ผบ.ทบ.เสนอ “สมชาย” ยกลิกประกาศภาวะฉุกเฉิน เพราะผลกระทบต่อสังคมหลายด้าน ระบุขณะนี้ทหาร ตร.คุมสถานการณ์ได้แล้ว แนะนักการเมืองถึงเวลาต้องเสียสละ เพื่อแก้วิกฤตบ้านเมือง ชี้ตั้งรัฐบาลแห่งชาติทางออกสุดท้ายหากไม่สามารถหาข้อยุติได้
เมื่อเวลา 06.00 น. วันนี้ (11 ก.ย.) ที่กองการบิน กรมการขนส่งทหารบก (ขส.ทบ.) พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก และหัวหน้าผู้รับผิดชอบการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางไปตรวจเยี่ยมพื้นที่ภาคใต้ถึงการยกเลิกการประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ว่า ตนเรียนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รักษาการนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ว่าตามที่ได้ประเมินสถานการณ์แล้วมีความเหมาะสมที่จะยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในพื้นที่ กทม. ทั้งนี้ผลกระทบด้านต่างๆ มีผลกระทบต่อสังคม จึงน่าจะประกาศยกเลิก ในส่วนของคณะกรรมการได้นำ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ในแต่ละข้อมาวิเคราะห์ว่า สามารถดำเนินการได้มากน้อยเพียงใด โดยยึดถือเจตนาของการประกาศ พ.ร.ก. ดังกล่าว เพื่อมุ่งทำให้ปัญหาความวุ่นวายที่มีอยู่ในขณะนี้ลดน้อยลง
“เมื่อประเมินแล้วว่าการทำตามข้อกำหนดใน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน น่าจะทำให้ความวุ่นวายตามมามากขึ้น เพราะแต่ละข้อกำหนดเป็นการแจ้งให้สาธารณะทราบถึงการที่ไปรวมตัวกัน โดยเฉพาะข้อที่ 1.ระบุว่า ห้ามไม่ให้ชุมนุมเกิน 5 คน แต่เมื่อมีการไปรวมกันเกิน 5 คน จะเป็นความผิดตามข้อกฎหมายก็จะแจ้งสาธารณะชนเช่นนั้น เมื่อประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วจะมีกฎหมายใดมารองรับนั้น ได้หารือระหว่างตำรวจและทหาร ประเมินว่ากฎหมายปกติสามารถดูแลสถานการณ์ได้ และให้เจ้าหน้าที่ตำรวจร้องขอและให้ทหารเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน ทั้งนี้ หากสถานการณ์มีความรุนแรงการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีกครั้ง เป็นหน้าที่ของรัฐบาล”พล.อ.อนุพงษ์ กล่าว
เมื่อถามว่า ความคืบหน้าการเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯ และรัฐบาล พล.อ อนุพงษ์ กล่าวว่า ในปัญหาที่เกิดขึ้น อยากให้สังคมหลีกเลี่ยงการปะทะกัน หรือยืนกรานทำความต้องการของตัวเองอย่างเดียว จึงต้องให้ทางรัฐสภารับผิดชอบ ขณะนี้ทราบว่ามีการดำเนินการตามลำดับขั้น แต่จะเป็นอย่างไรต้องทำกันไป เรื่องความขัดแย้งไปอยู่ที่รัฐสภา คือ การจัดตั้งรัฐบาลมากกว่า ปัจจัยในการที่จะเกิดความวุ่นวายเพิ่มขึ้นหรือลดลง ขึ้นอยู่ที่การจัดตั้งรัฐบาลมากกว่า ทำให้การเจรจาลดความสำคัญลงไป
“ในสถานการณ์บ้านเมืองขณะนี้ ในฐานะที่ผมเป็นคนไทยคนหนึ่งอยากได้นายกรัฐมนตรีแบบใดนั้น ผู้ที่สมควรที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีต้องเป็นคนที่ทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ความขัดแย้งจะต้องหมดไปและมีทางออกของสังคม ทำให้ผ่านวิกฤติในช่วงนี้ไป และช่วยกันรวมสร้างสิ่งดีๆ ให้กับสังคมรวมทั้งประชาชนด้วย”ผบ.ทบ.กล่าว
เมื่อถามว่า พรรคพลังประชาชนควรเสนอใครเป็นนายกรัฐมนตรี พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ใครก็ได้ที่ทำให้สถานการณ์และสังคมดีขึ้น ก็น่าจะเหมาะสม
เมื่อถามว่า แนวทางการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติมีความเหมาะสมหรือไม่นั้น พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ น่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด แต่คิดว่าน่าจะยากที่จะเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าเกิดขึ้นได้น่าจะเป็นทางออกที่ดี ทั้งนี้ นักการเมืองต้องเสียสละ
วันเดียวกัน ที่ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก ได้ออกแถลงการณ์ชี้แจงถึงผลกระทบหากดำเนินการตาม พรก.ฉุกเฉิน โดยมีใจความว่า “กองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (กอฉ.) และกองทัพบกประเมินพิจารณาสถานการณ์ในพื้นที่ กทม. ภาพรวมขณะนี้คลี่คลายปราศจากการปะทะกันระหว่างกลุ่มของประชาชน จนไม่ถึงขั้นเรียกว่าสถานการณ์ฉุกเฉินอีกต่อไป ทั้งนี้ ที่ผ่านมากองทัพเลือกวิธีประสานการสร้างความเข้าใจกับทุกฝ่าย เพื่อลดเงื่อนไขต่างๆ ลงและหาทางออกให้กับบ้านเมืองโดยสันติวิธี ส่วนการดำเนินขณะนี้ของ กอฉ. ยังคงใช้กำลังตำรวจเป็นหลักดูแลการชุมนุมและเตรียมกำลังทหารจากกองร้อยรักษาความสงบเรียบร้อยของทุกเหล่าทัพไว้เป็นกำลังสนับสนุนอย่างเพียงพอ ขอให้เชื่อมั่นต่อมาตรการการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
หนังสือระบุด้วยว่า อยากให้ผู้ชุมนุมทุกฝ่ายเคร่งครัด และชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ ขอให้งดใช้อุปกรณ์อื่นใดที่อาจจะแปรสภาพเป็นอาวุธทุกประเภท ความขัดแย้งทางการเมืองที่เกิดขึ้นมีมายาวนาน ดังนั้น การประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน เพื่อแก้ไขปัญหาอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ย่อมทำได้ยาก กอฉ.และกองทัพบกพิจารณาเห็นว่า การบังคับใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ในวันนี้ อาจส่งผลกระทบเสียหายวงกว้าง หากมีการประกาศยกเลิกในอนาคตอันใกล้ย่อมส่งผลไปในทางที่ดีมากกว่า กองทัพบกพร้อมจะสนับสนุนการทำงานของตำรวจในฐานะผู้ช่วยเจ้าพนักงาน ทำให้เกิดความสงบสุขและเรียบร้อยในบ้านเมือง
“อยากทำความเข้าใจกับประชาชนว่า การชุมนุมแม้จะเป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ แต่การชุมนุมที่ไม่ยอมลดเงื่อนไขใดๆ เลย มิใช่หนทางการแก้ปัญหาของชาติบ้านเมือง การชุมนุมต่อเนื่องเป็นเวลานานย่อมส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายได้มีความตั้งใจจริงที่จะปรึกษาหารือ เพื่อร่วมกันหาทางออกที่เป็นไปได้ในบ้านเมือง เพื่อรักษาระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”