xs
xsm
sm
md
lg

วิเคราะห์กบฏ “ทักษิโณมิกส์” ด้วย ทฤษฎี Chaos (1)

เผยแพร่:   โดย: ยุค ศรีอาริยะ

ช่วงที่ผ่านมา ผมต้องเดินทางไปสอนหนังสือในที่ต่างๆ จนเกือบไม่มีเวลาได้พักมากนัก นอกจากการสอนดังกล่าว ผมยังต้องติดตามวิเคราะห์ระบบโลกในช่วงปัจจุบัน ซึ่งกำลังวิกฤตขนาดใหญ่

ในเวลาเดียวกัน ผมก็ถูกลากกลับมาวิเคราะห์วิกฤตการเมืองไทยที่กำลังร้อน รุนแรง และเดือดพล่านขึ้นทุกขณะ จนเกิดการ ‘ก่อกบฏ’ ครั้งประวัติศาสตร์ นำโดยท่านอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ซึ่งฝ่ายก่อกบฏเรียกการลุกขึ้นสู้ครั้งนี้ว่า “การก่อสงครามประชาชนเพื่อโค่นล้มระบบอำมาตยาธิปไตย”

มีเพื่อนคนหนึ่ง ‘งงมาก’ ว่า “อะไรคือ อำมาตยาธิปไตย” จึงโทร.มาถามผม

ผมตอบว่า

“น่าจะหมายถึง บรรดาขุนนางชั้นสูง ซึ่งในกรณีนี้ น่าจะหมายถึง ‘สถาบันสูงสุดของไทย’ ด้วย แม้ฝ่ายก่อกบฏจะโจมตีเฉพาะองคมนตรีบางท่าน และประธานองคมนตรี แต่คำว่า สถาบัน ไม่ได้หมายเฉพาะแต่พระมหากษัตริย์เท่านั้น ทั้งท่านประธานองคมนตรี และคณะองคมนตรี ก็คือส่วนหนึ่งของสถาบันด้วย”

มีนักการเมืองอาวุโสท่านหนึ่งเปรียบเทียบไว้ดีมาก ท่านกล่าวว่า

“...ถ้าเปรียบสถาบันเสมือนเก้าอี้ตัวหนึ่ง องคมนตรีน่าจะเปรียบได้กับขาเก้าอี้ ถ้าเก้าอี้ตัวนี้ถูกตัดขาทิ้ง เก้าอี้จะเป็นเก้าอี้ได้อีกหรือ...”

เพื่อนคนนี้ถามต่อว่า “อะไรคือ สงครามประชาชน”

ผมอธิบายว่า

สงครามประชาชน คือการต่อสู้ของประชาชน ที่ใช้ความรุนแรงระดับการใช้อาวุธ หรือระดับการก่อกบฏ เพื่อโค่นล้มระบบการปกครอง หรือระบอบอำนาจรัฐ รวมทั้งชนชั้นนำที่ครองอำนาจอยู่

คำว่า สงครามประชาชน นี้ โดยทั่วไปเป็นคำที่ใช้กันมากในหมู่ฝ่ายซ้ายเก่า

ตามหลักคิดแบบซ้ายเก่า ‘สงครามประชาชน’ หมายถึง ประชาชนลุกขึ้นทำสงครามกับผู้มีอำนาจในการปกครอง หรือก่อนทำการอื่นใดต้องปลุกระดมคนขึ้นมาก่อน หรือการทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “แดงทั้งแผ่นดิน”

โดยหลักของทฤษฎีฝ่ายซ้าย คำว่า สงครามประชาชน (ดังกล่าว) ทำได้ 2 แบบ

แบบแรกคือ การลุกขึ้นสู้ในเมือง และก่อจลาจลขึ้น ตัวอย่างที่สำคัญคือ การปฏิวัติฝรั่งเศส และการปฏิวัติรัสเซีย ทั้ง 2 แบบของการปฏิวัติดังกล่าวคือ การปฏิวัติด้วยความรุนแรงที่ล้มอำนาจสถาบันกษัตริย์ เริ่มต้นจากการก่อจลาจลขนาดใหญ่ขึ้นในเมือง และส่งกำลังรบจำนวนหนึ่งบุกยึดวัง และจับกุมบรรดาชนชั้นนำที่มีอำนาจอยู่

