“พิภพ” ตอบสื่อฝรั่ง “1 คน 1 เสียง” ใช้กับเมืองไทยไม่ได้ เหตุ ปชช.รู้ข้อมูลไม่เท่าเทียมกัน ขณะสื่อถูกครอบงำ ชี้การเมืองใหม่ต้องได้ตัวแทนกระจายตัวตามสาขาอาชีพ เพิ่มอำนาจประชาชนตรวจสอบ ยื่นถอดถอนง่าย-ฟ้องศาลได้โดยตรง ย้ำไม่ห่วงการเมืองใหม่เป็นหอกทิ่มแทงพันธมิตรฯ เพราะทำเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายพิภพ ธงไชย ปราศรัย
วันที่ 22 ก.ย.เวลาประมาณ 22.10 น. นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวปราศรัยบนเวทีหน้าทำเนียบรัฐบาลว่า วันนี้มีสื่อต่างประเทศมาสัมภาษณ์และตั้งคำถามกับเราว่า ทำไมเราถึงเชื่อเรื่องการเมืองใหม่ แล้วการเมืองใหม่ ไม่เชื่อระบบการลงคะแนนเสียงตามระบอบประชาธิปไตยแบบตะวันตก คือ 1 คน 1 เสียง จริงหรือไม่ ซึ่งคำถามนี้ เราต้องตอบให้ได้ ถ้าตอบไม่ได้เราก็ไม่หลุดพ้นการเมืองเก่า
“การที่บอกว่าเราควรจะไปลงคะแนนเสียงว่าเราจะเลือกใคร แล้วเราก็ควรยอมรับว่าเสียงส่วนใหญ่ที่เลือกใครมา ก็ต้องให้บริหารประเทศไป ผมก็ตอบเรื่องนี้ไปว่า ผมไม่เชื่อว่าคนลงคะแนนเสียง 1 เสียงเพื่อต้องการเลือกให้นักการเมืองเข้ามาทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งปัญหาที่ตามคือ ทำไมถึงเลือกคนที่จะมาทุจริตคอร์รัปชั่นซ้ำแล้วซ้ำอีก ซึ่งสาเหตุไม่ใช่เพราะโง่เขลา แต่เราเอาระบอบประชาธิปไตยแบบลงคะแนนเสียงมา เราไม่สามารถให้ข้อมูลกับคนที่จะลงคะแนนเสียงว่า คนที่เขาจะเลือกเป็นคนอย่างไร
ผมก็ยกตัวอย่างว่า ระหว่างนักข่าวฝรั่ง กับล่ามที่เป็นคนไทย ถ้าจะให้ผมเลือก 1 คนโดยไม่รู้ข้อมูลเลย ผมจะเลือกใคร ก็บอกว่าต้องดูรูปร่างเป็นอย่างไร อายุเท่าไหร่ แล้วถ้าผมชอบคนหน้าตาดีไหม และชอบฝรั่งด้วยแล้ว ผมก็ย่อมเลือกนักข่าวฝรั่ง ดังนั้น ผมถามหน่อยว่า การเลือกตั้งแบบตะวันตกที่เรารับเขามา มันขาดอะไรไปจึงทำให้คนลงคะแนนเสียงนั้น ลงผิดซ้ำซาก ซึ่งสิ่งที่ขาดไปนั้นก็คือ ขาดข้อมูลข่าวสาร การที่วิทยุ โทรทัศน์ อเมริกาเป็นอิสระ บอกได้ว่าใครมีเบื้องหลังอย่างไร ซึ่งเรื่องนี้สื่อจะคุ้ยออกมาหมด แต่สื่อบ้านเราเป็นระบบราชการ อำนาจการเมืองเข้ามาคุมหมด ดีที่ยังมีเอเอสทีวีที่ให้คนเห็นอีกด้านของการเมือง และพิสูจน์มาแล้วว่า คนดูฟรีทีวีทั่วไป จะมีความคิดอีกแบบไม่เห็นด้านหนึ่งของการเมือง ซึ่งต่างจากคนดูเอเอสทีวี ซึ่งผมไม่ได้หมายความว่า เอเอสทีวีพูดถูกหมดแล้วฟรีทีวีผิดหมด แต่ถ้าคนได้เปรียบเทียบดูเอเอสทีวีและทีวีการเมือง เขาคิดเป็นว่า ความผิดความถูกอยู่ตรงไหน ดังนั้น ไม่แปลกใจเลยที่คนดูเอเอสทีวี ความคิดทางการเมืองจะเปลี่ยนไปทันที”
