“พิภพ” ชี้มาดนุ่ม “สมชาย” ไม่ช่วยอะไร ตราบที่ยังทำงานเพื่อปกป้องพี่เมียตลอด ย้ำพันธมิตรฯ สู้ต่อจนกว่า “พลังแม้ว” ออกไปทั้งก๊วน เพื่อเปิดทางให้การเมืองใหม่ เผยเตรียมสัมมนาวงเล็กอาทิตย์นี้ ระดมแนวคิดเบื้องต้น ก่อนขยายไปสู่ทุกสาขาอาชีพ ระบุสาระการเมืองใหม่มีใน รธน.40 และ 50 อยู่แล้ว แต่นักการเมืองเก่าน้ำเน่าไม่สนใจ ย้ำต้องรื้อวิธีการเข้าสู่อำนาจ กรองนักการเมืองเลวออกไป
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายพิภพ ธงไชย ปราศรัย
เมื่อเวลา 22.10 น.วันที่ 18 ก.ย. นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาลว่า ธงในการชุมนุมของพันธมิตรฯ นั้นไม่เคยเปลี่ยน นั่นคือการต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 และต่อต้านการครองอำนาจของพรรคพลังประชาชน ดังนั้น แม้ว่านายสมัคร สุนทรเวช จะออกไป แต่เมื่อนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เข้ามาเป็นนายกฯ แทน เราก็ยังต่อต้านต่อไป
นายพิภพ กล่าวต่อว่า แม้ว่านายสมชายจะมีท่าทางสุภาพก็ตาม แต่ในอดีตที่ผ่านมาก็ได้เคลื่อนไหวเพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาตลอด ตั้งแต่เกิดคดีซุกหุ้นภาคแรก เพราะฉะนั้นพวกเราจึงท่องคาถาว่า ตราบใดที่พรรคพลังประชาชนยังอยู่ การเมืองน้ำเน่าก็จะยังอยู่เหมือนเดิม แล้วก็ร่วมมือกับอีก 5 พรรคน้ำเน่า ถกเถียงกันเรื่องตำแหน่งที่จะเข้ามาทุจริตโกงกิน โดยไม่ได้สนใจปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
นายพิภพได้กล่าวถึงสาเหตุที่พี่น้องประชาชนมาร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ มากขึ้นในช่วงนี้ว่า เป็นเพราะต้องการจะมาฟังว่าพรรคพลังประชาชนจะส่งใครขึ้นเป็นนายกฯ และมาฟังคำตัดสินของศาลในคดีที่ดินรัชดาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร เพียงแต่ศาลให้ออกหมายจับจำเลยก่อน แล้วนัดมาฟังคำพิพากษาในวันที่ 21 ต.ค. ซึ่งพวกเราก็รอได้ นอกจากนี้เรามาเพราะมีข่าวว่า นปก.จะลุยพวกเราอีก พี่น้องจึงมา เพื่อป้องกันตัวเองและแกนนำ เพื่อที่จะทำการเมืองใหม่ต่อไป
นายพิภพ กล่าวต่อว่า วันนี้แกนนำพันธมิตรฯ ทั้งรุ่น 1 และรุ่น 2 รวมทั้งผู้ประสานงาน ได้คุยกัน และตกลงกันว่า จะจัดสัมนาเล็กๆ ในวันอาทิตย์นี้ เพื่อระดมความคิดเรื่องการเมืองใหม่ หลังจากที่การเมืองใหม่กลายเป็นคำที่ติดตลาด ซึ่งมีคนถามกันมากว่าจะทำได้อย่างไร ก็ขอตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า พรรคพลังประชาชนต้องออกไป เพราะพรรคพลังประชาชนกำลังเอาพรรคการเมืองอื่นมาทำการเมืองน้ำเน่าอยู่ทุกวันนี้
