ผ่านมาหนึ่งปี ภาพการต่อสู้ใน “สงครามครั้งสุดท้าย”ของ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยังแจ่มชัดในความทรงจำ
เสมือนว่า เพิ่งผ่านมาเมื่อวันวานนี้เอง
จากเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว ที่กลุ่มพันธมิตรฯ ได้รวมพลังร่วมกันออกมาต่อสู้กับอำนาจรัฐ เพื่อเป้าหมายชำระล้างสิ่งสกปรกทางการเมือง
ขับไล่รัฐบาลนอมินี และขุดรากถอนโคนระบอบทักษิณ
พลังพันธมิตรฯ รวมตัวกันบนท้องถนน อันเริ่มจากถนนราชดำเนินก่อนจะเคลื่อนย้ายไปยังสะพานมัฆวานรังสรรค์ และปักหลักชุมนุมประท้วงอย่างยาวนาน ก่อนจะเคลื่อนพลเข้าทำเนียบรัฐบาล และเคลื่อนย้ายไปยังจุดต่างๆ ด้วยวิธีการต่อสู้แบบสันติ-อหิงสา
การต่อสู้ของพี่น้องพันธมิตรฯ ผ่านมาหนึ่งปี นับเวลาที่ปักหลักต่อสู้บนท้องถนนอันยาวนาน 193 วัน ก่อนจะสลายตัวไปเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2551 หลังคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคพลังประชาชน ชาติไทย และมัชฌิมาธิปไตย
อันเป็นเหตุทำให้รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นอมินีของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ต้องพ้นจากอำนาจ ในวิถีเดียวกันกับที่ก่อนหน้านั้น รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช หุ่นเชิดคนแรกก็ต้องล้มคว่ำไปด้วยคำตัดสินของศาลเดียวกัน
การล่มสลายของรัฐบาลหุ่นเชิดทั้งสอง ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลจากการออกมาชุมนุมเรียกร้องของกลุ่มพันธมิตรฯ
แน่นอน การต่อสู้ของผองชนพันธมิตรฯ เป็นการต่อสู้ที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองของโลกกับการชุมนุมอันยืดเยื้อยาวนานและเป็นการต่อสู้ด้วยสองมือเปล่า
วันนี้ สังคมชาวโลกได้ประจักษ์ชัดแล้วว่า การต่อสู้ของพันธมิตรฯ คือการต่อสู้อันทรงพลังและต้องจดจำไว้ว่านี่คือ
การปฏิวัติการเมืองด้วยสองมือเปล่าของประชาชนอย่างแท้จริง
ครบรอบหนึ่งปีของการต่อสู้ ”สงครามครั้งสุดท้าย” ของกลุ่มพันธมิตรฯ โดยในช่วง 24-25 พฤษภาคม 2552 จะเป็นวันประชุมใหญ่สมัชชาพันธมิตรฯ ทั่วประเทศ อันมีกิจกรรมการเมืองตลอดทั้งสองวัน
ทั้งการสัมมนาให้ความรู้ ติดอาวุธทางปัญญาให้ผองเพื่อนผู้มาร่วมงาน เปิดพื้นที่การเมืองให้ทุกคนที่มาร่วมงานมีสิทธิ์มีเสียงในการกำหนดความเป็นไปของบ้านเมือง
โดยเฉพาะไฮไลต์สำคัญที่คนทั่วประเทศไม่ใช่แค่นักการเมือง-พรรคการเมืองทั้งหลาย จับจ้องอย่างไม่กะพริบตากับท่าทีของพันธมิตรฯ ว่าจะมีฉันทามติในเรื่องการจัดตั้ง
“พรรคการเมือง”
งานรวมพลังประชาชนผู้รักประชาธิปไตยระหว่างวันที่ 24-25 พ.ค.52 นี้ จึงถือโอกาสเชิญชวนพี่น้องประชาชนผู้รักประชาธิปไตย พันธมิตรฯ ทั่วประเทศซึ่งเคยยืนหยัดร่วมต่อสู้การเมืองอย่างอดทน หรือแม้แต่ผู้ไม่เคยไปร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ เลยแม้แต่วันเดียว ก็สมควรถือโอกาสนี้มาเรียนรู้ประชาธิปไตยนอกห้องเรียนในงานครั้งนี้