ดังนั้น ความไม่สมประกอบของระบอบประชาธิปไตยของเรา คือ เรารับแต่รูปแบบการลงคะแนนเสียงมา แต่เราขาดการให้ข้อมูลคนที่จะลงคะแนนว่าจะเลือกใครไม่เลือกใคร นอกจากนี้ ระบบการลงคะแนนของเรากระจุกตัว ได้นักการเมืองด้วยระบบอุปถัมน์ ซึ่งการเมืองใหม่จะเกิดการกระจายตัวของคนที่เข้าสู่อำนาจทางการเมืองออกไป ว่าเลือกลงคะแนนตามพื้นที่แล้ว ให้อีกส่วนหนึ่งเลือกมาจากบุคคลในแต่ละสาขาอาชีพด้วย ส่วนจะเลือกกันเองหรือให้ประชาชนเลือกค่อนว่ากันอีกที แต่จะไม่ให้มีการแต่งตั้งแน่นอน
นายพิภพ กล่าวว่า วันนี้มีคนโทร.มาถามว่า พันธมิตรฯ ที่เคยทำหน้าที่ตรวจสอบซึ่งมีประสิทธิภาพในกว่า 100 วันที่ผ่านมา จนทำให้รัฐบาลไปไม่เป็น แต่เมื่อมาพูดถึงการเมืองใหม่น่าจะทำให้เรื่องการเมืองใหม่เป็นหอกมาทิ่มแทงพันธมิตรฯ เพราะฉะนั้นควรเอาเรื่องการเมืองใหม่ออกจากตัวไปเป็นสาธารณะเสีย แต่ตนบอกไปว่าเราไม่กลัวว่าสิ่งที่เราเสนอจะเป็นหอกมาทิ่มแทงเรา เพราะเป็นความจริงที่จะเปลี่ยนแปลงสังคม ซึ่งเราเห็นประเด็นนี้ แต่เราเอาออกจากตัวไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องเราเริ่มต้นบนเวทีนี้กับพี่น้อง แต่เราจะไม่ทำตัวเป็นเจ้าของ โดยยกออกไปให้สาธารณะชนตัดสิน
นายพิภพ กล่าวว่า หลังจากชี้แจงออกไป ผู้สื่อข่าวก็ยอมรับว่าการเมืองเก่ากระจุกร่วมกันทุจริตคอร์รัปชัน เขาก็ถามต่อว่าแล้วเราจะแก้ตรงนี้ยังไง เราก็บอกว่าการที่ ส.ส.มาจากหลายอาชีพ ก็ทำให้เกิดการกระจายตัว แต่เขาขออย่างเดียวว่าอย่าให้มีการแต่งตั้ง แต่ต้องบอกแนวทางว่าจะเลือกตั้งมาอย่างไร ก็เสนอให้แบ่งใหญ่ก่อน เช่น รับราชการ ไม่รับราชการ แล้วก็แยกลงไปว่า รับราชการหรือไม่รับราชการ ประกอบอาชีพอะไร ซึ่งเรื่องนี้ไม่ยุ่งยาก พอเริ่มต้นก็หายยุ่งยาก นอกจากนี้ เขายังยอมรับว่าเกิดการกระจายตัวจริง แต่เขาถามว่าแล้วจะระวังการซื้อสิทธิขายเสียงในสภาฯ ได้อย่างไร ตนก็บอกไปว่าไม่เป็นไร เพราะเวลามองการเมือง อย่ามองที่สภาอย่างเดียว เพราะเรากำลังเพิ่มอำนาจภาคประชาชนเพิ่มเข้ามาตรวจสอบด้วย ดังเช่นที่พันธมิตรทำอยู่ตอนนี้
นอกจากนี้ การเมืองใหม่ไม่ใช่การเข้าสู่ของนักการเมืองเพื่อแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชันเท่านั้น แต่ต้องแก้ไขความกลัวของประชานต่อผู้มีอำนาจและเงินด้วย ซึ่งการจะแก้ความกลัวนี้ได้ คือ ต้องให้รู้ความจริง ซึ่งเรากลัวเพราะเราคิดว่าเขามักจะเป็นคนดี คนมีอำนาจตำแหน่ง มียศมักจะเป็นคนดี ซึ่งการเมืองใหม่ต้องให้คนหลุดพ้นอำนาจนิยมด้วย ซึ่งต้องไปปฏิรูปสื่อ ให้สื่อเข้าถึงความจริงแก่ประชาชน เพราะถ้าเราไม่เข้าถึงความจริง