ที่ประชุมกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) มีมติเพิ่มโควตาจำนำข้าวอีก 2 ล้านตัน รวมเป็น 6 ล้านตัน โดยกู้เงิน ธ.ก.ส.2.36 หมื่นล้านบาท มาใช้รับจำนำ พร้อมขยายเวลาถึง 31 ก.ค.นี้ “มาร์ค” ย้ำรับจำนำปี 52 เป็นครั้งสุดท้าย สั่งตรวจสอบโควตารับจำนำเดิมเต็มก่อนหมดเวลา มีข่าวต่างด้าวหรือการเวียนเทียนข้าวหรือไม่
วันนี้ (4 มิ.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) โดยมีผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยใช้เวลาในการประชุมกว่า 2 ชั่วโมง
ที่ประชุม กขช.ได้พิจารณาเพิ่มโควตาการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังในฤดูกาลนี้อีก 2 ล้านตัน จากเดิม 4 ล้านตัน เป็น 6 ล้านตัน ภายในวันที่ 31 กรกฎาคม 2552 วงเงิน 24,000 ล้านบาท โดยกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ไปใช้ในการรับจำนำในราคาเดิม ตันละ 11,800 บาท โดยจะแบ่งไปตามโควตาตามปริมาณผลผลิตที่เหลืออยู่ใน 40 จังหวัด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ภาคกลาง และเชื่อว่า จะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกร ทำให้ผู้ชุมนุมประท้วงเข้าใจ
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมกำชับเรื่องการตรวจสอบว่า อย่าให้มีข้าวจากต่างประเทศเข้ามาสวมสิทธิ์รับจำนำ หรือมีการขายใบประทวนสินค้าให้กับโรงสี
ด้าน นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้มีการขยายโควตารับจำนำราคาข้าวเปลือกนาปรังฤดูการผลิต พ.ศ.2552 เพิ่มเติมจำนวน 2 ล้านตันข้าวเปลือก โดยขยายระยะเวลาเพิ่มอีก 2 เดือน ไปสิ้นสุดวันที่ 31 ก.ค.2552
ส่วนข้าวเปลือกนาปรังในพื้นที่ภาคใต้จะขยายระยะเวลาจนถึงวันที่ 30 ก.ย.2552 โดยรับจำนำราคาตันละ 11,800 บาท ส่วนวิธีการรับจำนำจะแบ่งเป็นโควตาจังหวัดละ 70% และขึ้นอยู่กับผลผลิตของจังหวัด
นอกจากนี้ การรับจำนำรอบใหม่ เกษตรกรที่เข้าโครงการรับจำนำมาก่อนหน้านี้จะไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะเป็นผู้ตรวจสอบอย่างเข้มข้น เช่น ดูใบประทวนของผู้ที่เข้ามารับจำนำว่าเคยเข้าโครงการหรือไม่ โดยเป็นการตรวจสอบย้อนกลับ อย่างไรก็ตามยังมีปัญหาในส่วนของผู้ที่ถือใบประทวนเก่าที่เอาผลผลิตเข้า โครงการรับจำนำแต่ไม่ถึง 3.5 แสนตัน จากโควตา 4 แสนตัน ตรงนี้ในที่ประชุมมีการพูดอย่างกว้างขวางว่าในส่วนของใบประทวนที่ออกไปแล้ว ก็ควรจะหมดที่ตรงนั้น เนื่องจากหากยังคงมาเข้ารับจำนำอีกก็จะไม่เป็นไปตามจุดประสงค์ของการช่วย เหลือชาวนาที่ยังเหลืออยู่อย่างแท้จริง
