อ

เพราะฉะนั้นแล้ว มีคนเอาข้อมูลต่างๆ เหล่านี้แจ้งไปที่ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ และท่านผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ได้แจ้งไปเรียบร้อยแล้ว ทางนี้ก็ได้ข้อมูลและก็ไปดำเนินการสืบสวนสอบสวน เท่าที่ผมทราบมาภายใน เขาก็คอนเฟิร์มว่าข้อมูลที่เขาได้รับนั้นเป็นความจริง และเขากำลังจะดำเนินการจับกุมคนที่ยิงนี้ ซึ่งเป็นทหารยศจ่าสิบเอก ยังอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นคนๆ เดียวกับที่ยิงศาลรัฐธรรมนูญ และที่นี่ด้วย เพราะฉะนั้นแล้วนี่ก็เป็นข้อมูลอันใหม่ให้เห็น

การต่อสู้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น เป็นการต่อสู้เพื่อการเมืองใหม่ คำว่าการเมืองใหม่ มันมีนัยมากกว่าการเอาคนรุ่นใหม่ๆ เข้ามาเล่นการเมือง ถ้าเราสังเกตให้ดีๆ แล้ว การต่อสู้ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้นเป็นการต่อสู้เพื่อเรียกร้องให้สังคมไทยกลับไปสู่ความโปร่งใส มีความซื่อสัตย์สุจริตในการบริหารชาติบ้านเมือง ในยุคสมัยทุกๆ ยุค ทุกสมัย ที่มีการต่อสู้นั้น เมื่อใดก็ตามที่มีการเปลี่ยนแปลงจากเก่าไปสู่ใหม่นั้น ย่อมมีการคัดค้าน ย่อมมีการไม่เห็นด้วย ย่อมมีการต่อต้านจากกลุ่มผู้มีอำนาจเก่า หรือกลุ่มผู้กำลังจะมีอำนาจใหม่ และอยากจะกลับไปใช้อำนาจแบบเก่าที่ไม่มีการตรวจสอบ เพราะฉะนั้นแล้วการต่อต้านการคัดค้านนั้นก็จะมาหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของสภาผู้แทนราษฎร รูปแบบของสื่อมวลชนที่มีความเห็นไม่ตรงกัน ลงมาจนกระทั่งในที่สุดถึงรูปแบบของการใช้กำลังรุนแรงเพื่อข่มขู่

การลอบสังหารผมนั้น นอกจากนัยของการปิดปากสื่อมวลชนที่มีความกล้าที่จะแสดงออกแล้ว ยังเป็นนัยที่สำคัญอีกนัยหนึ่งก็คือว่า เป็นนัยที่จะข่มขู่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยคนอื่นๆ เพื่อไม่ให้แสดงจุดยืน หรือมีการกระทำใดๆ ก็ตาม อันจะเป็นการสั่นสะเทือนฐานอำนาจของการเมืองแบบเก่าๆ สัญญาณตรงนี้ก็เป็นสัญญาณที่มีข้อดีว่า แสดงว่าการเมืองรุ่นเก่านั้นใกล้จะมาถึงที่สิ้นสุดแล้ว นี่คือ การดิ้นครั้งสุดท้าย แต่ว่าคนซึ่งคิดเช่นนั้นเป็นคนซึ่งไม่ได้คิดอย่างรอบคอบ เพราะคนที่คิดอย่างรอบคอบย่อมเข้าใจว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้น อาวุธที่สำคัญที่สุดของพวกเราคือปัญญา เพราะเราได้ปลูกฝังปัญญา ให้ความรู้กับประชาชนมาเป็นระยะเวลาตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 193 วันที่ผ่านมานี้ เราได้มีคนที่มีปัญญาเพิ่มขึ้นอย่างมากมายมหาศาล เพราะฉะนั้นแล้ว การฆ่าสนธิ ลิ้มทองกุล ไปเพียง 1 คนนั้น ไม่สามารถจะหยุดยั้ง สนธิ ลิ้มทองกุล อีกเป็นล้านๆ คน ที่ได้แปลงสภาพจากคนที่ไม่รู้ หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มาเป็นรู้ และที่สำคัญอยากมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงชาติบ้านเมืองครั้งนี้

