“พิภพ” ยันพันธมิตรฯ ตั้งเงื่อนล้ม “พลังแม้ว” ก่อนทำการเมืองใหม่ สมเหตุสมผลและไม่ตึงจนเกินไป เหตุเป็นพรรคทำผิดกฎหมาย-ขาดจริยธรรม แถมยังคละคลุ้งด้วยการเมืองเก่ ที่มีแต่การทุจริตคอร์รัปชัน ย้ำการเมืองใหม่ไม่ใช่ลัทธิ แต่เป็นการเมืองภาคประชาชน เพิ่มอำนาจตรวจสอบให้ ปชช.ฟ้องนักการเมืองโดยตรงได้
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายพิภพ ธงไชย ปราศรัย
วานนี้ (26 ก.ย.) เวลาประมาณ 21.10 น. นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวปราศรัยบนเวทีทำเนียบรัฐบาลว่า หลังจากที่เราให้บริการข่าวสารผ่านมือถือเพื่อช่วยเหลือเอเอสทีวี โดยคิดค่าบริการเดือนละ 200 บาทไปนั้น หลายคนอาจจะคิดว่าแพง เพราะข่าวทั่วไปคิดค่าบริการประมาณเดือนละ 20-40 บาทเท่านั้น ซึ่งเรื่องนี้อยากชี้แจงว่า ค่าข่าวเอสเอ็มเอสนั้นเดือนละ 29 บาท แต่อีก 171 บาท ถือว่าเป็นเงินที่เราต้องจ่ายเพื่อให้ดูทีวีที่มีข้อมูลใหม่ๆ เปิดหูเปิดตาเรากว้างขึ้น ถือว่าคุ้ม ซึ่งการที่เราเสียเพิ่ม 171 บาทนั้นถ้าเทียบกับเอเอสทีวีที่มีค่าใช้จ่ายเดือนละประมาณ 20 ล้าน หรือวันละเกือบล้านบาทนั้น ถือว่าคุ้ม นอกจากนี้ ฟรีทีวีทั้งหลาย ไม่มีการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างถึงลูกถึงคนอย่างเอเอสทีวี นอกจากนั้น เรายังมีส่วนในการช่วยชาติเพื่อเอาประเทศไทยของเรากลับคืนมาด้วย
นายพิภพ กล่าวว่า วันนี้มีกระบวนการตรวจสอบเรื่องการเมืองใหม่ โดยอธิการบดีสถาบันการศึกษา 24 สถาบัน ซึ่งเขาเองเห็นสอดคล้องกับเราว่า การเมืองเก่าไปไม่รอดต้องใช้การเมืองใหม่เท่านั้น ซึ่งเราภูมิใจถ้าเราได้จุดประกายเรื่องการเมืองใหม่ ซึ่งเรื่องนี้ มีการพูดมานานแล้ว แต่การพูดในสถานการณ์ที่ไม่สุกงอมก็เลยไม่เห็นผล แต่หลังจากแสดงให้เห็นแล้วว่าการเมืองเก่ายังไงก็ไปไม่รอด ก็เริ่มมีความสนใจมากขึ้น แต่หลายคนบอกว่า การเมืองใหม่ของเราตึงไปหรือไม่ โดยเฉพาะการที่เราตั้งเงื่อนไขว่าพรรคพลังประชาชนต้องออกไปจากการเป็นรัฐบาล ซึ่งเราต้องบอกว่าการเมืองใหม่ของเรา ไม่ตึงเลย เพราะโดยกฎหมาย และจริยธรรมแล้ว ประกอบกับ กกต. ลงความเห็นแล้วว่าพรรคพลังประชาชนทำผิดกฎหมายการเลือกตั้ง เห็นชอบให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณายุบพรรค ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้ ถ้าเกิดขึ้นในต่างประเทศ เขาเพียงแค่ถูกกล่าวหา ยังไม่สิ้นสุดกระบวนการตัดสิน ก็ต้องออกจากการเป็นรัฐบาลไปแล้ว แต่สำหรับการเมืองไทยนักการเมืองหน้าด้าน มาตรฐานจริยธรรมไม่มี อ้างแต่มาจากการเลือกตั้ง แต่ไม่ได้อ้างว่ามาจากการซื้อสิทธิขายเสียง รวมถึงพรรคร่วมรัฐบาลด้วย ดังนั้น การที่เราเสนอว่า พรรคพลังประชาชนจะต้องไม่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล จึงเป็นการเสนอที่สมเหตุสมผล
“เรื่องนี้นักวิชาการต้องเข้าใจ ซึ่งข้อเสนอการเมืองใหม่ที่มีเงื่อนไขว่า พรรคพลังประชาชนต้องออกไปนั้น สมเหตุสมผล เพราะพรรคพลังประชาชนไม่มีทางทำการเมืองใหม่ได้ เพราะพฤติกรรมแบบการเมืองเก่ายังมีอยู่ แล้วการเมืองภาคประชาชน จากการชุมนุมของเรา เติบโตมหาศาล ซึ่งการเมืองใหม่ไม่ใช่ลัทธิใหม่ แต่เป็นการแก้ไขการเมืองเก่าให้ดีขึ้น มิฉะนั้น เราจะเสียเวลาที่เราขุมนุมมากว่า 100 วัน ซึ่งการเมืองภาคประชาชนนั้นมีความสำคัญเพราะสามารถตรวจสอบการทำงานของการเมืองในสภาได้”