อันรับประกันความผิดหวังได้ว่า ทุกคนจะกลับบ้านหลังจากเดินทางมาร่วมงานด้วยความรู้สึกว่า
“หนึ่งเสียงเล็กๆ ก็มีความหมายบนพื้นที่การเมืองภาคประชาชน”
สิ่งที่จะเกิดขึ้นในการจัดงานครั้งนี้ เราขอบอกไว้เลยว่าจะเป็นก้าวย่างสำคัญของชาวพันธมิตรฯ กับการต้องหาฉันทามติทางการเมืองกับพี่น้องประชาชนว่า จะให้แกนนำพันธมิตรฯ ทั้งหลาย โดยเฉพาะ 5 แกนนำ
“สนธิ ลิ้มทองกุล-พลตรีจำลอง ศรีเมือง-พิภพ ธงไชย-สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์-สมศักดิ์ โกศัยสุข”
เดินหน้าทำ “การเมืองใหม่” ให้เป็นรูปธรรมได้อย่างไร
วิเคราะห์กันว่า หากจะสานต่อเจตนารมณ์สร้างการเมืองใหม่ให้สัมฤทธิ์ผลได้ ก็หนีไม่พ้น การแปรรูปขบวนจากกลุ่มการเมืองภาคประชาชนเป็นพรรคการเมืองเท่านั้น
เพราะ ไม่มีการเมืองที่ดี ที่ได้มาเอง แต่หากอยากจะได้การเมืองที่ดี ก็ต้องทำเอง
ในยามนี้ก็เห็นชัดแล้วว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็ไม่ต่างจากรัฐบาลทักษิณเลยแม้แต่น้อย พฤติกรรมที่ผ่านมารัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ได้แสดงว่าจะเป็นความหวังในการเป็น “สะพาน” เชื่อมไปสู่การเมืองใหม่ ที่มุ่งทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาติ ด้วยความ
ซื่อสัตย์ เสียสละ และกล้าหาญ
แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์กลับทำให้เห็นว่า เข้ามาทำงานการเมืองเพื่อประโยชน์แก่พวกนักการเมืองเท่านั้น แม้ในขณะนี้ชาติบ้านเมืองประสบปัญหาหนักทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ที่รอให้รัฐบาลแก้ไขอย่างรีบด่วน แต่รัฐบาลก็ไม่ได้ใส่ใจ มุ่งแต่จะทำในสิ่งที่เห็นว่าเป็นการรักษาเสถียรภาพของรัฐบาลให้มั่นคงอยู่ในอำนาจต่อไปเท่านั้น
เช่น การยอมให้นักการเมืองออกมาเคลื่อนไหวกดดันสังคมให้ยอมรับแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อให้พวกนักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองพ้นผิด และช่วยให้ นช.ทักษิณหลุดจากคดีอาญา หรือต้องการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อเปิดช่องโหว่ให้นักการเมืองใช้อำนาจได้ตามอำเภอใจ และมีโอกาสโกงกินได้ง่ายขึ้นจากที่รัฐธรรมนูญปี 50 ได้เขียนปิดช่องทางสะดวกไม่ยอมให้เกิดการใช้อำนาจในทางทุจริตได้ง่าย
เราขอบอกว่า ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเหตุขึ้นมาก็เพราะรัฐบาลไปเปิดทางให้นักการเมืองฝ่ายที่ต้องการแก้รัฐธรรมนูญตั้งแต่แรก จนเกิดปัญหาบานปลาย กลายเป็นยิ่งถ่างความแตกแยกในประเทศออกไปอีก
ไม่ต่างจากการทุจริตในหลายโครงการที่มีมูลค่าการทุนด้วยงบประมาณมหาศาล ที่เป็นของพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งเริ่มส่งกลิ่นเหม็น ทั้งที่มีการติดตามตรวจสอบโดยสังคมอย่างละเอียด แทนที่นายกอภิสิทธิ์จะใช้ความกล้าหาญโยนโครงการที่มีปัญหาส่อว่าจะทุจริตทิ้งไป เช่น โครงการเช่ารถเมล์ 4 พันคัน