เพราะฉะนั้นแล้วใครก็ตามที่จะสูญเสียผลประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นทหารบางคนในรุ่นเก่าๆ ที่ยังมีความสุขกับการเบียดบัง แอบอิงกับการใช้อำนาจเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว หรือนักการเมืองรุ่นเก่าๆ ที่มามองว่าการเมือง การเลือกตั้ง และประชาธิปไตย คือการยกมือในสภาเท่านั้น ตลอดไปจนข้าราชการหลายๆ หน่วย หลายๆ เหล่า ซึ่งจะมีความเกรงกลัวการเมืองใหม่ เพราะฉะนั้นแล้ว การประชุมร่วมมือกัน หรือการที่มีความเห็นพ้องต้องกันว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล ต้องตายนั้นจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าประหลาดใจ ไม่น่าประหลาดใจเลยแม้แต่นิดเดียว ส่วนใครจะเป็นผู้ตัดสินใจ ใครจะเป็นคนลงขัน หรือใครจะเป็นคนกำหนดนั้น ก็เป็นเรื่องภายในที่ผมไม่สามารถที่จะเปิดเผยได้ และผมก็คงจะไม่เปิดเผย

ขณะนี้หลายกระแสพุ่งตรงไปที่ คุณวิระยา ชวกุล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผมขอกราบเรียนให้ทราบนิดหนึ่งนะครับว่า ผมไม่ได้คิดและไม่เชื่อว่าคนพวกนี้จะเป็นคนซึ่งวางแผน เพราะทุกคนก็ออกมาปฏิเสธกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณวิระยา ชวกุล ก็ออกมาปฏิเสธอย่างเสียงเจื้อยแจ้ว แต่ผมจะฝากกราบเรียนสักนิดหนึ่ง ความเห็นส่วนตัวของผม ความรู้สึกส่วนตัวของผมนะครับ สมมตินะครับ ไม่ใช่เรื่องจริงนะครับ สมมติจะเป็นจริงผมก็ไม่โกรธ ผมให้อภัยไปเรียบร้อยแล้ว เพราะผมถือว่าคนเรานั้นทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง อย่าไปโกรธใครเป็นส่วนตัว ถ้าจะต้องบาดเจ็บสาหัส หรือแม้กระทั่งต้องตายเพื่อชาติบ้านเมือง และถ้าบาดเจ็บสาหัสและตาย แล้วชาติบ้านเมืองดีขึ้น มันก็คุ้มค่าที่จะตาย

แต่อย่างที่ผมได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์เนชั่นสุดสัปดาห์ ไปว่า สิ่งที่ผมเสียใจที่สุดในชีวิต คือเลือดที่มันหยดจากตัวผมไหลลงสู่พื้นดินนั้น มันไม่ได้ต่างกว่าเลือดของทหารหาญที่ปกป้องราชอาณาจักรไทยอยู่ที่พรมแดนไทย-เขมร หรือที่ต่อสู้กับโจรแบ่งแยกดินแดนทางใต้ เพราะว่าผมก็สู้เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เช่นกัน และผมกลับโดนยิงโดยคนซึ่งควรที่จะไปปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เหมือนกับผม นั่นคือ สิ่งที่ผมเสียใจมากที่สุด และผมอยากให้บทเรียนของผมนี้เป็นบทเรียนที่จะเตือนใจไปกับทุกๆ คนว่า การที่คนเรามีความคิดเห็นต่างกันนั้น ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องมาฆ่ากัน การยิงผมครั้งนี้เป็นบทพิสูจน์ตอนจบสุดท้ายให้เห็นเลยว่า พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไม่ใช่เป็นคนซึ่งต้องการความรุนแรงเลย เป็นผู้ที่หลีกเลี่ยงความรุนแรง ไม่มีครับ เราไม่มี

ส่วนเรื่องราวของ คุณวิระยา ชวกุล นั้น ก็เป็นเรื่องราวที่คุณวิระยาได้ชี้แจงออกมา ว่า ไม่ได้เกี่ยวข้อง ซึ่งผมก็ดีใจที่ท่านไม่ได้เกี่ยวข้อง ผมเป็นเพียงแต่ว่าอยากจะฝากเตือนไปนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นสัจธรรม ซึ่งทุกๆ คนทราบว่าคนเรานั้นโกหกใครก็ได้ แต่โกหกกับตัวเองไม่ได้เด็ดขาด มโนธรรม สำนึก จะติดตัวอยู่จนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของชีวิตจะหมดไป ก็อาจจะตายอย่างทุรนทุรายไว้ก็ได้ว่าในชีวิตเคยทำผิดอะไรไว้ เพราะฉะนั้นแล้ว ผมดีใจที่ คุณวิระยา ชวกุล ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำ ผมก็อนุโมทนาสาธุให้ด้วย