“ต้องบอกไปยังคุณสมชายว่า ท่าทีที่สุภาพเรียบร้อยนั้นไม่ได้ช่วยอะไร เพราะมันอยู่ที่เนื้อแท้ ที่ท่านยังเป็นคนของพรรคพลังประชาชนอยู่ ท่านยังเป็นสามีของน้องสาวคุณทักษิณอยู่ ท่านยังปกป้องไม่ให้ พ.ต.ท.ทักษิณเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างเต็มที่ ท่านใช้ท่าทางที่สุภาพเรียบร้อยไม่พอ เพราะพฤติกรรมของท่านในอดีต และในฐานะเครือญาติ รวมทั้งท่านไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์ว่าทักษิณมีผลประโยชน์ทับซ้อนอะไรบ้าง และภรรยาของท่านยังได้รับประโยชน์ทับซ้อนนั้นด้วย
บอกหน่อยว่า ครอบครัวท่านได้ประโยชน์ทางการเมืองจากการดำเนินการของ พ.ต.ท.ทักษิณพี่เมียของท่าน ใช่หรือไม่”
นายพิภพ กล่าวย้ำว่า พันธมิตรฯ ยอมไม่ได้ ตราบใดที่พรรคพลังประชาชนยังเป็นรัฐบาลอยู่ แม่ไม่ใช่นายสมชาย จะเป็นอีก 2 ส.เราก็ไม่ยอม ที่เราดื้อนั้นดื้ออย่างเป็นเหตุเป็นผล ดื้อด้วยความชอบธรรม เพราะพวกคุณทำการเมืองน้ำเน่ามานานเกินไปจนเราทนไม่ไหวแล้ว และอยากบอกยังนักวิชาการ นักธุรกิจว่าเศรษฐกิจที่มันตกต่ำลงลงทั้งหมดนั้นมาจาก การเมืองมันเน่า การเมืองที่ทุจริต
“เราจะคุยกันวันอาทิตย์นี้ในวงเล็กๆ ก่อน หลังจากวงเล็กแล้วเราจะทำวงใหญ่ในกลุ่มสาขาอาชีพ ซึ่งตอนนี้สาขาอาชีพไม่ต้องรอ ให้กลุ่มสาขาอาชีพจินตนาการไว้ได้เลยว่าการเมืองใหม่ในความคิดของท่านจะเป็นอย่างไร ซึ่งเราชื่อว่าเราจะทำสำเร็จ เมื่อมองจากกองทัพพันธมิตรฯ ที่มีอยู่”
นายพิภพ กล่าวต่อว่า กระแสการเมืองใหม่ติดเร็ว เพราะอยู่ในสถานการณ์ที่วิกฤติ วันนี้ แม้แต่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตผู้นำการเมืองเกาน้ำเน่า ก็ยังออกมาพูดว่า ต้องการเมืองใหม่เท่านั้นที่เป็นทางออก รวมทั้งคนอื่นๆ แม้แต่ ผบ.ทบ. นายกสมาคมหอการค้า ก็พูดเรื่องการเมืองใหม่ ดังนั้นการเมืองใหม่จึงไม่ใช่ลัทธิอย่างที่นายสมัครกล่าวหา แต่มันมาจากฐานการเมืองภาคประชาชนที่ทำกันมาตั้งแต่ปี 2522 ซึ่งตอนนั้นพี่น้องอาจจะยังไมได้สนใจ
นายพิภพ กล่าวต่อว่า โดยส่วนตัวตนไม่ได้สนใจการเมืองในระบบรัฐสภา และได้ออกมาขับเคลื่อนการเมืองภาคประชาชนตั้งแต่ปี 2516 และมาขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรมอีกครั้งในปี 2522 ด้วยการร่วมตั้งมูลนิธิสุขภาพไทย กับนางรสนา โตสิตระกูล ร่วมกับ นพ.ประเวศ วะสี ทำมูลนิธิหมอชาวบ้าน เพื่อสอนให้ชาวบ้านรักษาตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งพาหมอ ได้เคลื่อนไหวเรื่องสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากโรงงานอุตสาหกรรมของนักลงทุนต่างชาติที่ร่วมกับนักการเมืองเก่านำอุตสาหกรรมที่ก่อมลพิษเข้ามา นอกจากนี้ได้ร่วมก่อตั้งมูลนิธิโกมลคีมทองเพื่อปลูกฝังอุดมคติการรับใช้สังคมให้กับคนหนุ่มสาว เพราะเห็นว่าถ้าคนหนุ่มสาวไม่มีอุดมคติบ้านเมืองจะไปไม่รอด