แบบที่สองคือ สงครามประชาชนที่เกิดขึ้นในประเทศโลกที่สามที่เคยเป็นประเทศเมืองขึ้น ตัวอย่างเช่น สงครามประชาชนซึ่งเกิดขึ้นที่ประเทศจีน โดยใช้สงครามการลุกขึ้นสู้ด้วยกำลังของชาวนาแบบชนบทล้อมเมือง และรุกจากชนบทยึดเมืองหลวง

เพื่อนผมถามต่อไปว่า

“การต่อสู้ของสีแดงครั้งนี้...จะมีโอกาสก่อเกิด แดงทั้งแผ่นดิน และ สงครามประชาชน...ได้อย่างไร”

ผมตอบว่า

“ผมคงได้แค่คาดเดาเท่านั้น เรื่องจริงๆ น่าจะซับซ้อนกว่าที่ผมคิด”
ในการก่อสงครามครั้งนี้ ผมคิดว่า ‘ฝ่ายก่อสงคราม’ ใช้แนวทางทั้ง 2 แบบมาผสมประสาน กล่าวคือ ใช้ทั้งการลุกขึ้นสู้ในเมือง และต่อด้วยลุกขึ้นสู้ในชนบท ดังนั้น การก่อสงครามจำเป็นต้องใช้ 2 แผนประกอบกันอย่างเป็นขั้นเป็นตอน

แผนแรก คือ ก่อการจลาจลขนาดใหญ่ขึ้นในเมืองก่อน เพื่อบังคับให้ ‘ฝ่ายรัฐ’ ใช้กำลัง และเกิด ‘การปราบอย่างรุนแรง’ ให้ได้

ถ้ามีประชาชนจำนวนหนึ่งล้มตาย (หรือเสียชีวิต) ‘ฝ่ายก่อการ’ ก็จะออกมาประณามว่า “ฝ่ายรัฐ คือ รัฐบาลทรราช ฆ่าประชาชน”

เนื่องจากคนที่มาร่วมชุมนุมส่วนใหญ่อยู่ต่างจังหวัด หากมีคนตายจำนวนมาก หรือแต่ละจังหวัดมีคนตายหรือมีคนบาดเจ็บ (ประมาณ 1 หรือ 2 คน) ก็จะใช้เงื่อนไขนี้ ‘ปลุกระดม’ เพื่อให้เกิดปรากฏการณ์ ‘แดงทั้งแผ่นดิน’

แผนที่สอง หลังจากรัฐใช้กำลังเข้าปราบและฆ่า ก็จะใช้แผน ‘แดงทั้งแผ่นดิน’ แบ่งกำลังเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งไปพยายามก่อการ ‘ลุกขึ้นสู้’ หรือก่อ ‘จรยุทธ์ในเมือง’ อีกส่วนหนึ่งก็นำทัพจากบรรดา ส.ส. ปลุกคนชนบทลุกขึ้นยึดพื้นที่ในจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศ

หลังจากนั้น ถ้าเกิด ‘การลุกขึ้นสู้ทั่วประเทศ’ (คือทั้งในเมือง และในชนบท หรืออย่างน้อยในภาคเหนือและภาคอีสาน) ‘ผู้นำทัพตัวจริง’ ก็จะปรากฏตัว หรือคุณทักษิณก็จะกลับเข้ามาในฐานะ ผู้นำการโค่นล้มทรราช ที่เข่นฆ่าประชาชน

นี่น่าจะคือ แผนคร่าวๆ ที่ผมคาดว่าน่าจะเกิดขึ้น

โชคดี...ที่แผนไม่เข้าเป้า...ดังที่คิดไว้

สาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก ‘การระดมประชาชน’ (ที่คาดไว้ว่าอย่างน้อยน่าจะเกิน 300,000 คน) ไม่เข้าเป้าเท่าที่ควร

และที่สำคัญ แม่ทัพฝ่ายแดงอยู่ต่างประเทศ จึงสั่งการรุกรบแบบคนใจร้อน คิดว่าอย่างไรก็ “ชนะแน่ๆ” จึงใช้การทหารนำการเมือง ผลลัพธ์ส่วนหนึ่งส่งให้การนำของฝ่ายแดงแตกเป็น ‘แดงสุดๆ’ กับ ‘แดงไม่สุดนัก’

