ผู้จัดการออนไลน์ – ณัฐวุฒิ-จตุพร-นปก.2 โวยลั่นจอ รับไม่ได้พันธมิตรฯ ใต้ ไล่ “ชัย โมเช่” กับ “สมชาย” โยนข้อหา กบฏในราชอาณาจักร-อันธพาล เงียบไม่กล่าวถึงกรณีทั้งคู่มีคดีเป็นชนักติดหลังอื้อ ยกหางตัวเองคือ “ผู้รักความเป็นธรรม” อ้าง จม.ทางบ้านอัด ศาลรธน.อีก ขู่สภาฯ ไม่ผ่าน กม.ให้
วานนี้ (26 ก.ย.) รายการความจริงวันนี้ ที่ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที กรมประชาสัมพันธ์ ดำเนินรายการโดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตรองโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีนายก่อแก้ว พิกุลทอง หนึ่งในผู้บริหารสถานีโทรทัศน์พีทีวีและหนึ่งในแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ รุ่น 2 (นปก.2) เป็นแขกรับเชิญ ในรายการได้มีการกล่าวถึง กรณีที่วันพฤหัสบดีและศุกร์ที่ผ่านมา กลุ่มพันธมิตรภาคใต้ ได้ดำเนินการประท้วงกรณี นายชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎรเดินทางลงพื้นที่ภาคใต้ และกรณีที่วานนี้ ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตรภาคใต้ ประกาศว่าจะมีการต่อต้านการเดินทางลงพื้นที่ภาคใต้ในวันนี้ของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี
ทั้งนี้นายณัฐวุฒิได้กล่าวถึงข่าวที่ นายสุนทร รักษ์วงศ์ ผู้ประสานงานพันธมิตรฯ ภาคใต้ ระบุพันธมิตรฯ ภาคใต้จะมีการประสานงานเรื่องการมาลงเครื่องของนายกฯ และจะเตรียมพร้อมที่จะปิดสนามปิด 5 จุด ที่คาดว่า เครื่องบินของนายกฯจะลงจอด หรือถ้านายสมชายออกมาจากสนามบินได้ พันธมิตรฯ ก็จะเดินทางไปกดดันทุกที่แบบอารยะขัดขืนแต่จะไม่ก้าวร้าวรุนแรงว่าเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้
“ผมอยากจะตั้งคำถามอย่างนี้นะครับว่า กลุ่มคนที่ทำท่าทำทางผยองพองตัวว่าจะไปปิดสนามบินถึง 5 จังหวัด เพื่อป้องกันไม่ได้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ลงพื้นที่ได้ ถ้าออกจากสนามบินได้ก็จะตามกดดันอารยะขัดขืนนะครับ ... วันนี้คำว่าอารยะขัดขืนเนี่ยมันน่ารำคาญเต็มที มันเหมือนกับเป็นคาถาที่ให้ใครก็ได้ที่พูดคำนี้มันละเมิดกฎหมายได้ทุกฉบับทุกมาตราเพราะไอ้คำว่าอารยะขัดขืน ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่ เพราะอารยะขัดขืนมันใช้กับกระบวนการต่อสู้ด้วยสันติวิธี ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่การต่อสู้ในลักษณะ กบฏในราชอาณาจักร เช่นนี้” นายณัฐวุฒิกล่าว
จากนั้นนายจตุพร ได้กล่าวทวงบุญคุณคนใต้โดยอ้างถึงสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นคนเชียงใหม่เป็นทำให้ราคายางดีขึ้น และทำให้ชาวใต้มีอยู่มีกิน
“ควรแล้วหรือครับที่คนบ้านเรามีความรู้สึกชิงชังกับคนที่มาแก้ปัญหา ... ความชิงชังวันนี้ลามไปถึงนายสมัคร (สุนทรเวช) บอกว่าเป็นนอมินี มาวันนี้บอกว่านายสมชายเป็นแฟมิลี ใจที่ให้ความเป็นธรรมควรจะยึดถืออยู่” ส.ส.พลังประชาชนกล่าว พร้อมว่า ในวันนี้ชาวใต้ คงจะช่วยดูแล ช่วยเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้นายสมชายที่เป็นลูกหลานชาวนครศรีธรรมราช ไม่ให้ถูก “ขนมลา” ขนมหวานพื้นบ้านของทางภาคใต้ที่นายจตุพรอ้างว่าเป็นสิ่งที่ พธม.เตรียมไว้ขว้างปานายสมชายอีกด้วย