นายพิภพ กล่าวต่อว่า เนื้อหาสาระของการเมืองใหม่นั้น ความจริงมีอยู่ในรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 อยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่นักการเมืองไม่ทำตาม แม้ว่าภาคประชาชนจะตื่นตัวทั้งในเรื่องสิทธิชุมชน รวมตัวต่อต้านการเมืองน้ำเน่า แต่ที่มาของคนที่เข้าสู่อำนาจนั้น มาจากการซื้อเสียงแบบเก่า เนื้อหาสาระที่กำหนดไว้ในหมวดต่างๆ จึงไม่มีผลอะไรเลย
นายพิภพ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาตนเคยต่อสู้เรื่องการศึกษา จนได้คำว่าการศึกษาทางเลือก ต่อสู้เรื่องสิทธิชุมชน จนชุมชนมีสิทธิที่จะเรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์ชุมชนของตัวเอง นอกจากนี้ในรัฐธรรมนูญมีการให้อำนาจภาคประชาชนในการตรวจสอบการทำสัญญากับต่างประเทศ ตามมาตรา 190 มีมาตรการยุบพรรคการเมืองที่ซื้อเสียง ตามมาตรา 237 และมีการเขียนเรื่องจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งมีตั้งแต่รัฐธรรมนูญ 2540 และเขียนเพิ่มเติมในฉบับ 2550 แต่ก็ยังไม่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้ เพราะนักการเมืองเก่าไม่ได้สนใจเนื้อหาเหล่านี้แม้แต่มาตราเดียว
นายพิภพ ชี้ว่า เนื้อหาสาระการเมืองใหม่ มีอยู่แล้วในรัฐธรรมนูญ 2540 และ 2550 แต่จุดอ่อน คือเราไม่ได้แก้ปมการเข้าสู่อำนาจของนักการเมือง เราจึงได้แต่นักการเมืองเก่าเข้าไปมีอำนาจ เพราะฉะนั้นเนื้อหาดีๆ ที่จะใส่เข้ามาในอนาคต ก็จะไม่ได้รับการปฏิบัติ คนที่ลุกขึ้นมาต่อสู้ก็จะถูกทำลาย ชาวบ้านที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องก็จะถูกยิงทิ้ง แม้แต่แกนนำพันธมิตรฯ ยังถูกตั้งข้อหาเป็นกบฏ ทั้ง ๆ ที่เราสู้เพื่อให้มีการเมืองที่ดี มีจริธรรม ไม่ให้นักการเมืองมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือทำการทุจริต แล้วชาวบ้านตาดำๆ ที่อยู่ข้างนอกจะถูกกล่าวหาอย่างไรบ้าง
“เพราะฉะนั้น การเมืองใหม่จะทำ 2 เรื่อง เรื่องหนึ่งคือ การเข้าสู้การเมืองของนักการเมือง ต้องมาจากหลากหลายและเป็นขบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกอาชีพ ส่วนจะมีกี่สภาก็ว่าไป เนื้อหาสาระที่ดีๆ อยู่แล้ว เราจะเติมเข้าไป เพื่อให้สุขภาพจิตสุขภาพกาย สติปัญญาของเราดีขึ้นในการเมืองใหม่” นายพิภพ กล่าวทิ้งท้าย