ต้องยอมรับว่าความพยายามขยายผลเกี่ยวกับเรื่อง “ทหารฆ่าประประชาชน” หรือ “ซ่อนศพ” ในเหตุการณ์สลายการชุมนุมจากการจลาจลเผาบ้านเผาเมืองช่วงวันสงกรานต์ที่ผ่านมาของกลุ่ม “คนเสื้อแดง” และพรรคเพื่อไทยที่ นช.ทักษิณ ชินวัตร อยู่เบื้องหลังยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและเอาจริงเอาจัง
เสมือนหนึ่งว่ามีเจตนายกเอากรณีดังกล่าวไปเป็น “เงื่อนไข” เพื่อเป้าหมายบางอย่าง !!
หากสังเกตจะพบว่าความพยายามดังกล่าวดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง โดยกระทำคู่ขนานกันไปกับการปฏิเสธแสดงความรับผิดชอบกรณีคนเสื้อแดงก่อเหตุจลาจล เผาบ้านเผาเมือง แต่โบ้ยให้เป็นฝีมือของฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐ หรือ คนใส่ “เสื้อสีน้ำเงิน” กล่าวหาว่าเข้ามาสร้างสถานการณ์ เพื่อสร้างความปั่นป่วน เป็นชนวนนำไปสู่การสลายการชุมนุมในที่สุด
ความพยายามในลักษณะดังกล่าวถูกขยายผลออกไปเรื่อยๆ ที่เห็นได้ชัดก็คือฉวยโอกาสระหว่างการประชุมร่วมสองสภาเพื่อร่วมกันหาทางออกให้กับวิกฤตบ้านเมือง แต่กลับกลายเป็นว่า บรรดา ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย และแกนนำระดับ “หัวโจก” ที่ถอดเสื้อแดงแล้วหันมาใส่สูทพยายามบิดเบือนเหตุการณ์ พูดดำให้เป็นขาว หรือขาวให้เป็นดำอย่างหน้าตาเฉย
ตัดตอนภาพเพื่อให้สังคมเข้าใจว่าทหารทำร้ายประชาชน หรือพูดโน้มน้าวให้เชื่อว่ามีการ “ซ่อนศพ” หรือทหารนำคนเสื้อแดงขึ้นรถแล้วเอาไปเผาทิ้งที่วัดแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว พยายามจินตนาการจำลองเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” ไม่มีผิด
หยิบยกเอากรณีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 2 คนที่ถูกฆาตกรรม และพบศพลอยในแม่น้ำเจ้าพระยาก็ผูกโยงอย่างเป็นจริงเป็นจังว่าทั้งคู่ถูกฆ่าหลังจากไปร่วมชุมนุม ทั้งที่ภรรยาของหนึ่งในผู้ตายและเพื่อนร่วมงานต่างไม่ปักใจเชื่อว่าสาเหตุการเสียชีวิตมาจากเรื่องการเมืองหรือการชุมนุมแต่อย่างใด อีกทั้งสามารถพิสูจน์ได้จากการตอกบัตรลงเวลาของพนักงาน และสอดคล้องกับการพิสูจน์ศพที่แพทย์ระบุว่าตายมานานกี่ชั่วโมง ซึ่งน่าจะไม่เกี่ยวกันเพราะเกิดขึ้นหลังการสลายการชุมนุมแล้ว
อย่างไรก็ดี แกนนำคนเสื้อแดงกลับไม่ค่อยพูดถึง หรือไม่ยอมขยายผลเหตุการณ์ที่ อริสมันต์ พงษ์เรืองรองไปพังการประชุมสุดยอดอาเซียนที่พัทยา ไม่พูดถึงกรณี สุภร อัตถาวงศ์ นำทีมไปล้อมกระทรวงมหาดไทยแล้วเกิดเหตุทำร้ายเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นิพนธ์ พร้อมพันธุ์ และล้อมกรอบขว้างปาสิ่งของเจตนาฆ่านายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รวมทั้งการทำร้ายหน่วยรักษาความปลอดภัยนายกฯจนบาดเจ็บสาหัส แล้วนำตัวและยึดอาวุธไปสอบสวน นำไปขึ้นเวทีที่ทำเนียบรัฐบาล