จากนั้นนายก่อแก้ว ได้พูดขึ้นบ้างว่า “ผมอยากถามเหมือนกันว่า กลุ่มที่เคลื่อนไหวในวันนี้หรือพรุ่งนี้ ในเมื่อไม่ต้อนรับประมุขฝ่ายรัฐสภา เมื่อไม่ต้อนรับประมุขฝ่ายบริหารแล้ว ถามว่าจะต้อนรับใคร หรือจะต้อนรับประมุขฝ่ายกบฏครับ คนนี้หรือเปล่าครับ”
ต่อมา นายณัฐวุฒิได้กล่าว พวกตนนั้นเป็นคนปักษ์ใต้นั้นเห็นว่าคนฝ่ายพันธมิตรฯ ทางใต้นั้นเป็นกลุ่มน้อยยิ่งกว่าน้อย พร้อมระบุว่าคนปักษ์ใต้ชอบคนใจนักเลง “ใจนักเลงก็คือว่า กล้าหาญ เปิดเผย ตรงไปตรงมา มีน้ำจิตน้ำใจ แต่ไม่มีใครต้อนรับอันธพาล อันธพาลหมายความว่า เกะกะ เกเร ไม่เคารพกฎหมาย พยายามใช้กฎหมู่เหนือกฎหมาย พยายามเอารัดเอาเปรียบผู้คน และสังคมอยู่ตลอดเวลา”
ขณะที่นายจตุพร ได้กล่าวชมตัวเองว่า พื้นฐานของพวกตนนั้นเป็น “ผู้รักความเป็นธรรม”
ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้ดำเนินรายการไม่ได้กล่าวเลยว่า นายชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภานั้นเป็นบุคคลด่างพร้อย โดยเป็นผู้ที่มีคดีติดตัวหลายคดี โดยคดีหนึ่งคือกรณีนายชัย ร่วมกับเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ออกโฉนดที่ดินเลขที่ 3466 เนื้อที่ 7 ไร่ 1 งาน 55.8 ตารางวา ทับที่ดินของการรถไฟฯ โดยผู้ว่าการรถไฟฯ ได้ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่การรถไฟฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และกรณี นางกรุณา ชิดชอบ (บุตรสะใภ้ นายชัย ชิดชอบ) ผู้ถือกรรมสิทธิ์โฉนดที่ดินเลขที่ 8564 เนื้อที่ 37 ไร่ 1 งาน 65 ตารางวา ซึ่งเป็นโฉนดทับที่ดินของการรถไฟฯ ซึ่งผู้ว่าการรถไฟฯ มีหน้าที่ปกป้องรักษาผลประโยชน์ของการรถไฟฯ แต่กลับเพิกเฉย มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 (จากสำเนาหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษ ที่ สร.ร.ฟ.ท.1559/2550) (อ่านข่าวฉบับเต็ม)
ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธที่จะกล่าวถึงความด่างพร้อย ความไม่ชอบธรรมและความไร้จริยธรรมของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ กรณีที่นายสมชายอยู่ในคณะรัฐมนตรีที่มีมติให้ นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศไปลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เป็นฝ่ายเดียว ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญตัดสินแล้วว่าเป็นการทำผิด มาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ยังไม่ได้กล่าวถึง คดีทุจริต-ประพฤติมิชอบและร่ำรวยผิดปกติของ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ภรรยานายสมชาย ที่หลายคดีกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาของ ป.ป.ช. ด้วย (อ่านเพิ่มเติม : จี้ป.ป.ช.ลุยคดี“เจ๊แดง”ร่ำรวยผิดปกติ-ซุกทรัพย์สิน)
