xs
xsm
sm
md
lg

โฆษก ปชป.วอน “เด็กแม้ว” กล่อมล็อบบี้ยิสต์หยุดให้ร้ายประเทศไทย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

น.พ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์
โฆษก ปชป.ยัน “นพ.พรหมินทร์” รู้เรื่อง “ทักษิณ” จ้างล็อบบี้ยิสต์ต่างชาติ ให้ร้ายประเทศไทย แต่ไม่ได้กล่าวหาว่าเป็นคนจ้างเอง วอนช่วยยุติการกระทำ เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย เผย ยินดีรับคำแนะนำที่สร้างสรรค์ แต่ไม่เอา “อดีตเลขาฯ แม้ว” เป็นแบบอย่าง ย้ำ การเมืองที่สร้างสรรค์คือพูดความจริงให้ครบ

ภายหลังจาก นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้แถลงข่าวเปิดโปงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ถูกพิพากษาคดีทุจริตและหนีโทษจำคุกอยู่ต่างประเทศ ได้ว่าจ้างล็อบบี้ยิสต์ต่างชาติ 3 บริษัท เพื่อทำลายชื่อเสียงประเทศไทย โดยการกล่าวหากระบวนการยุติธรรมไทย รวมทั้งมีการละเมิดสถาบันเบื้องสูง โดยมีบุคคล 3 คน ที่รู้เรื่องนี้ คือ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ อดีตที่ปรึกษา พ.ต.ท.ทักษิณ และ นายภูมิธรรม เวชยชัย อดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย ซึ่งเมื่อเวลา 13.30 น.วันนี้ (5 ม.ค.) ที่ห้องกำแพงเพชร 5 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เซ็นทรัลลาดพร้าว นพ.พรหมินทร์ ได้แถลงว่า ตนได้หารือกับ นายภูมิธรรม และนายพันศักดิ์ แล้ว ซึ่งทั้งหมดได้มอบหมายให้ตนมาเป็นตัวแทนในการชี้แจงทั้งหมด โดย นพ.พรหมินทร์ ได้อ่านคำแถลงทั้งหมด 5 ข้อ ดังนี้

ข้อ 1.พรรคประชาธิปัตย์ ควรมุ่งแก้ไขปัญหาของชาติ และความเดือดร้อนของประชาชนมากกว่ามุ่งกล่าวหา “แพะทางการเมือง” ด้วยการกล่าวร้ายว่า สาเหตุต่างๆ เกิดจาก พ.ต.ท.ทักษิณ หรือการล็อบบี้ของบริษัทใดๆ ในต่างประเทศ เพื่อโยนความผิดให้ผู้อื่นตามความถนัด ซึ่งไม่อาจจะเป็นข้ออ้างเพื่อเลี่ยงความรับผิดชอบในการแก้ปัญหาของรัฐบาล ซึ่งจากการที่พรรคประชาธิปัตย์ถนัดเรื่องการกล่าวหาแพะทางการเมืองแล้วโยนความผิดให้คนอื่นนั้น ตนเคยได้ฟ้องร้องพรรคประชาธิปัตย์ เป็นจำเลยที่ 1 หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นจำเลยที่ 2 ตลอดจนถึงเลขาธิการพรรคและโฆษกพรรค ซึ่งคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาตัดสินวันที่ 13 กุมภาพันธ์ นอกจากนี้ นายภูมิธรรม ก็เคยชนะคดีปฏิญญาฟินแลนด์มาแล้วด้วย