แต่นายกฯ อภิสิทธิ์ก็หาได้ใช้ความกล้าหาญตัดสินชี้ขาดให้ยกเลิกโครงการไปเสียเลย ทำได้แค่ส่งกลับไปทบทวนใหม่ และรอนำกลับเข้ามาขอให้ ครม.อนุมัติรอบใหม่เท่านั้น
ตลอดถึงปัญหาความมั่นคง ที่ฝ่ายความมั่นคงไม่ว่าจะเป็นทหาร ตำรวจ หรือข้าราชการพลเรือน ย่อหย่อนประสิทธิภาพ และยังมีแนวโน้มว่าเอาใจฝักใฝ่กับคนขายชาติที่ไร้แผ่นดินอยู่ตอนนี้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็ยังไม่มีการปรับเปลี่ยนใดๆ เลย
จนเป็นเหตุให้การประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน และประเทศคู่เจรจาแท้งไป เพราะจีนและญี่ปุ่น ไม่ยอมรับเทียบเชิญมาประชุมในรอบสอง ทั้งๆ ที่กำหนดจัดกันระหว่างกลางเดือนมิ.ย.ที่ภูเก็ตไว้แล้ว ทำให้ไทยพลาดโอกาสทองไปอย่างน่าเสียดาย เพราะหากมีการประชุมดังกล่าวขึ้น ประเทศไทยก็จะได้รับความเชื่อมั่นจากสายตานานาชาติ และมีโอกาสที่เศรษฐกิจจะฟื้นไข้เร็วขึ้น
ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ เป็นเพราะการเมืองเก่า ที่ควรจะต้องถูกชำระสะสางให้หมดไปจากประเทศนี้เสียที
ดังนั้น สภาพการเมืองน้ำเน่าในวันนี้ จึงเป็นตัวเร่งให้ผู้คนเรียกร้องหาพรรคการเมืองใหม่ และถือเป็นจังหวะเหมาะที่กลุ่มพันธมิตรฯ จะเสนอตัวเป็นทางเลือกใหม่ให้แก่สังคมในช่วงนี้
ความเคลื่อนไหวพันธมิตรฯ ตั้งพรรคการเมืองจึงถูกจับตาทุกย่างก้าว
แน่นอนว่า ความคิดและท่าทีการตั้งพรรคการเมืองของพันธมิตรฯ ถึงวันนี้ย่อมมีทั้งคนเห็นด้วย และไม่เห็นด้วย จนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง
โดยมีการมองไปไกลว่า มีการวางตัวให้แกนนำอย่างคุณสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นหัวหน้าพรรคไว้แล้ว แต่ความจริงแล้วทุกอย่างยังไม่ก่อตัวขึ้นเลย
ต้องขอย้ำว่า เสียงพี่น้องชาวพันธมิตรฯ จะตัดสินว่า พวกเขาต้องการมีพรรคการเมืองของตัวเองหรือไม่ ไม่ใช่แกนนำจะชี้นิ้วสั่งได้ ขึ้นอยู่กับเสียงของพี่น้องชาวพันธมิตรฯ ที่จะกำหนด
ดังนั้น ในเรื่องคุณสนธิจะเป็นหัวหน้าพรรคหรือไม่ ก็ยังไม่มีใครบอกได้เช่นกัน มีทั้งเสียงเรียกร้องอยากให้คุณสนธิเป็นหัวหน้าพรรค และเสียงอีกส่วนหนึ่งก็ไม่อยากให้คุณสนธิเล่นการเมือง อยากให้เป็นผู้นำการเมืองภาคประชาชน และคนทำสื่อดีกว่า ทั้งตัวคุณสนธิเองก็ยังไม่เคยแสดงท่าทีให้คาดเดาได้เลยว่า จะอาสารับตำแหน่งหัวหน้าพรรคหรือไม่
เรารู้แต่เพียงว่า คุณสนธิต้องการนำกลุ่มพันธมิตรฯไปบนเส้นทางทำงานเพื่อประเทศชาติอย่างสร้างสรรค์ คุณสนธิอยากเห็นสีเขียว ที่เป็นสีแห่งการเกิด การสร้างสรรค์ และความใสสะอาดเข้ามาร่วมอยู่ในสีเหลือง
สรุปว่า ทุกสรรพสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง พันธมิตรฯก็หลีกหนีกฎเกณฑ์นี้ไปไม่ได้ จากกลุ่มพลังการเมืองภาคประชาชน บัดนี้การเปลี่ยนแปลงของกลุ่มพันธมิตรฯ กำลังจะมาถึง
จะก้าวไปสู่พรรคการเมืองหรือไม่ หรือจะยังคงความเป็นพลังการเมืองภาคประชาชนต่อไปเช่นเดิม ย่อมขึ้นอยู่กับฉันทามติของเหล่าพี่น้องพันธมิตรที่จะไปชูมือในวันจันทร์ที่ 25 พ.ค.นี้