“สุริยะใส” จับตาเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นปช.นัดม็อบใหญ่ทันที ระบุ หากอำนาจอยู่ในมือตำรวจ จะซ้ำรอยเหตุการณ์ 1 ก.ย.ตอกกลับ อย่าอ้างเป็นบุญคุณ หาเหตุให้พันธมิตรฯ ออกจากทำเนียบ ชี้ รักษาการนายกฯ ควรแถลงขอโทษประชาชนด้วยซ้ำ ระบุ “3 ส.” ล้วนเป็นนอมินี “ทักษิณ” ชนวนความขัดแย้งรอบใหม่รอปะทุ ย้ำจุดยืนพันธมิตรฯ ขับไล่ระบอบทักษิณถึงที่สุด
วันนี้ (14 ก.ย.) เวลาประมาณ 19.00 น.นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แถลงถึงกรณีการยกเลิกประกาศตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ว่า ขอตั้งข้อสังเกตว่า ทันทีที่มีการยกเลิก ก็มีการประกาศชุมนุมใหญ่ของกลุ่มผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในนามแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ที่สนามหลวง ในวันที่ 19 ก.ย.ทันที ดังนั้น เมื่ออำนาจคุมสถานการณ์จากนี้ไปอยู่ที่ตำรวจ ก็จะมีปัญหาตามว่า มีแนวโน้มของการเผชิญหน้าอีกหรือไม่ เพราะทุกครั้งพบว่า ตำรวจไม่ทำหน้าที่เท่าที่ควรทำ หรือรู้เห็นเป็นใจกับ นปช.ด้วยซ้ำ ซึ่งการที่แกนนำ นปช.ระบุว่า อาจจะควบคุมคนไม่ได้นั้น สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดของแกนนำมวลชน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ไม่รับผิดชอบ อย่าหาเหตุมาสร้างสถานการณ์อีก เพราะครั้งที่แล้วก็พาคนมาตาย อย่ามีพฤติกรรมแบบนั้นอีก เพราะพันธมิตรฯ มีความชัดเจนว่า เราจะชุมนุมอยู่ในที่ตั้ง โดยหลักสันติ และอหิงสา
นอกจากนี้ การยกเลิกประกาศตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ดังกล่าว ไม่จำเป็นต้องถือเป็นบุญคุณทางการเมือง เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นเรื่องที่ทุกฝ่ายคัดค้านอยู่แล้วว่า สถานการณ์ไม่จำเป็นต้องประกาศ แต่เมือยกเลิก ก็ออกประกาศอย่างเอิกเกริก ทวงบุญคุณ ว่า พันธมิตรฯ ยุติได้หรือยัง ซึ่งตรงนี้เป็นการหวังผลทางการเมือง เป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง เพราะจริงๆ แล้ว นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รักษาการนายกรัฐมนตรี ควรจะแถลงขอโทษประชาชนด้วยว่า การยกเลิกเป็นการไถ่บาป ไม่ใช่เรื่องทวงบุญคุณ
นายสุริยะใส กล่าวถึงการสรรหานายกฯ คนใหม่ ว่า พันธมติรฯ ไม่ได้คาดหวังว่า ในวันที่ 17 ก.ย.นี้ จะมีทางออกให้บ้านเมืองได้ เพราะมีการล็อกสเปกไว้ที่ “3 ส.” สายล่อฟ้า (นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายแพทย์ สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี และนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์) ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลที่มีมลทินติดตัวกันทั้งนั้น และทั้ง 3 คน เป็นตัวแทนทางความคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างชัดเจน จึงไม่มีอิสระเพียงพอที่จะพาบ้านเมืองให้พ้นวิกฤตได้ และถ้าหากวันที่ 17 กันยายน ได้นายกฯ ในกลุ่ม 3 ส.ก็อาจเป็นชนวนของความขัดแย้งรอบใหม่ ซึ่งพันธมิตรฯ อาจจะต้องปักหลักต่อไป และเท่าที่ประเมิน แม้ผู้ชุมนุมจะมีอาการล้าบ้าง แต่การระดมพลของเรานั้น สามารถทำได้ตลอดเวลา และยืดเยื้อโดยไม่มีกำหนดได้อีกนาน เพราะผู้ชุมนุมรู้สึกว่า ต้องนำพาบ้านเมือง เพื่อให้พ้นการครอบงำของระบอบทักษิณ ซึ่งตรงนี้พรรคพลังประชาชนไม่เคยสนใจ