แดงฝ่ายหลังไม่กล้าพอที่จะก่อจลาจลขนาดใหญ่ เช่น บุกบ้านเปรม เพราะกลัวว่า “ทำแล้ว” หากเกิดผิดพลาดก็จะเสียภาพทางการเมือง ภาครัฐไม่ใช้กำลังเข้าปราบ พวกตัวเองที่นำอยู่ต้องติดคุกแน่ จึงไม่กล้าบุกบ้านสี่เสาฯ แผนจึงเปลี่ยนไปเป็นการปิดกรุงเทพฯ บุกและโจมตีการประชุมอาเซียนแทน รวมทั้งมุ่งเป้าจู่โจมไปที่ตัวนายกฯ และบรรดารัฐมนตรี โดยหวังว่า ถ้าฝ่ายรัฐจะใช้กำลังเข้าปราบ หรือใช้กำลังสกัดกั้นอย่างหนัก ก็ต้องมีคนบาดเจ็บและล้มตาย

แต่แผน...ก็ผิดพลาดอีก เพราะฝ่ายรัฐไม่ใช้กำลังปราบ เหตุส่วนหนึ่งก็เนื่องมาจากความอ่อนแอของภาครัฐเอง

ในเวลาเดียวกัน ผมคิดว่า ภาครัฐบางส่วนน่าจะอ่าน ‘ความคิด’ หรือ ‘แผน’ ของคุณทักษิณออก (หรือน่าจะอ่านได้อย่างคร่าวๆ) และแผนบางส่วนก็น่าจะ “รั่ว”

ในช่วงที่ใช้กำลังเข้าปราบ ภาครัฐจึงพยายามอย่างสุดๆ ที่จะไม่ใช้ความรุนแรงเพราะกลัวว่า ถ้าปราบด้วยความรุนแรง ฝ่ายแดงจะใช้เป็นเงื่อนไขในการปลุกระดมครั้งใหม่ ก่อสถานการณ์แดงทั้งแผ่นดิน

นอกจากนี้ ฝ่ายภาครัฐส่วนใหญ่ยังมีความเชื่อร่วมกันว่า “ใครใช้ความรุนแรงก่อน น่าจะเสียฐานะทางการเมือง”

ประเด็นสำคัญ ฝ่ายเสื้อแดงนั้นถลำลึกมากจนเกินไป กองกำลังที่มีอยู่ก็คุมกันไม่ได้ ต่างฝ่ายก็หันไปใช้ความรุนแรง เพื่อหวังก่อให้เกิดการจลาจลขึ้นให้ได้

ถ้าไม่เกิดจลาจลขึ้น การปราบถึงขั้นนำทหารออกมา ‘ฆ่าประชาชนเสื้อแดงจำนวนหนึ่ง’ จะไม่เกิดตามมา

การใช้ความรุนแรงก่อนของฝ่ายแดงดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น...การปิดถนนทั่วกรุงเทพฯ การบุกเวทีการประชุมอาเซียน การพยายามฆ่านายกฯ การวางแผนฆ่าองคมนตรี การทุบตีรัฐมนตรี และอื่นๆ...กลับก่อสภาวะพลิกผันเกินคาด จนกลายเป็นพลังด้านกลับที่ทำให้ ‘ประชาชน’ และ ‘บรรดาสื่อส่วนใหญ่’ รับไม่ได้ และทนไม่ได้กับพฤติกรรมกร้าวร้าวรุนแรงข้างต้น ประชาชนเมืองกรุงบางส่วนที่ทนไม่ได้จึงออกมาต่อสู้กับฝ่ายเสื้อแดง กลายเป็นหอกที่ ‘หันกลับ’ ไปทิ่มแทงตนเอง

แผนทั้งหมดจึงล้มเหลว

พอเห็นแผนล้มเหลว...แผนแดงทั้งแผ่นดิน แผนก่อสงครามจรยุทธ์ในเมือง และแผนที่จะเคลื่อนกำลังประชาชนในชนบทออกมายึดพื้นที่ และยึดจังหวัดต่างๆ ก็พลอยพังไปด้วย