ข้อ 2.เหตุการณ์ต่างๆ ทางการเมืองของประเทศไทย ตั้งแต่การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ฉีกรัฐธรรมนูญ 2540 ต่อเนื่องจนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย บุกยึดทำเนียบรัฐบาลและสนามบินแห่งชาติสุวรรณภูมิ ล้วนเป็นข่าวที่ตื่นเต้น น่าสนใจ และกระทบต่อชาวต่างประเทศเป็นอันดับข่าวสำคัญต้นๆ ของโลก ซึ่งสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมั่นของประเทศด้วยตัวของเหตุการณ์เอง โดยที่ไม่มีบริษัทล็อบบี้ใดในโลกทำได้ นอกเสียจากการกระทำของคณะผู้ก่อการรัฐประหาร ผู้ก่อการยึดทำเนียบรัฐบาล และสนามบินสุวรรณภูมิ จึงเป็นหน้าที่สำคัญของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่จะต้องตอบคำถามผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ว่า จะมีการดำเนินการตามกฎหมายต่อการกระทำนั้นในวันที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ซึ่งสื่อต่างชาติคงจับตาไม่กะพริบกับการจัดการกับ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ นายประพันธ์ คูณมี นายสำราญ รอดเพชร อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ที่เป็นแกนนำ และผู้ร่วมปฏิบัติการคนสำคัญ

ข้อ 3.สื่อต่างประเทศยึดมั่นในเสรีภาพของสื่อมวลชน และหลักการประชาธิปไตย ที่เป็นส่วนหนึ่งของแบบอย่างสื่อมวลชนไทย จึงไม่มีใครไปกำหนด หรือบอกให้สื่อมวลชนที่มีมาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับและเชื่อถือในสากล

ข้อ 4.ข้าพเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับการจัดจ้างบริษัทต่างชาติ และไม่เชื่อว่า มีใครจ้างบริษัทเพื่อกระทำการตามที่ข้อกล่าวหาให้ร้าย ที่สำคัญ พรรคประชาธิปัตย์เองก็พร่ำกล่าวหาว่ารัฐบาลของ นายสมัคร สุนทรเวช และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ จึงทำให้ข้อกล่าวหาครั้งนี้ขัดแย้งกับข้อกล่าวหาเดิม เพราะคงไม่มีใครจัดจ้างคนมาทำลายรัฐบาลที่ตัวเองสนับสนุน และหากประโยคหลังถูกประโยคแรกก็ต้องผิด ซึ่งแสดงให้เห็นว่า โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ถนัดแต่การกล่าวร้าย จนลืมตรวจสอบตรรกะความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้หลังเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน และยุบพรรคไทยรักไทย พร้อมกับการตัดสิทธิ์คณะกรรมการบริหารพรรค 5 ปี ข้าพเจ้ามิได้เกี่ยวข้องหรือร่วมดำเนินกิจกรรมกับพรรคการเมือง หรือกลุ่มการเมืองใดๆ เลย

ข้อ 5.ที่ผ่านมา สังคมไทยมีความแตกแยก แตกสามัคคีเกิดขึ้น เนื่องจากการกล่าวหา และให้ร้ายผู้อื่นของคนบางกลุ่ม โดยอาศัยข้อเท็จจริง หรือความจริงบางส่วน ผสมความเท็จหรือนิทาน เผยแพร่ปลุกเร้าให้คนเกลียดชัง จนถึงการปลุกเร้าให้คนเกลียดชังและทำร้ายกัน ซึ่งในสถานการณ์วิกฤต และมีความแตกแยก คนในสังคมต้อง “คิดเชิงบวกก่อน” จึงให้ “คิดรักก่อน หลีกเลี่ยงการคิดชัง” “คิดสร้างสรรค์ก่อน หลีกเลี่ยงการคิดทำลายล้างกัน” ซึ่งรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคประชาธิปัตย์ มีหน้าที่ต้องนำคนไทยแก้ปัญหามากกว่าสร้างปัญหาเสียเอง และหาก นพ.บุรณัชย์ ยังไม่ถนัดทำงานด้านสร้างสรรค์ หรือไม่มีแบบอย่าง ตน และ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชาชน ในฐานะที่ได้รับการอบรมศึกษาในวิชาชีพแพทย์เหมือนกันยินดีเป็นผู้แนะนำ

นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า สำหรับตนคงจะไม่ดำเนินการฟ้องร้องพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากมีคดีเก่าที่เคยฟ้องร้องไว้อยู่แล้ว ซึ่งจะสามารถชี้ให้เห็นความจริงทุกอย่าง และตนคิดว่า การทำความเข้าใจเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศไทย คนทั่วโลกวิจารณ์กันระงม และออกมาเป็นชุดๆ จึงไม่จำเป็นต้องไปว่าจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์ใดๆ ซึ่งตนไม่เห็นมีสื่อมวลชนประเทศไหนแม้แต่ฉบับเดียวจะชื่นชมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

ผู้สื่อข่าวถามว่า ช่วงนี้สื่อต่างประเทศพาดพิงสถาบันเบื้องสูงประเทศไทยบ่อยครั้ง เป็นไปได้หรือไม่ที่จะสอดคล้องกับกรณีบริษัทล็อบบี้ยิสต์ นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า สถาบันหลักของชาติ คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ นั้น อยู่ในหัวใจของคนไทยทุกคน ซึ่งตนเชื่อว่าไม่มีใครกล้าฝืนความรู้สึกของคนไทย ข้อกล่าวหานั้นเป็นแบบฮาล์ฟทรูธ คือ พูดข้างบนนิดหนึ่งแล้วมาหยอดข้างล่างมาผูกกัน ซึ่งสังเกตได้จากการให้สัมภาษณ์ที่เป็นการทำลายคน

“ผมไม่ได้ติดต่อกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มาเกือบ 2 เดือนแล้วมั้ง เมื่อก่อนก็มีโอกาสพูดคุยถามไถ่กัน แต่ 2 เดือนที่ผ่านมา ไม่มีโอกาสพูดคุยถามไถ่ และยังไม่ได้อวยพรปีใหม่เลย แล้วท่านอยู่ที่ไหนผมยังไม่รู้เลย ซึ่งก็ไม่ทราบว่า ทำไมคนเหล่านั้นถึงเลือกที่จะกล่าวหาพวกผม หรืออาจจะเป็นเพราะเป็นพวกซ้ายเก่า จึงกล่าวหาเพื่อให้เรื่องดูน่าเชื่อถือ” นพ.พรหมินทร์ กล่าว

ด้าน นพ.บุรณัชย์ ได้แถลงตอบโต้ นพ.พรหมินทร์ ว่า สารสำคัญอยู่ที่ข้อเท็จจริงมากกว่า ว่า ทั้ง 3 ท่านรับทราบหรือไม่ ว่า เคยมี และยังมีการว่าจ้าง 3 บริษัทเดิมอยู่ หรือจ้างบริษัทใหม่หรือไม่เท่านั้น ตนเองไม่เคยกล่าวว่า 3 ท่าน เป็นผู้ว่าจ้างเอง ซึ่ง นพ.พรหมินทร์ ก็ไม่ปฏิเสธถึงการรับรู้แต่อย่างใด แต่ก็ยังหวังอยู่ว่า นพ.พรหมินทร์ จะช่วยยุติการดำเนินการดังกล่าวได้

ส่วนข้อแถลงของ นพ.พรหมินทร์ ข้อ 5.ในเรื่องความแตกแยกในสังคมนั้น นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมา ความแตกแยกในสังคมเป็นผลโดยตรงจากการใช้สื่อรัฐปลุกระดมโดยรัฐบาลชุดที่แล้ว แต่ที่พาดพิงว่า ตนเองไม่ถนัดการเมืองสร้างสรรค์หรือไม่มีแบบอย่าง และอาสาจะเป็นผู้แนะนำนั้น ตนก็ยินดีรับคำแนะนำ แต่คนอย่าง นพ.พรหมินทร์ ไม่ได้เป็นแบบอย่างทางการเมืองของตนเองจริงๆ และเห็นว่า การเมืองที่สร้างสรรค์ คือ การพูดความจริงให้ครบ แต่ตนยังมีความหวังอยู่ว่า การดำเนินการดังกล่าวจะได้ยุติลง เพื่อที่บ้านเมืองจะได้เดินหน้าในการฟื้นความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย เพื่อแก้วิกฤตเศรษฐกิจ และปัญหาของประชาชนได้ต่อไป
น.พ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช
กำลังโหลดความคิดเห็น