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รายงานเพิ่มเติมว่าจำนวนข้าวเปลือกที่ทุกจังหวัดรายงานมา ณ วันนี้ พบว่ามีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 8.2 ล้านตัน จากเดิมที่มีการรายงานว่ามีเพียง 7.6 ล้านตัน โดยรัฐจะกู้เงินจาก ธ.ก.ส.เพิ่มอีกจำนวน 2.36 หมื่นล้านบาท จากเดิมที่กู้จำนวน 1.3 แสนล้านบาท ซึ่งวันนี้ได้มีการคำนวณตัวเลขว่าจะดำเนินการรับจำนำในจำนวน 8.2 ล้านตันข้าวเปลือก และจะไม่มีการรับจำนำของปี 2552 อีกแล้ว
นางพรทิวา กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมได้สอบถามถึงเรื่องกรณีที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รายงานว่าเหตุใด จึงพบว่ามีจำนวนข้าวเปลือกเพิ่มขึ้นกว่า 2 ล้านตัน ซึ่งกระทรวงพาณิชย์รับจะไปตรวจสอบและเข้มงวดในการรับจำนำหลังจากที่พบว่า จำนวนข้าวเปลือกเพิ่มขึ้น เนื่องจากหลายคนเห็นว่าเหตุใดจำนวนการรับจำนำที่รัฐบาลกำหนดไว้เดิมจึงหมดไปอย่างรวดเร็ว ก่อนหมดระยะเวลาการรับจำนำ ซึ่งจากการหารือในวันนี้ กรมการค้าภายในที่ทำการตรวจสอบอยู่แล้ว ที่ประชุมมีมติให้ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี ลงไปตรวจสอบและเพิ่มมาตรการ อย่างเข้มข้นขึ้น
“กระทรวงพาณิชย์ ยังไม่มีข้อมูลที่พบว่ามีการเวียนเทียน เรายังไม่มีข้อมูลว่ามีการนำข้าวเก่ามาจำนำใหม่และในที่ประชุมองค์การคลังสินค้า (อคส.) ชี้แจงว่า หากพบว่ามีการเวียนเทียน ก็ขอให้ส่งข้อมูลและให้ดำเนินการตามกฎหมาย หากมี อคส.ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้ก็ได้พูดในที่ประชุม ดังนั้นจึงรายงานในที่ประชุมว่ายังไม่ได้รับรายงาน ไม่มีข้อมูลในเรื่องนี้ว่ามีการเวียนเทียนแต่ก็ถือว่าเป็นข้อที่ต้องระวัง เพราะกระทรวงพาณิชย์จะไม่ยอมให้มีเหตุการณ์ตรงนี้เกิดขึ้น จะได้ส่งไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ตรวจสอบอย่างเข้มข้น เพราะเป็นเรื่องของเงินภาษีของพี่น้องประชาชนที่เยอะมาก ดังนั้น จึงต้องระแวดระวังให้ดี และให้มีความชัดเจน สามารถตรวจสอบได้” นางพรทิวา กล่าว
นางพรทิวา กล่าวต่อว่า วันนี้ไม่มีการหารือในเรื่องโครงการระบายข้าวสารเพื่อการส่งออกที่ค้างอยู่ในสตอกของรัฐบาลจำนวน 2.6 ล้านตัน โดยเฉพาะกรณีของ 17 บริษัท ที่ประมูลไปแล้ว เนื่องจากฝ่ายกระทรวงพาณิชย์ก็กำลังดำเนินการอยู่ว่าจะทำอย่างไร โดยได้ส่งให้อัยการสูงสุดตีความว่าหากรัฐจะยกเลิกสัญญาการประมูลได้หรือไม่
“นายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้สอบถาม เพราะท่านก็นั่นอยู่แล้ว “นางพรทิว่ากล่าวพร้อมหัวเราะ และว่า เรื่องนี้นายกฯ ก็คุยอยู่แล้วว่าจะต้องเป็นอย่างไร