ส่วนเรื่องราวต่างๆ นั้น ผมคงจะไม่เล่าอะไรให้ฟัง ประเดี๋ยวผมจะแจกเอกสารเรื่องเกี่ยวกับราชเลขาฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ แจ้งด่วนมหาดไทยสั่งผู้ว่าฯ ทั่วประเทศหยุดบีบขายเสื้อ ส.ก. เดี๋ยวท่านเอาเอกสารไปคนละชุด ท่านอ่านแล้วใช้วิจารณญาณของท่านเองดูก็แล้วกันว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

อีกอันเป็นเรื่องที่ท่านสื่อมวลชนและหลายๆ ท่านถามว่า ผมห้อยพระอะไร ถึงเกิดปาฏิหาริย์เช่นนี้ ทั้งหมดเบ็ดเสร็จ ทั้งตำรวจที่ทำคดีบอกผมว่า ถ้ารวมปลอกกระสุนเวลาที่ยิงแล้ว ที่ตกในรถกระบะตลอดจนตกข้างนอกนั้น เบ็ดเสร็จต้องมีเกือบ 200 นัด กระสุนอาก้า ท่านก็รู้ว่าต้นไม้ต้นหนึ่งยังยิงทะลุได้ นับประสาอะไรกับรถญี่ปุ่นคันหนึ่งทำไมจะยิงทะลุไม่ได้ ผมไม่ปฏิเสธครับว่าผมโดนอาวุธหลายนัด และผมก็ไม่ปฏิเสธว่าผมไม่ได้เป็นอะไร ผมโดนอาวุธนัดหนึ่งที่หน้าอก รอยกระสุนยังเห็นเป็นรอยช้ำอยู่ และไปมีโผล่ความช้ำอยู่ด้านหลัง คือ ช้ำข้างนอกเป็นช้ำจุดๆ เดียว ช้ำข้างหลังเป็นดวงอย่างนี้เลย

ผมเป็นคนที่มีพ่อแม่ครูอาจารย์เยอะ พวกเราทุกคน สื่อมวลชนและท่านผู้ชมที่อยู่ที่บ้านหรือพี่น้องชาวพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทุกคนต่างก็มีพ่อแม่ครูอาจารย์กันทั้งนั้น บางคนก็กราบหลวงปู่ทวด บางคนก็กราบสมเด็จโต วัดระฆัง บางคนก็กราบหลวงพ่อบ้านแหลม หลวงพ่อแดง หลวงพ่อแช่ม หลวงพ่อโสธร สุดแล้วแต่แต่ละคนกราบ ผมก็กราบอยู่หลายองค์ รวมทั้งพ่อแม่ครูอาจารย์ หลวงปู่เสา หลวงปู่มั่น หลวงตามหาบัว ทุกองค์ รวมทั้งหลวงปู่ทวดด้วย แต่ผมคิดว่าที่สุดแล้ว พ่อแม่ครูอาจารย์จะปกป้องเรา หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์จะปกป้องเราหรือไม่นั้น อยู่ที่เราทำอะไรมากกว่า ผมถึงพูดไปหลายครั้งแล้ว ผมขอพูดอีกครั้งหนึ่งว่า ผมห้อยพระคุณงามความดี การที่ผมบาดเจ็บครั้งนี้แล้วไม่ถึงแก่ชีวิต และรอดตายอย่างปาฏิหาริย์นั้น มันมีผลกับสังคมไทยบางประการ ซึ่งผมคิดว่าเป็นข้อดี ถึงจะแลกกับเลือดของผมที่ต้องไหลลงสู่แผ่นดิน ผมคิดว่าถ้าสังคมไทยในบริบทนี้สามารถเปลี่ยนได้ ก็เป็นเรื่องที่ดี

บริบทที่ผมพูดคือบริบทคนเริ่มหันมาเชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำว่า “คนทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองนั้นพระย่อมคุ้มครอง” ผมคิดว่าตรงนี้เป็นบริบทที่สำคัญที่สุด เพราะว่าในช่วงหลังนั้นคนไทยเริ่มห่างเหินสัจธรรมที่ว่า “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” กลับไปเชื่อว่า “ทำดีไม่ได้ดี แต่ทำชั่วกลับได้ดี” ผมคิดว่าการที่ผมรอดตายครั้งนี้นั้นคงไม่ใช่ปาฏิหาริย์อะไรที่พิเศษสุด นอกจากคุณงามความดีที่ผมทำให้ชาติบ้านเมืองนั้นคุ้มครอง

