“พล.ต.จำลอง”ย้ำแนวทางการเมืองใหม่ ต้องเทิดทูนสถาบันกษัตริย์อย่างแท้จริง และต้องขจัดนักการเมืองโกง-แก่ เปิดทางคนรุ่นใหม่เข้าสู่การเมือง เตือน“สมชาย” เข้ากราบ “พล.อ.เปรม”แล้วต้องคิดให้ดี เชื่อ“ป๋า”ไม่ว่าตั้งหัวโจก นปก.เป็นโฆษก เพราะไม่เคยบอกว่าใครเลว แต่ความจำแม่น
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พลตรีจำลอง ศรีเมือง ปราศรัย
เมื่อเวลา 20.56 น. วันที่ 2 ต.ค.พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล โดยได้กล่าวถึงการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนในช่วงเช้าว่า ผู้สื่อข่าวได้ถามถึงผลประชุมเรื่องการเมืองใหม่เมื่อวันที่ 1 ต.ค. จึงขอนำผลการประชุมดังกล่าวมาทบทวนอีกครั้งว่า การเมืองใหม่นั้นจะผิดแผกไปจากการเมืองเก่าจริงๆ ข้อแรกเรื่อง จำนวน ส.ส. ส.ว. เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกามีประชากร 200 กว่าล้าน มี ส.ส. และ ส.ว.รวมกัน 500 กว่าคน เรามีประชากร 1 ใน 3 ของเขา คือมี 60 กว่าล้านคน แต่มี ส.ส.และ ส.ว.รวมกันถึง 630 คน และถ้าเพิ่มจำนวนขึ้นตามจำนวนประชากร ก็จะต้องขยายอาคารรัฐสภาอยู่เรื่อย สิ้นเปลืองเงินภาษีของประชาชน นอกจากนี้มีการวิจัยแล้วว่าการเพิ่มจำนวนสมาชิกรัฐสภา หาได้เพิ่มคุณภาพของสมาชิกรัฐสภาไม่ นอกจากต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม ดังนั้นการเมืองใหม่จะกำหนดจำนวน ส.ส.และ ส.ว.รวมกันไม่เกิน 400 หรือ 300 ซึ่งจะต้องหาข้อสรุปอีกที
นอกจากนี้ พล.ต.จำลองกล่าวว่า ต้องกำหนดสัดส่วนนักการเมืองหญิงชาย เนื่องจาก ตนมีประสบการณ์ตอนเป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร 6 ปี เมื่อเปรียบเทียบผู้บริหารชั้นรองๆ ลงมา ระหว่างชายหญิงแล้วพบว่าเมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ผู้หญิงเป็นผู้นำได้ดีกดว่าชาย เนื่องจากผู้ชายโกงมากกว่าผู้หญิง เพราะผู้หญิงใช้เงินไม่มากนอกจากใช้กับใบหน้าและนิ้วสิบนิ้ว แต่ผู้ชายมีบ้านเล็กบ้านน้อย บ้านประจำภาค บ้านต่างจังหวัด บ้านที่สวิตเซอร์แลนด์ เรื่องชู้สาว ผู้ชายเป็นมากกว่าผู้หญิง นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ชายเอาแต่เอะอะโวยวาย แต่ไม่เด็ดขาด ขณะที่ผู้หญิงแก้ปัญหาด้วยความนุ่มนวลแต่เด็ดขาด เพราะฉะนั้นตนจึงเป็นคนแรกที่แต่งตั้งข้าราชการระดับนายอำเภอคือผู้อำนวยการเขตเป็นผู้หญิงเป็นคนแรก