อ้าง จม.ผู้ชม อัดตุลาการ
ต่อมานายณัฐวุฒิได้มีการนำจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมาอ่าน โดยอ้างว่าเป็นจดหมายจากผู้ชมทางบ้านซึ่งพยายามตั้งคำถามเกี่ยวกับความรับผิดชอบของตุลาการและสิทธิในการวิพากษ์วิจารณ์ตุลาการ โดยระบุว่าในจดหมาย ผู้ชมคนดังกล่าวเห็นว่า ถ้าสถาบันฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้ เหตุใดจึงวิพากษ์วิจารณ์ตุลาการไม่ได้
ด้านนายจตุพรกล่าวว่า ขณะนี้มีการเสนอกฎหมายฉบับหนึ่งเข้าสู่สภา โดยเป็นกฎหมายที่ ศาลรัฐธรรมนูญเสนอขึ้นมาคือ กฎหมายวิธีพิจารณาความของศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อไม่ให้มีการวิพากษ์วิจารณ์คำตัดสิน มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นการละเมิดอำนาจศาล ยกเว้นว่าจะวิพากษ์วิจารณ์ตามหลักวิชาการ โดย ส.ส.พลังประชาชนระบุว่าถ้าระบุเช่นนี้ ส.ส.พปช. คงให้ผ่านไม่ได้
“ผมเชื่อว่ามาตรานี้คงได้รับการแก้ไข เพราะถ้าไม่แก้ไขสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรส่วนใหญ่ก็คงไม่ยอมให้มีการผ่าน” นายจตุพรกล่าว พร้อมว่า หากให้มีการวิพากษ์วิจารณ์เชิงวิชาการเท่านั้น ชาวบ้านและคนไทยทั่วไปก็คงวิพากษ์วิจารณ์หรือแตะต้องศาลไม่ได้เลย และกรณีที่พวกตนวิพากษ์วิจารณ์นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ พวกตนก็คงต้องติดคุกอย่างแน่นอน
มากกว่านั้น ผู้ดำเนินรายการยังได้แสดงความเห็นด้วย การโทษรัฐธรรมนูญว่า กฎหมายรัฐธรรมนูญ 2550 ทำให้การแบ่งแยกอำนาจระหว่าง ฝ่ายบริหาร-นิติบัญญัติ-ตุลาการ นั้นมีความคลุมเครือ เนื่องจากเปิดช่องให้หน่วยงานต่างๆ สามารถเสนอกฎหมายขึ้นมาให้สภา พิจารณาได้ เช่น ศาล ป.ป.ช. สตง. เป็นต้น ส่งผลให้ไม่มีการแบ่งแยกการปกครองอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ทั้งนี้ทั้งนั้น นายจตุพร ในฐานะ ส.ส.พรรคพลังประชาชน กลับไม่มีการพูดถึงเลยว่า ปัจจุบันฝ่ายนิติบัญญัติถือว่านั้นไร้ความรับผิดชอบอย่างสิ้นเชิง โดยนับตั้งแต่มีสภาฯ หลังการเลือกตั้ง 23 ธ.ค. 2550 เป็นต้นมา สภาฯ ไม่ได้ให้ความสนใจที่จะผ่านกฎหมายใหม่อะไรออกมาเลย นอกจากความพยายามของ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ที่จะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อช่วยให้ พรรคตัวเองและพรรคร่วมรัฐบาลหลุดพ้นจากคดียุบพรรค และ พ.ต.ท.ทักษิณ และพรรคพวกหลุดพ้นจากคดีทุจริต-ประพฤติมิชอบ
ขณะเดียวกันก็ยังมีกรณีที่ เกิดเหตุ “สภาล่ม” 2 วันซ้อนคือ ในวันที่ 24 และ 25 กันยายนที่ผ่านมา เนื่องจาก ส.ส.เข้าประชุมสภาฯ ไม่ครบ โดยสาเหตุหลักเกิดขึ้นจากความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ภายในกลุ่มก๊วนต่างๆ ภายในพรรคพลังประชาชนจากกรณีการจัดสรรโควตาตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่