ผมต้องกราบเรียนนิดหนึ่งว่า ในช่วงวินาทีที่คนที่ยิงอยู่หลังรถนั้น ยิงด้วยปืนอาก้า น่าประหลาดมหัศจรรย์มาก ทั้ง รปภ.ผมที่นั่งข้างหน้าและคนขับรถนั้น ไม่มีใครเสียชีวิตเลยแม้แต่คนเดียว รปภ.ที่นั่งข้างหน้านั้นชื่อ นายวายุภักษ์ บอกตอนหลังว่าเหมือนมีลูกปืนวิ่งอยู่รอบๆ ตัวผม ไม่เข้ามาถึงผมเลย ช่วงวินาทีนั้นผมตั้งสติและกำหนดจิต ตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าผมต้องสิ้นชีวิตไปครั้งนี้เพราะเวรกรรมในชาติก่อนที่ผมทำ ก็ขอให้ผมได้ชดใช้กรรมให้หมด แต่หวังว่าการสิ้นชีวิตของผมครั้งนี้ ถ้าจะมีประโยชน์ก็ขอให้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นั้นจงอยู่ได้ตลอดไป และผมขอบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นบารมีที่มาคุ้มครองผม นั่นก็คือ ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นแล้วก็เลยต้องเรียนให้ทราบนิดหนึ่งว่า ไม่ใช่เพราะว่าผมห้อยอะไรเป็นพิเศษ แต่ว่าพวกเราก็ห้อยกันทุกคน แต่ที่สำคัญที่สุดที่พวกเราต้องห้อยก็คือ คุณงามความดี ที่ต้องห้อยตลอดเวลา เพราะถ้าไม่มีคุณงามความดีแล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณห้อยก็จะไม่ออกมาปกป้องคุณ

อันสุดท้ายก่อนที่ผมจะเปิดให้ถามคำถาม คือ จากนี้ไปผมจะทำอะไร ก็มีข่าวลือกันมากว่าผมถอดใจ ผมจะเลิกแล้ว อันนี้ก็ต้องยืนยันว่าไม่เป็นความจริงนะครับ ในขณะนี้แพทย์สั่งให้ผมพักฟื้น เหตุผลก็เพราะว่าน้ำในหูทั้งสองข้างยังไม่เท่ากัน เวลาลุกขึ้น เวลานั่ง หรือเวลาจะนอนนั้น จะเวียนหัวเหมือนคนที่หน้ามืด หัวจะทิ่มพื้น มันต้องใช้เวลาพักฟื้น ผมคงต้องใช้เวลาพักฟื้นอีกสักระยะหนึ่ง การพักฟื้นก็มีหลายรูปแบบ อาจจะเดินทางไปต่างประเทศเพื่อพักฟื้น แต่ไม่ใช่อินเดียหรือเนปาลซึ่งผมจะไปอยู่ที่นั่นแน่นอน ผมคิดว่าอาจจะไปไหว้พระสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผมเคยไปไหว้หลายๆ ที่ และผมอาจจะไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาสักชั่วครู่หนึ่ง เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงจากเหตุการณ์ต่างๆ เพราะผมเชื่อว่าภายในเดือนพฤษภาคมนี้ จะมีการแถลงข่าวของตำรวจแล้วว่า ใครบ้างที่จะเป็นผู้ต้องสงสัย ผมไม่อยากจะอยู่เป็นตัวละครในเรื่องนี้ เพราะว่าผมกราบเรียนสื่อมวลชนทุกท่าน รวมทั้งพ่อแม่พี่น้องว่า ผมให้อภัยทุกคนแล้ว