ประเทศไทยจึงรอดจาก ‘กลียุคครั้งประวัติศาสตร์’ แบบเฉียดฉิว

เพื่อนกล่าวว่า

“ผมฟังคุณยุควิเคราะห์แล้ว ผมก็โล่งอก ครั้งนี้ถือว่าโชดดี...รอดไปได้ น่าจะถือว่าประเทศไทยยังโชคดีนะ ดีใจจริงๆ...ที่การปราบปรามครั้งนี้ทำกันอย่างนุ่มนวล ไม่ใช้ความรุนแรงมากนักจนทำให้ฝ่ายสีแดงไม่สามารถสร้างเงื่อนไข ก่อสงครามประชาชน ได้”

ผมบอกเพื่อนว่า

“ผมเห็นด้วย ทั้งหมดคือ ‘ความโชคดี’ การเมืองไทย...ถ้าดูให้ดี เรื่องราวกบฏครั้งนี้ไม่ต่างจากละครน้ำเน่ามากนัก”

ฝ่าย ตัวร้าย ใจร้ายมาก และมากด้วยแผนร้าย ฝ่ายพระเอกมักไม่
ฉลาดนัก แต่รูปหล่อ และเชื่อในความดี

เรื่องราวละคร ก็เริ่มจากฝ่ายพระเอกถูกรังแกและทำร้าย ตัวพระเอกเองก็เกือบตายถึง 2 ครั้ง พระรองก็ถูกตีจนเกือบตาย ดังนั้นบรรดาพระรองอื่นๆ อย่างเช่น นายทหาร และคนดีอื่นๆ รวมทั้งสื่อและชาวบ้านทนไม่ได้ จึงออกมาช่วยฝ่ายพระเอก

แปลกแต่ก็จริง พระเอกซึ่งเป็นคนดีที่ไม่ฉลาดนัก กลับชนะคนชั่วที่ฉลาดเกินไปเสมอ

แผนร้ายอีกส่วนหนึ่ง เช่น แผนสังหารองคมนตรี และแผนสังหารคุณสนธิ ก็พลอยล้มเหลวไปด้วย

พอผมรู้ข่าวว่า คุณสนธิ ลิ้มทองกุล รอดตายราวปาฏิหาริย์ ผมได้บทสรุปในใจว่า

“ธรรมนั้น...ย่อมคุ้มครองคนดีเสมอ”

เพื่อนอีกคนโทร.มา ‘บ่น’ กับผมว่า

“ทุกวันนี้ มีแต่ ข่าวลือ มากเหลือเกิน จนทำให้มึนไปหมด...ไม่รู้ว่า อะไรจริง และไม่จริง”

ผมจึงบอกเขาสั้นๆ ว่า

“นี่คือ สภาวะ Chaos ของโลกแห่งข่าวสารและข้อมูล”

ดังนั้น ก่อนอื่น...อย่าหลงเชื่ออะไรทั้งนั้น ฟังข่าวด้วยใจที่สงบเย็น และหลังจากฟังแล้ว ก็ต้องฝึกวิเคราะห์ข่าว

อย่าคิดว่าบรรดาข่าวที่กล่าวอ้างว่าจริง คือ ‘ความจริง’

แม้ว่าจะวิเคราะห์ออกมาเป็นเรื่องเป็นราวอย่างเป็นระบบแล้ว ก็ยังไม่ได้ ‘มีค่า’ เท่ากับ ‘ความจริง’ เพราะเราต้องตระหนักรู้ถึง ‘ความจำกัดของตัวเราเอง’

นักวิเคราะห์ ไม่ว่าจะมีความสามารถแค่ไหน (รวมทั้งผมด้วย) ก็ทำได้เพียงแค่พยายามวิเคราะห์ให้ได้ใกล้กับ ‘ความจริง’ ที่สุดเท่านั้น แต่ก็ยังไม่ใช่ ‘ความจริง’ อยู่ดี

เวลาที่ต้องวิเคราะห์โลก และวิเคราะห์สังคมไทย เราจะต้องตระหนักรู้เสมอว่า “สังคมโลกกำลังเผชิญสภาวะข้อมูลที่มากมายจนล้นเกิน” และสิ่งสำคัญ “ข้อมูลจำนวนมากเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่มี มายาคติ ซ่อนอยู่”

สาเหตุที่ข้อมูลเต็มไปด้วยมายาคติเพราะระบบสังคมโลกและสังคมไทยกำลังก้าวอยู่ในยุค ‘วิกฤต’ หรือ ‘กลียุค’

ในช่วงประวัติศาสตร์เช่นนี้ จะมีการแตกขั้วแตกฝ่ายกันมาก จนบางครั้ง แตกเกินไปกว่า 2 ฝ่ายเท่านั้น

