xs
xsm
sm
md
lg

รัฐบาลสมชายใกล้ถึงฆาต!

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

กฎแห่งกรรมยังคงทำหน้าที่อย่างเที่ยงตรง ยุติธรรม และเป็นผลจริงทุกเมื่อ ทุกกาล ไม่มีพรหม เทวดา มนุษย์ หรือผีเปรตใดจะผันแปรเปลี่ยนแปลงไปได้ และไม่มีใครสามารถหลีกลี้หนีกฎแห่งกรรมไปได้เลย ไม่ว่าจะมีอำนาจวาสนาสักเพียงไหน

ศาสดาทั้งหลายของโลก นักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายของโลก แม้กระทั่งคุณทักษิณ ชินวัตร ก็ตกอยู่ในกฎแห่งกรรมทั้งสิ้น

ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว เป็นสัจธรรม และเป็นกฎแห่งกรรมที่เที่ยงแท้

รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ตั้งมาได้แค่ 7 เดือนก็มีอันถึงฆาต และล้มครืนลงไปแล้ว ตัวนายสมัคร สุนทรเวช เองก็อยู่ในอาการทะร่อทะแร่เต็มทีเพราะยังไม่รู้ว่าจะฎีกาคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ได้หรือไม่ หากไม่ได้จะยอมเข้าไปนอนคุก รอขอพระราชทานอภัยโทษ หรือว่าจะเอาแบบอย่างนักการเมืองบางคนที่หลบหนีออกไปต่างประเทศ

นั่นก็เป็นวิบากของกรรมตามกฎแห่งกรรมที่ทำไว้ เพราะเมื่อหว่านเมล็ดพืชพันธุ์แห่งกรรมชนิดใดไว้ก็ย่อมได้รับผลแห่งกรรม

มาถึงรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ตอนแรกก็ทำท่าทำทีว่าจะซื้อใจประชาชนได้ ด้วยท่าทีที่อ่อนน้อมถ่อมตน และสมานฉันท์ ซึ่งสอดคล้องกับความปรารถนาในใจของทุกคนที่ต้องการให้บ้านเมืองร่มเย็นเป็นสุข โดยเฉพาะคำประกาศที่ว่าจะจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยิ่งชีวิต ทำให้ผู้คนฟังแล้วอิ่มอกอิ่มใจ

แต่ไม่ทันไร ธาตุแท้ของจริงก็เริ่มเผยให้เห็นจนเกิดความกังขาแก่ใจคน และทำลายล้างความประทับใจและความอิ่มอกอิ่มใจในตอนต้นไปจนหมดสิ้น

การตั้งคณะรัฐมนตรี แทนที่จะเอาคนดีมีฝีมือเข้ามาบริหารราชการบ้านเมือง กลับเอาแต่ผู้คนซึ่งสื่อมวลชนระบุตรงกันแทบจะทุกสำนักว่าเป็นคนจำพวก “มือไว ใจกล้า หน้าด้าน และกล้าเสี่ยงตะราง”

มิหนำซ้ำ จำนวนมากยังเป็นของชำรุดเก่าเก็บทางการเมือง หรือไม่ก็มีมลทินมัวหมอง ไม่ว่ามีประวัติฉ้อฉลทุจริตหรือมีปัญหาขาดคุณสมบัติ

และที่น่ารังเกียจที่สุดก็คือส่วนใหญ่เป็นพวกไม่มีฝีมือ ไม่มีน้ำยา และไม่เข้าท่าที่จะมาบริหารราชการแผ่นดินเลย

เป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่าส่วนประกอบของคณะรัฐมนตรีคือส่วนประกอบของโควตาและใบสั่งของมือที่มองไม่เห็น กลายเป็นรัฐบาลที่เป็นตัวแทนหรือเป็นโควตาหรือเป็นสุนัขรับใช้ของใครก็ไม่รู้

เมื่อไม่ใช่รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงเป็นที่ชิงชังรังเกียจ แม้ทำเนียบรัฐบาลก็เข้าไปทำงานไม่ได้ กลายเป็นรัฐบาลเร่ร่อนจรจัด และไปไหนมาไหนก็ถูกผู้คนขับไล่ราวกับสุนัขจรจัด

ภายในพรรคร่วมรัฐบาลเองก็แตกแยกกันเป็นเสี่ยงๆ บู๊ล้างผลาญประจานลากไส้กันไม่เว้นแต่ละวัน ทำให้ผู้คนได้รู้เช่นเห็นชาติของการเมืองเก่าที่เป็นการเมืองแบบน้ำเน่าโสโครก และเป็นพิษภัยกับบ้านเมืองอย่างชัดเจน

ผู้คนได้เห็นชัดเจนว่านักการเมืองน้ำเน่าเหล่านี้แท้จริงไม่ใช่คน แต่เป็นสัตว์เดรัจฉานจำพวกหนึ่งที่ยื้อแย่งตำแหน่งและผลประโยชน์กัน โดยไม่มีศักดิ์ ไม่มีศรี ไม่มีสัจจะ ไม่มีคุณธรรมจริยธรรมใดๆ ให้เห็นเลย