วันที่ผมกลับมาจากโรงพยาบาล หลังจากอยู่โรงพยาบาลได้ 7 วัน มาที่นี่สิ่งแรกที่ผมทำคือผมเข้าไปที่ห้องพระ ซึ่งผมกราบพระเป็นประจำ และปฏิบัติธรรมเป็นประจำ ผมจุดธูป 5 ดอก และผมตั้งจิตอธิษฐานว่า วันนี้ผมจะสวดคาถาเมตตปริตร คือคาถาเมตตาใหญ่ของพระพุทธเจ้า และผมขออุทิศส่วนกุศลในการสวดคาถาเมตตปริตรนี้ ให้กับคนที่ยิงผม ให้กับคนที่วางแผนฆ่าผม ให้กับผู้คนทั้งหลายที่เกี่ยวข้อง เสร็จแล้วผมก็กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล และผมก็ประกาศสัจจวาจาต่อหน้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าผมให้อภัยทุกคน เพราะเขาทำไปโดยที่เขาไม่รู้ คนที่รับคำสั่ง รับคำสั่งไปโดยอาจจะรับค่าจ้างมา หรือว่าถูกสั่งให้ทำ เพราะเป็นลูกน้อง และคนที่ทำก็มีอวิชชาอยู่ มีมิจฉาทิฐิ ไม่ทราบว่าที่ตัวเองทำไปนั้นผิด เพราะว่าสิ่งซึ่งพวกผมสู้ พันธมิตรฯ สู้นั้น คือสู้เพื่อให้ชาติบ้านเมืองอยู่รอด ชาติบ้านเมืองวันนี้มันไม่มีทิศทางที่จะอยู่รอดเลย หากการเมืองยังคงดำเนินการต่อไปแบบนี้อีก การคอร์รัปชัน การมองประเทศไทยเป็นสมบัติผลัดกันชม และการคอร์รัปชั่นทุกจุด เพียงเพื่อที่จะหาเงินมาแล้วซื้อเสียงกลับเข้ามามีอำนาจนั้น มันต้องยุติได้แล้วในยุคนี้ เพราะถ้าไม่ยุติในยุคนี้แล้ว สังคมไทยจะล่มสลาย จะล่มและพังทลายไปอย่างที่ไม่มีทางรอดเลย สังคมล่มสลาย ศีลธรรมหมดสิ้นไป คุณธรรมจริยธรรมไม่มี ทุกคนมุ่งหาแต่เงินทอง ทุกคนมุ่งหาแต่ผลประโยชน์

เพราะฉะนั้นแล้วผมไม่ได้โกรธเคืองหรืออาฆาตแค้นใครทั้งสิ้น ส่วนศรัทธาและความมุ่งมั่นของผมยังเหมือนเดิม การที่ผมถูกลอบสังหารครั้งนี้ยิ่งทำให้ผมมีความรู้สึกว่าผมจะต้องทุ่มเทชีวิต และผมก็ต้องตั้งสัจจธิษฐานกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า เมื่อผมรอดตายครั้งนี้ผมถือว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้มอบภารกิจให้ผมต้องเดินหน้าต่อไป เพื่อทำหน้าที่ที่จะสร้างสังคมไทยให้ดีขึ้นในทุกรูปทุกแบบ ทำให้ผมมีความเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ผมและแกนนำพันธมิตรฯ อีกทั้ง 4 ท่านได้ร่วมกันทำมาตั้งแต่ปี 2549 นั้น เป็นสิ่งที่ทำอย่างถูกต้อง ไม่ผิด เพราะหากทำผิดหรือไม่ถูกต้องแล้ว เราคงอยู่ไม่ได้นานถึงขนาดนี้ และที่สำคัญคือ เราคงจะไม่มีประชาชนของเราเป็นล้านๆ คน เป็นสิบล้านคน ที่เห็นด้วยกับเรา

ช่วงถามตอบ

ถาม - ที่คุณสนธิพูดว่าภายในเดือนพฤษภาฯ ตำรวจจะมีผู้ต้องสงสัยออกมา และก่อนหน้านี้ ให้สัมภาษณ์ว่าท่านนายกฯ อภิสิทธิ์อาจจะพูดอะไรบางอย่ง

สนธิ - ความหมายก็คือว่า ผมเชื่อว่าภายในเดือนพฤษภาฯ นี้ ตำรวจคงจะต้องมีการแถลงข่าวออกมาแล้วว่าผลการสืบสวนสอบสวนเขาจะเป็นอย่างไรบ้าง ผมเชื่อว่า ผลการสืบสวนสอบสวนในทางลึกนั้น หัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน คือ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ท่านคงไปรายงานให้กับท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ เป็นการส่วนตัว เพราะว่าโดยประเพณีก็ควรเป็นเช่นนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็อาจจะเป็นประเด็นหลักที่ทำให้ท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ต้องพิจารณาว่า เมื่อข่าวชิ้นนี้ออกไปสู่สาธารณะแล้ว ท่านจะตอบสังคมไทยอย่างไร นั่นคือ ความหมายของผม