ในส่วนของ ส.ส.นั้น พล.ต.จำลองกล่าวว่า ข้อสรุปการเมืองใหม่ จะมี ส.ส. 2 แบบ คือ ส.ส.จากพื้นที่ และจากกลุ่มอาชีพ นอกจากนั้น กรณีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้เน้นตลอดว่าการเมืองใหม่ต้องเทิดทูนสถาบันกษัตริย์อย่างแท้จริง ตนก็ขอย้ำเช่นกัน เราต้องปะหน้าไว้เลยว่า การเมืองใหม่ของเราเป็นการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งต้องเทิดทูนปกป้องสถาบันกษัตริย์อย่างแท้จริง ต่างจากรัฐบาลชุดนี้และชุดที่แล้ว ที่มีแต่ชื่อ แต่ไม่ได้ปกป้องเทิดทูนสถาบันกษัตริย์อย่างจริงจัง มีแต่พวกเราพันธมิตรฯ คอยกระทุ้งแล้วหระทุ้งอีก
พล.ต.จำลองกล่าต่อว่า มีการเสนอในที่ประชุมว่า คนทั้งประเทศควรเลิกนายกโดยตรง แต่โดนคัดค้าน ในที่สุดก็ถอนออกไป เพราะถ้าเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีโดยตรง ฝ่ายที่ตั้งหน้าตั้งตาคอยบั่นทอนสถาบันกษัตริย์จะเอาไปอ้าง คนจะหลงเชื่อเขา ซึ่งเรายอมไม่ได้ เราจึงออกเสียงเป็นเสียงเดียวกันว่า นายกฯ หรือรัฐมนตรีนั้นจะเลือกมาจาก ส.ส.ส่วนนายกฯ ต้องมาจากการเลือกตั้งหรือเปล่าต้องไปกำหนดเอาเอง
ในเรื่องการหาเสียงเลือกตั้งนั้น การโฆษณาหาเสียงที่ผ่านมาคนรวยที่มีเงินมากจะได้เปรียบ เราน่าจะทำอย่างต่างประเทศ เขาไม่อนุญาตให้ทำเอง เขาจะพิมพ์ไว้ให้เลย ขนาดเท่ากัน วางไว้ตามจุดต่างๆ ส่วนการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ให้ยกเลิกใบเหลือง เหลือใบแดงอย่างเดียว เพราะใบเหลืองนั้นเปิดโอกาสให้คนที่เคยโกงมาแล้ว ลงเลือกตั้งใหม่ได้ แล้วเปลี่ยนวิธีโกงใหม่ไม่ให้จับได้ แบบนี้เราไม่เอา ใต้องให้ใบแดงไปเลย และเราไม่ต้องง้อผู้สมัคร
สำหรับการตัดสิทธิทางการเมืองของคนที่ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งเป็นเวลา 5 ปีนั้น ใช้เวลาแป๊บเดียวก็ผ่านไป 5 ปี ปีที่ 6 ก็กลับมาโกงใหม่ เพราะฉะนั้นควรจะตัดสิทธิตลอดชีวิต นอกจากนี้ควรกำหนดเวลาเกษียณอายุของนักการเมือง ไม่ใช่เป็นไปจนตาย จนมีแต่นักการเมืองหน้าเก่าๆ โดยเฉพาะนักการเมืองไทยเป็นแล้วหยั่งรากลึกเต็มไปด้วยวิชามารต่างๆ นานา คนใหม่ๆยากที่จะได้เข้าไป คนที่จะได้เข้าไปก็มักจะเป็นลูก เป็นเมีย หรือเป็นญาติกับหัวหน้าพรรค อย่าอ้างว่าคนแก่มีประสบการณ์ ดูอย่างที่สภา ได้คนแก่เงอะๆงะๆ มาเป็นประธานสภา เมื่อพิจารณาแล้วควรให้คนหน้าใหม่มาสู่การเมืองดีกว่าจะให้คนแก่มาเป็นจระเข้ขวางคลอง
พล.ต.จำลองกล่าวต่อว่า การทำการเมืองใหม่ของเราจะดำเนินไปเรื่อยๆ ส.ส.ร.3 ที่จะตั้ง สู้เราไมได้ เรากระตือรือร้นทั้งที่ไม่มีเงินเดือน 3 วันจะประชุมครั้งหนึ่ง เพราะต้องทำด้วยความรวดเร็ว เพื่อชาติบ้านเมือง