ด้วยเหตุนี้คนทั้งหลายจึงรังเกียจเดียดฉันท์และต้องการกำจัดการเมืองเก่าแบบน้ำเน่าให้หมดสิ้นแผ่นดินไทยไปเสียที ทำให้กระแสการเมืองใหม่ขยายวงและยกระดับสู่กระแสสูง

เมื่อเข้ามาเป็นรัฐบาลแล้ว แทนที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศชาติและประชาชน และเตรียมการรับมือกับวิกฤตใหญ่ของโลก ที่กำลังส่งผลกระทบอย่างรุนแรงและบ้าคลั่งต่อทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย กลับไม่รู้ร้อนรู้หนาว และไม่รู้เดียงสาใดๆ เพราะเอาคนที่เคยเป็นอาชญากรเศรษฐกิจเมื่อครั้งวิกฤตปี 2540 เข้ามาเป็นทีมเศรษฐกิจ จึงเกิดความสงสัยว่าคนเหล่านั้นจะเข้ามาปล้นชาติอีกครั้งหนึ่ง

ทั้งมาตรการ 10 ประการที่จะรับมือกับวิกฤตก็โหลยโท่ยหน่อมแน้ม เพราะไม่มีผลต่อการรับมือกับวิกฤตเลยแม้แต่น้อย

มีแต่เรื่องผลักดันนโยบายประชานิยมเพื่อเตรียมการเลือกตั้ง มีแต่เรื่องหลอกลวงคนมีเงินฝากให้เอาเงินไปซื้อกองทุนเพื่อเอาไปช้อนหุ้น ช่วยพวกนักการเมืองไม่ให้ขาดทุนจากวิกฤตที่เกิดขึ้น และมีแต่เรื่องผลักดันโครงการขนาดใหญ่ที่จะทำให้ชาติล่มจม โดยไม่นำพาต่อคำตรัสเตือนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเลย

ด้วยผลแห่งกรรมเหล่านี้ จึงทำให้รัฐบาลหมดความชอบธรรม หมดความเชื่อถือศรัทธา และถูกสายตาทุกผู้คนจับจ้องด้วยความหวาดระแวงในทุกเรื่องราว

ครั้นกระแสการเมืองใหม่ยกระดับขึ้นสู่กระแสสูง แทนที่จะโอนอ่อนผ่อนตามความปรารถนาของมหาชน ตั้งกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญจากคนที่เป็นกลางทางการเมืองตามข้อเสนอของ 24 อธิการบดี กลับฉกฉวยโอกาสขอแก้รัฐธรรมนูญตามความต้องการเดิม

คือนอกจากจะแก้วิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้ว ก็จะแก้ไขมาตราอื่นๆ ไปพร้อมกัน โดยเฉพาะบทมาตราที่ฟอกโกงเลือกตั้งหรือฟอกทุจริตเพื่อช่วยคนผิดให้รอดพ้นจากคดี รวมทั้งการยกเลิกคณะองคมนตรีดังที่ปรากฏในร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ได้ยื่นไว้แล้วนั้น

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงแทนที่จะผ่อนคลายวิกฤตทางการเมืองให้บรรเทาเบาบางลง กลับจะเร่งวิกฤตให้หนักหน่วงรุนแรง และนำไปสู่จุดแตกหักในเวลาอันไม่นานข้างหน้านี้

ดูการเตรียมกำลังของทั้งฟากฝ่ายการเมืองน้ำเน่าและการขยายตัวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแล้วยิ่งน่าห่วงใย เพราะขืนปล่อยไปเช่นนี้ประเทศไทยของเราคงเกิดสงครามกลางเมืองหรือสงครามประชาชนตามที่นายจักรภพ เพ็ญแข เคยแสดงความปรารถนาให้ปรากฏไว้แล้วก็ได้

ในขณะเดียวกัน การกระทำกรรมในการทุจริตเลือกตั้งของพรรคพลังประชาชน พรรคชาติไทย และพรรคมัชฌิมาธิปไตยก็มาถึงใกล้วาระสุดท้าย นั่นคือการยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ยุบพรรค และตัดสิทธิทางการเมืองแก่กรรมการบริหารพรรค

ศาลรัฐธรรมนูญคงใช้เวลาพิจารณาไม่นานนัก ดีไม่ดีอาจจะไม่ถึง 3 เดือน เพราะใช้ระบบไต่สวน ทั้งข้อเท็จจริงก็เป็นยุติเด็ดขาด โดยการวินิจฉัยของ กกต. แล้ว และถือเป็นที่สุด จึงไม่มีข้อเท็จจริงที่จะบิดผันเป็นอื่นต่อไปได้

โดยเฉพาะคดียุบพรรคพลังประชาชนนั้น หนักกว่าพรรคชาติไทยและพรรคมัชฌิมาธิปไตย เพราะศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายไว้เป็นที่ยุติสิ้นสุดแล้ว มีผลผูกพันและใช้ยันผู้เกี่ยวข้อง ดังนั้นจึงไม่มีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายใดเพิ่มเติมอีก

อัยการจะดึงเรื่องประการใดก็คงไม่เป็นผล มีแต่จะเกิดความเสียหายแก่อัยการสูงสุดเอง ยิ่งถ้ามีข้ออ้างว่าจะต้องสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมด้วยแล้ว จะยิ่งถูกโห่ฮา และคราวนี้แหละอาจถูกดำเนินคดีอาญาตกเป็นจำเลยเสียเองก็ได้!