ถาม - คุณสนธิ ประเมินว่า การที่หน่วยงานด้านความมั่นคงไม่ให้ความสนใจเท่าที่ควร โดยส่วนตัวมองว่าเป็นเพราะอะไร และรู้สึกว่าการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ ที่ผ่านมา และสิ่งที่คุณสนธิทำ มันทำให้คุณสนธิเองยังคาดหวังกับฝ่ายการเมืองชุดนี้ที่จะนำไปสู่การเมืองใหม่ของพันธมิตรฯ หรือเปล่า

สนธิ - ผมมองว่าการที่ฝ่ายความมั่นคงไม่ให้ความสำคัญตรงนี้ ความใจดำตรงที่ว่า เหตุการณ์ลอบสังหารแบบนี้มันไม่ใช่เหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนขวัญในประเทศไทยอย่างเดียวนะครับ มันออกไปทั่วโลกเลย ออกไปทั้ง CNN ออกไปทั้งหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่น ทั้ง BBC ออกไปหมด เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ฝ่ายความมั่นคง โดยหลักตรรกะแล้ว ใครจะมีปืนอาก้า ใครจะมีปืน M-16 และใครจะสามารถยิง M-79 มาตั้ง 2 ลูก ถ้าไม่ใช่มาจากหน่วยความมั่นคง คงไม่ใช๋โจรผู้ร้ายอยู่แถวชลบุรี หรือมาเฟียที่ไหนก็ตาม ที่ทำได้ ถ้าจะเป็นมาเฟีย ก็ต้องเป็นมาเฟียที่มีส่วนเกี่ยวพันกับฝ่ายความมั่นคง ถึงสามารถจะมีอาวุธเช่นนั้นได้ นั่นคือความหมายของผม อันที่ 2 การต่อสู้ของเราเราต่อสู้อย่างสงบ สันติ อหิงสา เราหวังว่าการเมืองใหม่นั้นคงจะดีขึ้น แต่เราไม่ได้คาดคิดว่าการเมืองที่ยังเป็นอยู่ปัจจุบันนั้น จะลากต่อไปเพียงเพื่อให้ชีวิตรัฐบาลอยู่ได้นานขึ้น ถ้าจะเป็นในกรณีนี้เราจะเสียใจมาก ซึ่งตรงนี้ประเดี๋ยวคุณช่วยถามแกนนำพันธมิตรฯ แล้วกัน เพราะเขามีคำตอบให้อยู่เรียบร้อยแล้ว

ถาม - เข้าใจว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะมีความเกี่ยวพันกับการเกิดกลุ่มขั้วอำนาจทางการเมืองใหม่ไหม?

สนธิ - ผมเป็นคนแรกที่เสนอทฤษฎีว่า การเมืองใหม่ ขั้วอำนาจใหม่นั้นกำลังก้าวเข้ามาสู่ในวงการเมือง คือผมมองว่าการเมืองโดยรวมนั้น สมัยก่อนเราสู้กับคุณทักษิณ เราสู้กับกลุ่มเสื้อแดง วันนี้พิสูจน์ชัดแล้วว่ากลุ่มเสื้อแดงอ่อนแรงไปแล้ว และการปราบปรามกลุ่มเสื้อแดงนั้นปราบปรามได้ง่าย ถ้าเขาจะปราบปราม นี่แค่ออกหมายจับเพียง 2-3 เจ้า ทั้งที่ควรจะออกหมายจับมานานแล้ว ก็เลยทำให้กลุ่มเสื้อแดงชะลอตัวเอง ไม่กล้าออกมา แม้กระทั่งการขึ้นเวทีคราวสุดท้าย ที่ผู้ที่ถูกออกหมายจับและประกันตัวไป และถูกตำรวจกำหนดว่าห้ามก่อความวุ่นวายไม่งั้นจะถอนประกัน ก็ทำให้เขาไม่กล้า เพราะฉะนั้นแล้วกลุ่มเสื้อแดงนั้น 70% เป็นกลุ่มถูกจัดตั้งมา เพราะฉะนั้นเมื่อถูกจัดตั้งมา อุดมการณ์ในกลุ่มเสื้อแดง(เสียงขาดหาย) เป็นการต่อสู้ที่ไม่ยาก แต่การต่อสู้กับกลุ่มที่มีอุดมการณ์อย่างเช่นกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งมีปัญญา และผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านความเป็นความตายมานาน 7 ตุลาคม ตลอดจนถูกยิงถล่มที่ทำเนียบ หลายๆ อย่างนั้น มันหล่อหลอมให้เกิดความแข็งแกร่ง และทำให้คนซึ่งสู้ต่อไปนั้นมีความมั่นใจว่าการสู้นั้นเป็นการสู้ที่ไม่ผิด เพราะฉะนั้นแล้วคนพวกนี้เป็นอุปสรรคยิ่งใหญ่มากสำหรับใครก็ตามที่อยากจะแทรกเข้ามาในช่องสุญญากาศที่กลุ่มคนเสื้อแดงและคุณทักษิณเริ่มอ่อนแรงไป ทีนี้การแทรกเข้ามาในสุญญากาศตรงนี้ เป็นการแทรกเพื่ออะไร ถ้าเป็นการแทรกเพื่อที่จะพัฒนาไปสู่การเมืองใหม่ ผมเชื่อว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะไม่ขัดขวาง และพร้อมจะให้การสนับสนุน