แม้ในแดง ก็ยังมีแดงจัด แดงไม่จัด

ในเหลือง ก็มีเหลืองจัด และเหลืองเทียม

วันนี้ แต่ละฝ่ายก็แตกกันเอง ‘ฝ่ายแดงจัด’ หันมาประณาม ‘ฝ่ายแดงไม่จัด’ ว่าคือ ผู้ทรยศและใจไม่ถึง หนีเอาตัวรอด และทอดทิ้งประชาชน

โลกที่วิกฤตและแตกแยกกันเช่นนี้ จึงเกิดการสร้างข่าว แต่งข่าว และปล่อยข่าว หรือ สร้างและขยายโลกแห่งข่าวลือขึ้น ซึ่งบรรดาข่าวลือส่วนใหญ่ แม้มีความจริงอยู่บ้าง แต่มักเป็น ‘จริงที่เกินจริง’ เป็นผลผลิตมาจากอารมณ์ และความเกลียดชัง

ในช่วงที่เกิดการปะทะกัน มีเพื่อนอีกคนโทรศัพท์มาบอกข่าวผมว่า

“ได้ยินมา ตอนที่ปะทะกัน ฝ่ายแดงตายไปแล้วเกือบ 100 คน”

ผมถามเพื่อนคนนี้ว่า

“แล้วศพหายไปไหน”

เพื่อนตอบ

“ฝ่ายทหารขนศพไปทิ้งหมด”

ผมฟังเสร็จก็บอกเขา

“อย่าเพิ่งหลงเชื่อว่า จริง”

ผมกล่าวกับเขาว่า เวลาเกิดจลาจล ถ้าคนตายเป็นร้อย คนบาดเจ็บต้องมีหลายพัน ถ้าจริงว่า “ตายนับร้อย” ก็ต้องมีคนบาดเจ็บหลายพันคน ผู้บาดเจ็บต้องอยู่เต็มโรงพยาบาลไปหมดซิ

ทำไมจึงมีผู้บาดเจ็บตามโรงพยาบาลต่างๆ เพียงร้อยกว่าคนเท่านั้น

และถ้าจริงว่าทหารไทยสามารถเก็บศพคนตายนับร้อยไปได้อย่างหมดจด เราก็ต้องยอมรับว่า “ทหารไทยยุคนี้สุดยอด...สุดเยี่ยมจริงๆ” เพราะสามารถสุดๆ ในการปิดหลักฐานได้อย่างสมบูรณ์แบบ จนบรรดาสื่อต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ โดยเฉพาะบรรดาช่างภาพที่มีอยู่จำนวนมากไม่สามารถถ่ายภาพมาให้เราเห็นได้ชัดๆ จะจะสักภาพหนึ่ง

ผมบอกเพื่อนคนนั้น

“เวลาเกิดสงคราม หรือเกิดจลาจล ปรากฏการณ์ที่เป็น ข้อเท็จ หรือ มายาคติ จะท่วมโลก รวมถึง บรรดาข่าวลือ จะลือกันจนมากกว่าข่าวจริง”

บางครั้ง ‘ความไม่จริง’ กลับมีอำนาจเหนือความจริง จนผู้คนมักหลงเชื่อความไม่จริงนี้ เพราะมีจำนวนมากกว่าข่าวจริง

สื่อจะกลายเป็นพลังที่มีอำนาจสูงมากในการสร้างมายาคติขึ้นมาได้


ที่สำคัญ สื่อจะสามารถสร้าง ผู้คน(ที่หลงเชื่อ) ให้กลายเป็น ปีศาจสงคราม สามารถสร้าง พระ ให้กลายเป็น มาร เพราะสื่อกลายเป็นพลังที่สามารถควบคุมและโปรแกรมจิตใจของผู้คนได้

ถ้าฟังสื่อด้านเดียว (หรือแหล่งเดียวมากๆ) สื่อดังกล่าวจะสามารถปลูกฝังความเชื่อ ซึ่งจริงบ้าง ไม่จริงบ้าง ใส่เข้าสู่จิตใต้สำนึกของผู้คนทุกวัน ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก...ซ้ำแล้ว และซ้ำอีก ตอกย้ำแล้ว ตอกย้ำอีก