เราก็จะหลงแต่รูปแบบ ซึ่งปัจจุบัน เราหลงรูปแบบของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ที่เป็นนายกฯ เราคิดว่าเขาสุภาพ นิ่มนวล เราน่าจะเจรจากับเขา แต่เราลืมไปว่า เขากำลังเดินเกมการเมืองเพื่อให้เกิดการเมืองเก่าที่มีแต่ทุจริตและที่สำคัญท่าที่สุภาพ กำลังเดินไปสู่การปกป้องทักษิณ ซึ่งเราไม่ได้หมายความว่า ต้องเอาความก้าวราวเป็นตัวนำ สุภาพได้แต้ต้องสุภาพตามความจริง ความดีงาน ตามหลักศาสนาทุกศาสนา ที่สอนความอ่อนน้อมถ่อมตนต้องอยู่บนหลักธรรมะ ซึ่งเรื่องนี้เราต้องต่อสู้ด้วย เพราะจะเกิดการเปรียบเทียบระหว่างนายสมัคร สุนทรเวช ทั้งๆ ที่ซ่อนความก้าวร้าวไว้ทั้งสองคน ซึ่งสังคมไทยต้องหลุดจากมายาคติของความสุภาพ ไปสู่ความจริงให้ได้
“อย่างไรก็ตาม ผมบอกต่อไปว่า การเมืองใหม่ที่มาจากหลายสาขาอาชีพ จะแก้ไขการกระจายตัว แต่ปัญหาเรื่องคุมประพฤติทำได้ไม่เต็มที่ แต่อย่างน้อยเชื่อว่าคนที่มจากหลายสาขาอาชีพ ต้องรับผิดชอบอาชีพตัวเองว่าไม่กระทบกระเทือน ทำให้เกิดความสมดุล ไม่ใช่กินร่วมกันโกงร่วมกัน โดยไม่สนใจประชาชน ซึ่งอาจจะมีนักการเมืองเก่าเข้ามา แต่ประเด้นสำคัญคือ อย่ามองการเมืองในระบบรัฐสภา ต้องมองการเมืองภาคประชาชนด้วย อย่างเช่นที่เราทำอยู่เวลานี้ที่เราตื่นตัวทางการเมืองและยืนอยู่บนสิทธิเสรีภาพของการเมือง
ดังนั้น เวลาดูการเมืองอย่าดูด้านเดียว ขณะเดียวกัน เราก็ส่งเสริมพลังทางการเมืองของประชาชน ซึ่งเราเสนอไปด้วยว่า ถ้าเราเลือกเขามาแล้ว ถ้าพบว่าไม่ดี เราสามารถลงคะแนนเสียงถอดเขากลับออกไปได้ และถ้าเราอาศัยองค์กรอิสระในการเข้าไปตรวจสอบนักการเมืองไม่ได้ เราเสนอว่าให้ประชาชนฟ้องศาลโดยตรง ซึ่งจะสอดคล้องกับตุลาการภิวัฒน์ ที่เพิ่มอำนาจการเมืองภาคประชาชนเข้าไป นอกจากนี้ เรายังเสนอว่า คดีทุจริต ต้องไม่มีอายุความ ฟ้องได้ตลอดจนกว่าจะสิ้นชีวิต และเมื่อตายไปแล้ว หากสืบได้ว่ามรดกนั้นมาจากเงินการทุรจิตคอร์รัปชันของแผ่นดิน ก็สามารถเรียกคืนได้
การเมืองใหม่ครั้งนี้ ไม่ใช่ปฏิรูปเฉพาะภาคในสภาเท่านั้น แต่จะเพิ่มพลังการมีส่วนร่วมของประชาชนเข้ามามากขึ้น ขณะเดียวกัน ยังผสมผสานเปิดพื้นที่ในสภามากขึ้น ให้เกิดการคานกัน ตกลงกัน แล้วให้ประชาชนตรวจสอบได้มากขึ้นและตรวจสอบได้ตลอดชีวิตของนักการเมือง และนี่คือการเมืองใหม่ ที่ต้องเพิ่มพลังของประชาชนให้มีความหมายทางกฎหมายและการเมืองมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเล่นการเมืองในสภา เราอยู่ตรงนี้ ไม่ได้ต้องการอะไร นอกจากเอาประเทศไทยคืนมาจากนักการเมืองชั่วๆ เท่านั้นเอง” นายพิภพกล่าว