แต่การแทรกเข้าไปครั้งนี้ ก็กลับเข้าไปสู่จุดเดิม คือการแทรกแบบสมบัติผลัดกันชม เหมือนกับยุค คมช.เมื่อยึดอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้แล้ว คมช.และคุณสุรยุทธ์ จุลานนท์ ก็มองไปว่า อำนาจอยู่ในมือเขาแล้ว คุณทักษิณไม่สามารถจะทำอะไรได้ เพราะฉะนั้นการปฏิรูปการเมืองในยุค คมช. หรือการดำเนินคดีต่างๆ ที่เกี่ยวกับคุณทักษิณ เขาก็ใส่เกียร์ว่างหมด นี่คือลักษณะการมองคล้ายๆ กัน เป็นเพียงแต่คราวนั้นเขาใช้อำนาจการปฏิวัติรัฐประหารเข้ามา แต่คราวนี้เขาจะใช้ช่องว่างสุญญากาศที่เกิดขึ้น แล้วก็เข้ามาแทนที่

ถาม - Do you think who's behind the assassination attempt, what's thier motivation and also would this bring the PAD back to the street?

สนธิ - Look at to your last question first, this will not bring the PAD back on the street , not yet. Secondly, to summarize the question who's behind this assassination attempt, I could only give you a holistic approach to this question. The answer is that, whenever there's a change to the society, and do changing from something old to something new, people who are adhering or sticking to the old interest will loose the benefits and they will provide resistence. Resistants sometime's come in the form of opinion, different opinion. Resistence sometime's come in the form of debating, and finally, resistants in the society like Thailand, comes in the form of violence, bloodshed. OK?

ถาม - มองว่า หลังจากนี้ขบวนการที่อยู่เบื้องหลังการดำเนินการเรื่องนี้ จะหยุดอยู่แค่นี้ หรือว่าน่าจะมีการเปลี่ยนกระบวนการหน่วยงานด้านความมั่นคง

สนธิ - ผมไม่สามารถที่จะตอบแทนท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ได้ แต่ผมตอบแทนท่านได้อย่างหนึ่งว่า ชีวิตท่านก็อยู่ในอันตรายเช่นกัน ผมเป็นคนแรกที่ออก ASTV แล้วก็ชี้แจงให้กับท่านผู้ชมว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่พัทยาและที่กระทรวงมหาดไทยนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เกิดขึ้นโดยการวางแผนไว้อย่างดี และในทางลึกแล้วผมก็ทราบมาว่าในพรรคประชาธิปัตย์เองก็ยอมรับเรื่องนี้ ส่วนท่านจะตัดสินใจหรือไม่นั้น ผมไม่ไปก้าวล่วงสิทธิการตัดสินใจของท่านได้ เพราะผมถือว่าเป็นสิทธิของท่าน เพราะท่านอาจจะมีข้อมูลที่ดีกว่าผม หรือท่านอาจจะมียุทธวิธีในการแก้ปัญหาด้วยวิธีทางของท่าน ซึ่งผมจะไม่มีวันรู้ได้เป็นอันขาด

ถาม - ขบวนการดำเนินการเบื้องหลังแบบนี้จะยังคงดำเนินการอยู่?