ขณะเดียวกันเหตุการณ์ที่คนใส่เสื้อแดงบ้าคลั่งยิงถล่มเข้าไปในมัสยิดที่เพชรบุรีซอย 5-7 หรือการไล่ทุบตีเข้าไปในชุมชนบ้านครัว รวมทั้งกรณีที่มีคนเสื้อแดงนั่งรถจักรยานยนต์ยิงใส่ชาวบ้านที่นางเลิ้งเสียชีวิตสองศพ เนื่องจากไม่พอใจถูกขัดขวางไม่ให้เผารถเมล์ในบริเวณนั้น เกรงว่าจะไหม้ลามเข้าไปในชุมชน
หรือกรณีเสื้อแดงนำรถแก๊สที่มีที่มาพิรุธ มาจอดข่มขู่โดยนำชาวแฟลตดินแดงมาเป็นตัวประกันหลายชั่วโมงเพื่อต่อรองให้ทหารถอนกำลังออกจากบริเวณนั้น หลังจากเข้าสลายเพื่อเปิดทางการจราจรออกไปได้แล้ว ซึ่งสองเหตุการณ์หลังนี้บรรดา หัวโจก เสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยกลับไม่พยายามกล่าวถึง หรืออีกด้านหนึ่งก็โบ้ยว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ของกลุ่มอื่นหน้าตาเฉย
ล่าสุดก็กำลังขยายผลในเรื่องการเสียชีวิตของพลทหารในบ้านของแม่ทัพภาคที่ 1 ทั้งที่แม้ว่าถ้าจะว่ากันแบบตรงไปตรงมาแล้วน่าจะเป็นการตายอย่างน่าสงสัย แต่ไม่ว่าจะมองในมุมไหนมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับการสลายการชุมนุมคนเสื้อแดง หรือประเด็นที่ทหารทำร้ายคนเสื้อแดงแม้แต่น้อย
เป็นเรื่องที่แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะเจ้าของบ้านและผู้บังคับบัญชาจะต้องชี้แจงให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน ซึ่งต้องว่ากันไปตามข้อเท็จจริง ไม่เห็นจะเกี่ยวโดยตรงกับพรรคเพื่อไทยตรงไหน
นอกจากนี้เมื่อตั้งข้อเกตจากความเคลื่อนไหวและพฤติกรรมดังกล่าวมามันก็บังเอิญไปสอดคล้องกับกรณีใบปลิวที่กำลังโปรยปรายในต่างจังหวัดใส่ร้ายว่าทหารฆ่าประชาชน และสื่อบิดเบือน ซึ่งขนาดนายกฯอภิสิทธิ์ ยังนำมาเปิดเผยด้วยความเป็นห่วง
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจะมองเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากมีเจตนาที่ทำให้เข้าใจได้ว่ามีความสร้างกระแสบิดเบือน เพื่อนำไปเป็นเงื่อนไขสร้างความเกลียดชังนำไปสู่การลุกฮืออีกรอบของคนเสื้อแดงที่รับฟังข้อมูลเพียงด้านเดียวหรือไม่
ทั้งที่ในแต่ละเหตุการณ์มีประจักษ์พยานจำนวนมาก โดยเฉพาะสื่อทั้งในและต่างประเทศที่จ้องดูอยู่ไม่กระพริบ แต่เมื่อไม่ได้ผลก็หันมาโจมตีสื่อ หาว่าไม่เป็นกลาง
ดังนั้นช่วยไม่ได้ที่จะต้องมองเจตนาของแกนนำคนเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทย ว่ากำลังยั่วยุให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองไม่สิ้นสุด เท่านั้นเอง !!