ด้าน นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมได้วางมาตรฐานอย่างชัดเจน โดยเฉพาะตัวเลข ข้าวเปลือกที่เพิ่มมากขึ้น ในพื้นที่จังหวัดใกล้พรหมแดน เช่น จังหวัดสระแก้ว จากข้อมูลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่เข้ามาจำนวนมาก อย่างไรก็ตามจะต้องมีมาตรการที่ชัดเจนใน 1 เดือนนี้ เพื่อรองรับฤดูข้าวนาปี 2552-2553 หรือฤดูการผลิตหน้า
รายงานแจ้งว่า ในวันพรุ่งนี้ (5 มิ.ย.) นายประดิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ รมช.คลังในฐานะประธานคณะอนุกรรมการการรับจำนำจะพิจารณาในเรื่องของโควตา วิธีการรับจำนำ โดยเฉพาะวงเงินกู้จาก ธ.ก.ส.2.3 หมื่นล้านบาท แม้ที่ประชุมจะมีการให้เลือกวงเงินกู้ 1 หมื่นล้าน และ 1.5 หมื่นล้านบาท เพื่อเป็นทางเลือก แต่ที่ประชุมได้เลือกวงเงินกู้ 2.3 หมื่นล้านบาทแทน
แหล่งข่าวจากที่ประชุม เปิดเผยว่า นายอภิสิทธิ์ ได้กล่าวกับที่ประชุมว่า มติการเพิ่มการรับจำนำวันนี้ ถือเป็นการสิ้นสุดไม่ต้องเข้าพิจารณาของ ครม.อีก แต่ให้นำเข้า ครม.เพื่อเป็นวาระเพื่อทราบเท่านั้น เนื่องจากนายกฯ ได้ขออนุมัติจาก ครม.มาแล้ว ว่าให้อำนาจของ คณะกรรมการชุดนี้เป็นผู้พิจารณา และการรับจำนำข้าวปี 2552 นี้จะทำเป็นครั้งสุดท้าย
นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า การกระจายโควตาการรับจำนำเพิ่มจะเป็นไปตามโควตาจากปริมาณผลผลิตที่เหลืออยู่ใน 40 กว่าจังหวัด และจะจัดสรรอย่างเป็นธรรม ซึ่งการประชุมวันนี้มีการพิจารณากันโดยรอบคอบ โดยดูในเรื่องของปริมาณของผลผลิตข้าวที่เหลืออยู่ ซึ่งคณะกรรมการ กขช.ระดับจังหวัดส่งตัวเลขเข้ามา รวมไปถึงเรื่องของความเดือดร้อนของชาวนาที่ยังมีข้าวแล้วไม่สามารถเข้าโครงการ ก็มีการพิจารณาและขยายปริมาณเพิ่มขึ้น
“เมื่อทางรัฐบาลเห็นถึงความเดือดร้อนของชาวนาก็ได้เพิ่มปริมาณซึ่งถือว่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ตั้งแต่เราเคยรับจำนำข้าวนาปรังเป็นต้นมา และเข้าใจว่าในยามเศรษฐกิจอย่างนี้ความเดือดร้อนของชาวนาเป็นความเดือดร้อนของรัฐบาล ขอให้ชาวนาทั้งประเทศที่รัฐบาลนี้จะเข้าดูแลความเดือดร้อนและช่วยดูในเรื่องของการรับจำนำข้าวนาปรัง”นายอลงกรณ์และว่าขอให้ชาวนาใช้สิทธิ์ด้วยการเข้าไปในโครงการรับจำนำของรัฐบาลก็จะได้ราคาตามที่รัฐบาลได้ประกาศ
รมช.พาณิชย์ กล่าวต่อว่า ที่ประชุมได้กำชับในเรื่องของการตรวจสอบอย่าให้มีข้าวต่างด้าวเข้ามาสวมสิทธิ์ หรือว่ามีกรณีการขายใบประทวนให้กับโรงสี ซึ่งเป็นการทุจริต ก็ได้ให้คณะกรรมการตรวจสอบเข้าไปตรวจสอบเพื่อไม่ให้เกิดปัญหานี้