นี่คือ พลังในการโฆษณาชวนเชื่อ ซึ่งสามารถเปลี่ยนคนดีๆ คนหนึ่งกลายเป็น ‘ปีศาจร้าย’ ได้

ไม่นานมานี้ มีหนังสือแปลที่น่าอ่านเล่มหนึ่งเรื่อง “สุดทางทุกข์” เล่าเรื่องชีวิตฝรั่งคนหนึ่ง ออกรบในสงครามเวียดนาม ฆ่าคนเวียดนาม เพราะคิดว่าคนเหล่านี้เป็นคอมมิวนิสต์ เป็นพวกชั่วร้ายที่ต้อง ‘ฆ่า’ ให้หมด

หลังสงคราม เขาได้เผชิญหน้ากับพระชาวเวียดนามรูปหนึ่ง เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่เขาหลงเชื่อทั้งหมด ล้วนแล้วแต่คือ ‘มายาคติ’ หรือ ‘อวิชชา’ ในที่สุดเขาตัดสินใจบวช

ช่วงที่ฝ่ายเหลืองชุมนุมกัน มีเพื่อนผมคนหนึ่ง หลังจากเข้าไปร่วมชุมนุม (ฝ่ายเหลือง)เป็นเวลานาน วันหนึ่งเพื่อนคนนี้ไปฝึกนั่งสมาธิ พอนั่งสมาธิได้สักพัก ความรู้สึกเกลียดซึ่งซ่อนอยู่ภายในก็พุ่งพล่านขึ้น จนควบคุมตัวเองไม่ได้

การนั่งสมาธิช่วยให้เขาตระหนักรู้ว่า เดี๋ยวนี้สภาพจิตเขาแย่มากๆ เขาคิดไม่ถึงเลยว่า ‘การเข้าร่วมชุมนุม’ จะทำให้จิตใจของเขาเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้

ผมปลอบเพื่อนว่า

“พลังสื่อยิ่งใหญ่มากๆ จนสามารถ เปลี่ยน หรือ โปรแกรมใจ คนได้ โปรแกรม ความเกลียดชัง จนถึงขนาดเกลียดได้อย่างมากๆ...จนสามารถฆ่าคนอื่นเพราะความเกลียดนี้ได้”

วิธีทางแก้คือ การฝึกสมาธิ เพราะสมาธิจะช่วยให้เราสร้างสติที่มั่นคงขึ้น รู้อารมณ์ ควบคุมอารมณ์ และปรับเปลี่ยนอารมณ์ของเราได้ด้วย รวมทั้งรู้ว่า จิตใต้สำนึกของเราในแต่ละช่วงเป็นเช่นไร

เมื่อเราตระหนักรู้ เราก็จะสร้างฐานอารมณ์และจิตใหม่ขึ้นได้ โดยใส่สิ่งที่งดงามเข้าไป พลังที่เลวร้ายเหล่านี้ก็จะลดทอนอำนาจลง

เมื่อ ‘พลังสื่อ’ มีอำนาจอย่างมากเช่นนี้ เป็นธรรมดาที่บรรดาสื่อต่างๆ ย่อมจะถูกลากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ ‘โลกแห่งสงคราม’ อย่างหลีกหนีไม่พ้น

สงครามในยุคปัจจุบันจึงกลายเป็นสงครามสื่อ และสื่อเองก็กลายเป็นศูนย์แห่งสงคราม

ในเมื่อสื่อตกหลงอยู่ในโลกแห่งสงคราม สื่อจะทำหน้าที่เป็นศูนย์ในการ สร้างมายาคติ และ ขยายมายาคติ ไม่มากก็น้อย ส่งผลทำให้ผู้คนแบ่งแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย และบางช่วงอาจจะออกมาทำสงคราม เข่นฆ่ากัน

นี่คือโลกในยุคข้อมูลข่าวสาร ที่มีการใช้ข่าวสารสร้างกรงที่ขังวิญญาณมนุษย์ (ให้เลือกข้าง เลือกฝ่าย และเชื่อแบบด้านเดียว) และบ่มเพาะความเกลียดชังขึ้นในจิตใต้สำนึกของผู้ฟัง

ในช่วงที่เหตุการณ์เริ่มขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ เพื่อนอีกคนหนึ่งได้โทรศัพท์มาถามผมว่า

“ผมไม่เคยคิดว่า คนไทยจะกลายเป็นคนบ้าคลั่ง พร้อมจะฆ่าคนไทยด้วยกันได้ แต่พอมาเห็นภาพคนเสื้อแดงทุบตีรถยนต์ท่านนายกรัฐมนตรี ทำเอาผมตกตะลึง เดี๋ยวนี้...คนไทยเปลี่ยนไปมากมายเช่นนี้ จริงหรือ?”