สำหรับกลุ่มนักรบศรีวิชัย ที่ตกเป็นผู้ต้องหาบุกรุกสถานีโทรทัศน์ NBT และถูกขังนั้น นายสุริยะใส กล่าวว่า ขณะนี้ได้ประกันตัวออกมาบางส่วนแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่ระหว่างเซ็นเอกสาร และคาดว่าจะทยอยประกันได้เรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม แกนนำพันธมิตรฯ ยังมีมติช่วยเหลือครอบครัวของทั้ง 85 คน ทั้งเรื่องค่าเล่าเรียนและค่าสูญเสียโอกาส และเมื่อได้ข้อยุติ ตนจะนำกลุ่มคนเหล่านี้ มาแถลงความจริงที่เกิดขึ้นที่ NBT กับสื่อ เพื่อให้ฟังจากปากผู้ต้องหาบ้าง และคนเอ็นบีที่ต้องฟังบ้าง เพราะเท่าที่ฟังมาข้อมูลเป็นคนละอย่าง ทั้งเรื่องมีการจัดฉาก อาวุธ และเตรียมการไว้ล่วงหน้า ซึ่งจะต้องให้เขาได้ชี้แจงต่อสังคมด้วย อย่างไรก็ตาม หากจบภายในสัปดาห์หน้า จะเปิดตัวแถลงความจริงอย่างเป็นทางการ
ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า หากวันที่ 17 ก.ย.สภาล่มอีก พันธมิตรฯ จะทำอย่างไร นายสุริยะใส กล่าวว่า เท่าที่ดูแนวโน้มรัฐบาลแห่งชาติ คงเป็นไปได้ยากแล้ว เพราะพรรคการเมืองไม่ค่อยใส่ใจข้อเสนอดังกล่าว ซึ่งส่วนตัวคิดว่าแนวคิดนี้ พอจะพาบ้านเมืองให้พ้นวิกฤตได้ แต่ฝ่ายการเมืองก็ไม่นำพา ดังนั้น คงต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์หลัง 17 ก.ย.ด้วย เพราะไม่เชื่อว่า 3 ส. จะนำพาบ้านเมืองให้พ้นวิกฤตได้ และถ้ายังอยู่ในโควตาของพรรค จุดยืนของพันธมิตรฯ คือไม่รับ ซึ่งจุดยืนดังกล่าว ไม่ใช่อคติต่อ 3 ส.แต่เราลังต่อสู้กับนอมินี และรัฐบาลหุ่นเชิด และไม่เอาตัวแทนทางความคิดของระบอบทักษิณ ซึ่งเราสู้ในจุดยืนนี้
ส่วนหลัง 17 ก.ย.จะมียุทธศาสตร์ดาวกระจายหรือไม่นั้น คงต้องปรับแผน ยุทธวิธี และต้องกำหนดแนวทางการต่อสู้ใหม่ เพราะสถานการณ์ตอนนั้น คงจะเปลี่ยนไปพอสมควร
สำหรับมาตรการรักษาความปลอดภัย กรณีที่ นปช.ชุมนุมที่สนามหลวงนั้น คงต้องสูงขึ้น เพราะเราไม่ไว้ใจตำรวจ ซึ่งเมื่อครั้ง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทหารออกมาร่วมกับตำรวจ เป็นสิ่งที่ดีกับเรา แต่เหตุการณ์เมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่เกิดการยิงกันที่สะพานมัฆวาน เห็นได้ชัดว่าตำรวจไม่ขัดขวางแต่กลับรู้เห็นเป็นใจด้วยซ้ำ ดังนั้น เมื่อยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และอำนาจมาอยู่ที่ตำรวจอีกครั้ง พันธมิตรฯ ก็ไม่มีทางเลือก ที่จะต้องคุ้มครองตัวเอง เพราะยุทธศาสตร์ของฝ่ายตรงข้าม คือ ขับไล่พันธมิตรฯ ให้ออกจากทำเนียบ และให้ 9 แกนนำมอบตัว
ส่วนกรณีที่การ์ดอาสากระทบกับสื่อนั้น นายสุริยะใส กล่าวว่า แกนนำมีนโยบายย้ำชัดเรื่องสิทธิเสรีภาพของสื่อ และเมื่อใครคุกคามสื่อโดยไม่มีเหตุผล ตนก็จะเอาออกทันที ไม่เอาไว้ ซึ่งที่ผ่านมา เราก็เอาออกไปหลายคนแล้ว แต่บางครั้งเมื่อตรวจสอบแล้ว ถึงจะรู้ว่า การ์ดบางคนก็ไม่ใช่พวกเรา แต่ที่เราพูดไม่ได้นั้น เพราะมันน่าอายที่เอาฝ่ายตรงข้ามมาเป็นการ์ด อย่างไรก็ตาม แม้แต่การพูดโจมตีสื่อบนเวที โดยขาดข้อเท็จจริง เราก็ยังระวังกันมาก และได้ให้นโยบายกับการ์ดทุกจุด แต่บางคนไม่ใช่มืออาชีพ จึงอาจมีอารมณ์บ้างโดยเฉพาะสื่อบางแขนง ซึ่งหากมีอะไรเกินเลย ตนต้องขอโทษไว้ตรงนี้ด้วย ยืนยันว่าที่ผ่านมาได้ให้ออกไปหลายสิบคนแล้ว ซึ่งมีทั้งที่ตะโกน ตะคอกใส่ชาวบ้านหรือพูดไม่ดีกับสื่อ โดยเราได้ยึดบัตรการ์ดอาสาคืนแล้วปลดออก
อย่างไรก็ตาม อยากให้สื่อที่มีเหตุกระทบกระทั่งกับการ์ดอาสา ให้จดจำหมายเลขโค้ด หรือดูว่าเป็นการ์ดอาสาตรงจุดไหน แล้วมาบอกตนโดยตรงก็ได้ โดยเฉพาะในทำเนียบ ที่มีการรักษาความปลอดภัยเข้มกว่าสะพานมัฆวาน ดังนั้น โอกาสกระทบกระทั่งจึงสูงมาก และที่ผ่านมา แม้แต่การ์ดของแกนนำเอง ยังเคยโดนล็อกตัว เพราะการ์ดเหล่านี้ ได้รับคำสั่งให้ตรวจเข้ม จึงจำเป็นต้องปฏิบัติตาม