ดูรูปการแล้วเห็นจะไม่เกิน 3 เดือนจากนี้ไป คดียุบพรรคคงจะแล้วเสร็จและด้วยข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่สิ้นสุดและผูกพันแล้ว กรณีจึงน่าจะมีการยุบพรรคและตัดสิทธิเลือกตั้งของกรรมการบริหารทั้งสามพรรค

ศาลรัฐธรรมนูญคงไม่ไว้หน้าตามคำโอ้อวดของคนบางคนที่โม้ต่อสื่อมวลชนก่อนที่จะตกเก้าอี้ว่ามีการเจรจากันแล้วว่าจะเอากันแค่ยุบพรรค จะไม่มีการตัดสิทธิทางการเมือง

นี่คือการดูหมิ่นศาลรัฐธรรมนูญว่าตกลงกันได้ล่วงหน้า ซึ่งเชื่อว่าจะไม่ใช่เช่นนั้นเป็นอันขาด เพราะศาลรัฐธรรมนูญย่อมทรงความยุติธรรมและย่อมต้องถือแบบอย่างคดีแบบเดียวกันนี้ที่เคยวินิจฉัยมาแล้ว

ดังนั้นในทันทีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคและเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง ก็จะทำให้นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งในทันที และเป็นผลให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่งตามไปด้วย

กรรมการบริหารพรรคของทั้งสามพรรคร่วม 70 คน และหลายคนเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็จะต้องพ้นจากตำแหน่งเช่นเดียวกัน และจะดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไปไม่ได้เป็นระยะเวลา 5 ปี หรือตามเวลาที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสิน

หากเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้น นักการเมืองน้ำเน่าที่เกี่ยวข้องกับการโกงเลือกตั้งก็จะถูกอำนาจแห่งความยุติธรรมกวาดล้างตกเวทีประวัติศาสตร์ไปอีกราว 70 คน รวมกับรุ่นแรก 111 คนแล้ว ก็จะเป็นจำนวนร่วม 200 คน

อาจมีการแก้เกมด้วยการยุบสภาก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัย เพราะบางทีเมื่อเห็นท่าไม่ดีก็อาจรีบชิงยุบสภาเพื่อเตรียมการเลือกตั้งใหม่ เพราะหากทอดเวลาช้าไว้อาจคาบเกี่ยวกับการเปิดประชุมสภาสมัยสามัญที่อาจมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจได้

ซึ่งมีความเสี่ยงที่การเมืองจะพลิกผันและเป็นผลให้พรรคประชาธิปัตย์เข้ามาช่วงชิงแย่งยึดอำนาจเป็นรัฐบาลต่อไปได้

ดูรูปการแล้วชะตากรรมของรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ จะสิ้นสุดลงโดยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ผสมกับการยุบสภาก่อนเวลาที่ศาลจะวินิจฉัยเสียเป็นแน่!

และถ้าหากเลือกตั้งใหม่ภายใต้องคาพยพที่สนับสนุนการโกงเลือกตั้งดังที่เป็นอยู่ บรรดาทายาทอสูรก็จะกลับเข้ามาอีก แล้วต้องขับไล่กันอีก กลายเป็นวงจรอุบาทว์ที่ทำลายชาติบ้านเมืองไม่มีที่สิ้นสุด

โอ้อนาถหนอประเทศไทย ช่างเป็นเวรเป็นกรรมอะไรเช่นนี้! แต่นี่ก็เป็นธรรมดาวิสัยโลก ยามใกล้จะสิ้นยุคถิ่นกาขาว หรือยุคกาอุบาทว์ที่เข้าครอบงำชาติไปสู่ยุคชาวศิวิไลซ์ ใช่ว่าจะมีการผลัดเปลี่ยนในฉับพลันทันที

ย่อมมีห้วงเวลาแห่งอัสดงของยุคถิ่นกาขาว อันเป็นการสิ้นสุดของยุคทุนนิยมสามานย์และย่อมมีห้วงเวลาแห่งรุ่งอรุณของยุคชาวศิวิไลซ์ อันเป็นการทอแสงเรืองรองเริ่มยุคใหม่

ถ้าเป็นเช่นนี้ รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ก็จะชะตาขาดในเวลาประมาณ 3 เดือนจากนี้ไป เว้นเสียแต่ว่ากระทำกรรมหนักขึ้นหรือมีกรรมหนักมากกว่านี้ แล้วเป็นเหตุให้ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดนายกรัฐมนตรีเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ซึ่งมีอยู่หลายเรื่อง อายุขัยก็อาจสั้นลงกว่านี้ก็ได้.

กำลังโหลดความคิดเห็น