ต่อมา พล.ต.จำลอง กล่าวถึงกรณีนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าพบ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านพักสี่เสาเทเวศน์เมื่อเย็นวันที่ 1 ต.ค.ว่า หลังจากที่นายสมชายไปกราบ พล.อ.เปรมแล้ว กลับมีข่าวว่านายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตแกนนำ นปก.ที่เคยมาก่อจลาจลและเปิดเครื่องเสียงด่าทอ พล.อ.เปรมที่หน้าบ้านสี่เสาเป็นเวลา 6 ชั่วโมง เมื่อวันที่ 22 ก.ค.50 จะได้รับการแต่งตั้งเป็นโฆษกรัฐบาล จึงอยากเตือนนายสมชายว่าให้คิดให้ดี เพราะตนเคยทำงานกับ พล.อ.เปรมในฐานะเลขาธิการนายกรัฐมนตรีก่อน และรู้จัก พล.อ.เปรมดี
พล.ต.จำลองกล่าวต่อว่า หากนายสมชายตั้งนายณัฐวุฒิเป็นโฆษก พล.อ.เปรมคงจะไม่โทรศัพท์ไปต่อว่านายสมชายที่ตั้งคนที่เคยด่าท่านอย่างหยาบคายให้มีตำแหน่งรัฐบาล เพราะ พล.อ.เปรมไม่เคยต่อว่าใคร อย่างมากก็บ่นกับคนใกล้ชิด
“ตั้งแต่อยู่กับท่านมา ผมไม่เคยได้ยินว่าท่านบอกว่าใครเลวเลย อย่างมากก็บอกแค่ว่าแย่ แต่อยากบอกคุณสมชายว่า ผมรู้ดีว่าท่านจำแม่น ท่านไม่ลืม ใครก่อกรรมทำเข็ญไว้ แล้วมามีตำแหน่งในรัฐบาลที่มีนายกฯ ไปกราบท่าน บอกไว้ก่อนว่าคุณสมชายตัดสินใจพลาดอีกแล้ว”
พล.ต.จำลองได้เล่าย้อนไปเมื่อครั้ง พล.อ.เปรม จะจัดตั้งรัฐบาล (ปี 2523) ว่า ตอนนั้นตนได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ประสานงานกับพรรคการเมืองต่างๆ ที่จะเข้าร่วมรัฐบาล โดยได้ยึดเอาตามธรรมเนียมไทยที่ว่าคนที่มีอายุน้อยกว่าจะต้องไปหาคนที่มีอายุมากกว่า ดังนั้น พล.อ.เปรมจึงได้ไปพบ พล.อ.ประมาณ อดิเรกสาร(หัวหน้าพรรคชาติไทย) พล.ต.ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช (หัวหน้าพรรคกิจสังคม)เพื่อเชิญเข้าร่วมรัฐบาล แต่มีหัวหน้าพรรคการเมืองคนหนึ่งที่ปาเปราะและครองเสียงส่วนใหญ่ใน กทม.ขณะนั้น แต่อายุน้อยกว่า พล.อ.เปรม ตนจึงโทรไปคุยและบอกให้มาหา พล.อ.เปรมที่บ้านสี่เสา แต่หัวหน้าพรรคคนนั้นไม่ยอม อ้างว่าตนมี ส.ส.มากสุดใน กทม. ต้องให้ พล.อ.เปรมไปหา ซึ่งตนก็ไม่ยอมเช่นกัน เพราะคนที่อายุน้อยกว่าต้องไปหาคนที่อายุมากกว่า ซึ่งในที่สุด พล.อ.เปรมเกิดความรำคาญจึงขอคุยโทรศัพท์กับหัวหน้าพรรคคนนั้นเอง แต่ พล.อ.เปรมก็ไม่พูดอะไร นอกแต่ครับๆๆๆ ปล่อยให้ฝ่ายนั้นพูดข้างเดียว จนเวลาผ่านไป 15 นาที จึงวางสาย และ พล.อ.เปรมก็มาบอกผมกับตนว่า “ป๋านึกว่าจะสอนการเมืองผมแค่ 2 นาที แต่นี่เขาสอนถึง 15 นาที” ซึ่งเป็นการแค่บ่น ไมได้ต่อว่าอะไร
“กรณีที่คุณสมชายจะตั้งนายณัฐวุฒิ ที่ตอนนี้เขาลาออกจากรายการอะไรนะ ข้อเท็จวันนี้ แล้วบอกว่า จะไปเป็นโฆษก ขอบอกคุณสมชายว่า ป๋าไม่มีวันที่จะต่อว่าคุณสมชายหรอก แต่ป๋าจำแม่นว่าใครทำให้ท่านเจ็บช้ำน้ำใจ ขอให้คุณสมชายไปคิดเอาเอง”พล.ต.จำลองกล่าว