นายพิภพ กล่าวต่อว่า การเมืองภาคประชาชนนั้นมีความเป็นมา ซึ่งที่ผ่านมา เรารู้ว่านักการเมืองทุจริตคอร์รัปชันมายาวนาน แต่เราไม่สามารถยึดทรัพย์นักการเมืองที่คอร์รัปชั่นเหล่านี้ได้ ซึ่งการเมืองภาคประชาชนนั้น ขอยกตัวอย่างกรณีการทุจริตยาในกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งในขณะนั้น ตนทำงานอยู่ที่ ครป.(คณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย) มีกลุ่มแพทย์เอาเรื่องนี้มาให้เราตรวจสอบ แต่เราไม่ต้องการทำคนเดียว ก็เลยรวมรวมองค์กรพัฒนาเอกชนตั้งเป็น 20 องค์กรพัฒนาเอกชนตรวจสอบการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งหนึ่งในองค์กรเหล่านั้น มีนางรสนา โตสิตระกูล ส.ว.กรุงเทพฯ ร่วมอยู่ด้วย ซึ่งขณะนั้นนางรสนายังทำเรื่องสมุนไพรกับมูลนิธิเพื่อสุขภาพไทย แต่ ครป.ได้ขอให้มาช่วยตรวจสอบเรื่องนี้ และตั้งแต่นั้นก็ตรวจสอบมาโดยตลอด และสามารถอธิบายต่อสาธารณชนได้ จนสามารถเอารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณะสุขติดคุกได้ นี่คือ จุดเริ่มต้นของการเมืองภาคประชาชน ซึ่งถ้าได้คนดี ประชาชนก็จะสนับสนุนและไม่มีปัญหาที่จะสู้ เพราะบางครั้งการใช้แนวทางตามที่มีในรัฐธรรมนูญไม่สามารถแก้ไข ต่อให้ล่ารายชื่อเพื่อยื่นถอดถอน ก็ติดขัดกันไปหมดและไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้น การเมืองใหม่จึงระบุว่าประชาชนสามารถฟ้องศาลได้โดยตรง เพราะผ่านองค์กรของรัฐไม่สำเร็จ
เช่นเดียวกับกรณีการเอาการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งเราเองฟ้องศาลปกครองโดยตรง จนศาลตัดสินว่ามติ ครม.ที่จะแปรรูป กฟผ.นั้นไม่ถูกต้อง ซึ่งเรื่องนี้ แสดงให้เห็นว่าประชาชนสามารถยับยั้งเรื่องไม่ถูกต้องได้ เช่นเดียวกับกรณีของ ปตท.ถึงแม้จะถูกขายไปแล้วแต่ก็ต้องตีความว่าอะไรเป็นของแผ่นดิน เช่น ท่อ ที่เป็นเงินภาษีอากรของแผ่นดิน ดังนั้น การเมืองใหม่จึงระบุด้วยว่า คดีทุจริตคอร์รัปชันต้องไม่มีอายุความ ซึ่งถ้าสืบต่อได้และค้นพบหลักฐานเพิ่มเติมได้ สามารถฟ้องโดยตรงกับศาลได้เลย ซึ่งการเมืองใหม่ เราสามารถตรวจสอบได้เข้มข้นขึ้น แต่กระบวนการยุติธรรมต้องปรับปรุงเช่นกัน ตั้งแต่ ตำรวจ อัยการ ศาล นอกเหนือไปจากนั้นต้องสร้างประชาชนคนกล้าอย่างนางรสนาให้ขึ้นมามากๆ
“คนที่ต่อสู้เพื่อความถูกต้องมักจะถูกกระทำต่างๆ นานา ไม่ว่าข้าราชการจะไม่ให้ความร่วมมือหรือถึงขั้นถูกยิง เช่น นายเจริญ วัดอักษร ที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ หรือพระสุพจน์ สุวโจ ที่ช่วยชาวบ้านรักษาป่าที่ จ.เชียงใหม่ ถูกยิงมรณภาพบนกุฏิ ซึ่งการเมืองเก่าโหดร้ายมาก ดังนั้น ไม่แปลกใจที่แกนนำ ผู้ประสานงาน จึงถูกตั้งข้อหากบฏ ทั้งๆ ที่มากู้ชาติ ดังนั้น การเมืองใหม่ ต้องได้รับการคุ้มครองจากรัฐด้วย นอกจากนี้ การเมืองใหม่ต้องจัดการศึกษาใหม่ควบคู่ให้สอดคล้องกับความจริง ความงาม ความดีของสังคม เพื่อให้เด็กออกมาเป็นคนที่ตื่นตัวทางการเมือง จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของนักการเมือง ดังนั้น การเมืองใหม่ต้องปฏิรูปใหม่ทั้งหมด"นายพิภพกล่าว