สนธิ - มีอยู่แน่นอนครับ นอกเสียจากว่า เมื่อตำรวจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ซึ่งผมให้ความเชื่อมั่นเป็นอย่างสูง ได้ดำเนินการไปสู่ระดับหนึ่งแล้วท่านนายกฯ เห็นว่าข้อมูลนี้มีความจำเป็นที่จะต้องเปิดเผย เมื่อเปิดเผยแล้วท่านต้องใช้อำนาจของท่านในการแก้ปัญหาอย่างเด็ดขาด ถ้าท่านกล้าใช้อำนาจของท่านในการแก้ไขอย่างเด็ดขาดแล้ว ผมก็เชื่อว่าทุกอย่างก็คงจะต้องชะลอลงไป แต่ถ้าท่านยังไม่แก้ผมก็ไม่ทราบแล้วครับ คำถามสุดท้ายครับ

ถาม - กรณีที่โดนลอบสังหารครั้งนี้ พันธมิตรฯ จะยกเอาประเด็นนี้ไปเป็นประเด็นการสู้ของพันธมิตรฯ ไหม

สนธิ - ผมกรวดน้ำคว่ำขันให้เนี่ย มันเป็นวิถีชาวพุทธ คือไม่อาฆาตแค้นกัน การที่ผมเสียเลือดเสียเนื้อ รอดตายมา ก็เพราะว่าบุญกุศลที่ทำเอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ทำไว้กับชาติบ้านเมือง ส่วนเรื่องพันธมิตรฯ จะใช้ประเด็นนี้ออกมาปฏิบัติการอย่างไรนั้น ประเดี๋ยวผมพูดจบแล้ว ผมขอให้ทางแกนนำพันธมิตรฯ เป็นผู้ตอบคำถามนี้ดีกว่า

ถาม - It's been two weeks since assassination advanced, how do you feel right now and do you not fear for your life thinking the gunmen are still out there,they could still do something?

สนธิ - Well, I have to be extra careful. I don't go out often and I don't go to places where I used to go. My life changes completely.This is the fact I have accepted. And the gunmen're still roaming around as far as I'm concerned อันนี้ก็เป็นข้อมูลใหม่นะฮะ as far as I'm concerned,as far as my sources told me that four of the gunmen had already been silenced.

ถาม - What do you mean "silenced"?

สนธิ - "Silenced" means "get rid off".

ถาม - So,but do you fear for your family's safty or do you fear for your own place?

สนธิ - Well,this is the natural answer which I think everybody has to be afraid of his life. This is definitely,that's no doubt about it.The only thing I could do is that we have to be careful, that's it. OK, alright.

ถาม - ยังไงคุณสนธิก็จะกลับจากอเมริกามาที่ประเทศไทยใช่ไหม

สนธิ - อ๋อ แน่นอน ผมไม่ไปไหนหรอกครับ ผมมีภารกิจ ไม่ได้ลี้ภัย ผมยังใช้พาสปอร์ตไทยอยู่ ยังเดินทางเข้า-ออกได้อยู่

ถาม - ไปช่วงนี้ไม่กลัวหวัดหมูหรือ

สนธิ - ก็อยากจะไปเป็นหวัดหมูเหมือนกันครับ

ถาม - คุณสนธิ มั่นใจว่า ประเด็นลอบสังหารคือเรื่องขัดขวางผลประโยชน์ทางการเมืองเท่านั้น ไม่มีประเด็นเรื่องส่วนตัว

สนธิ - ไม่มีครับๆ สิ่งหนึ่งซึ่งผมต้องชมท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ ท่านแจ้งมาผ่านทางหลายสายว่า เมื่อท่านเห็นชื่อคุณจงรักเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ท่านก็ตกใจ ท่านก็เลยสั่งให้เปลี่ยนจากคุณจงรัก เป็น พล.ต.ต.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ซึ่งผมก็ดีใจด้วย เพราะว่าคุณจงรักยังไม่ทันไรเลย ยังไม่ทันลงไปจับคดีอะไรทั้งสิ้นเลย ก็เอ่ยมาเป็นคำแรกว่า ไม่ปฏิเสธว่าอาจจะมีเรื่องส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้อง เหมือนกับเปิดช่องเอาไว้ล่วงหน้า และผมก็เกรงท่านจงรักมากในเรื่องของการสืบสวนสอบสวน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลงานของท่านจากซานติก้าผับแล้ว ผมก็มีความรู้สึกว่าชีวิตผมคงไม่มีความสุขแน่ถ้าท่านเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน

คุณสุริยะใส จากนี้ไปผมเลียนแบบท่านนายกฯ นะครับ ท่านนายกฯ มีคุณเทพไทเป็นโฆษกส่วนตัว แกนนำพันธมิตรฯ ได้ให้ฉันทานุมัติว่า มอบให้คุณสุริยะใสเป็นโฆษกส่วนตัวผม มีอะไรถามคุณสุริยะใสได้นะครับ ขอบพระคุณมากครับ”




กำลังโหลดความคิดเห็น