ผมอธิบายว่า

เราต้องเข้าใจ “ใจ” ของคนเสื้อแดงเช่นกัน เพราะคนไทยที่ออกมาอยู่ฝ่ายทักษิณ ส่วนใหญ่เป็นคนดีมากๆ บางคนกลายเป็นฝ่ายแดงเนื่องจากความเห็นใจ (คนอื่น) บ้างก็มีศรัทธาในตัวคุณทักษิณ คิดว่าท่านทำเพื่อบ้านเมือง นอกจากนี้ยังมีคนไทยอีกจำนวนไม่น้อย มักจะเห็นใจ ‘ฝ่ายแพ้’ หรือ ‘ฝ่ายถูกรังแก’

นี่คือ เงื่อนไขพื้นฐานของการก่อเกิด “พลังเสื้อแดง”

ต่อจากนั้น คนเหล่านี้เองจะฟังข่าว และข่าวลือ (ฝ่ายเดียว และด้านเดียว) ทุกวันจากการปลุกระดมวันแล้ววันเล่า ความเคียดแค้น ความเกลียดชังอย่างรุนแรงก็ย่อมเกิดขึ้น และฝังแน่นใน ‘ใจ’ เสื้อแดง

ปรากฏการณ์ ‘ความรุนแรง’ ที่คนเหล่านี้แสดงออก สะท้อนภาพการระบายออกถึงความเคียดแค้นที่ฝังอยู่ในใจ

ผมมักเตือนเพื่อนๆ เสมอว่า

เราต้องมองเขาอย่างมนุษย์ และอย่างเพื่อนร่วมโลกเช่นกัน อย่าไปคิดว่า ‘เขาคือศัตรู’ ที่พวกเราต้อง ‘ฆ่า’ หรือต้องทำลาย

ผมกล่าวเสริมกับเพื่อนที่โทร.มาว่า

“ก่อนอื่นเราต้องตระหนักถึง อันตรายของข่าวสารและข้อมูล จะเชื่อหรือคิดอะไร บอกว่า อะไรจริง ไม่จริง จำเป็นต้องคิดแล้ว คิดอีก...และคิดแล้ว คิดอีก”

เราต้องตระหนักรู้ตลอดเวลาว่า ข่าวสาร หรือ ข้อมูล เป็นสิ่งที่มีพลัง 2 ด้าน ทั้งด้านดี และด้านที่อันตรายอย่างยิ่ง

ยิ่งได้ยินบางคนยืนยันว่า “เห็นมากับตา”...ยิ่งอย่าเชื่อ

เพราะความจริงที่อ้างว่า “จริง” ล้วนมีความเท็จซ่อนอยู่ และในความเท็จก็ซ่อนความจริงไว้เช่นกัน

เวลาเกิดสงคราม หรือเกิดการเผชิญหน้ากัน คู่สงครามต่างจะใช้สื่อของฝ่ายตนช่วงชิงปลุกระดมพลังประชาชนให้เข้าข้างหรือเห็นด้วยกับฝ่ายตน สงครามสื่อจึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก รวมทั้งในสงครามแบบนี้จะมีการจัดตั้งผู้คนจำนวนหนึ่งขึ้นเพื่อทำหน้าที่ดังกล่าวโดยตรง คนเหล่านี้จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพข่าวสารสมัยใหม่ ทำหน้าที่แพร่และกระจายสื่อ กระจายความเท็จ และสร้างข่าวลือมากมายขึ้นมา จนยากจะบอกว่า “อะไร เป็น อะไร”

การสร้าง มายาภาพ หรือ มายาคติ ใช้การโฆษณาชวนเชื่อ เปลี่ยนพระเป็นมาร และเปลี่ยนผู้คนให้กลายเป็นปีศาจร้ายได้

นี่คือ อันตรายของ ‘โลกแห่งข่าวสารและข้อมูล’ (ยังมีต่อ)
กำลังโหลดความคิดเห็น