“แก๊งเสื้อแดง” เชียงใหม่ยังเหิม ขู่ปิดล้อมศูนย์ข่าวภาคเหนือ TPBS ซ้ำอีก แม้"เทพชัย"จะออกมาแสดงความเสียใจกรณีการนำเสนอข่าวแล้วก็ตาม ขีดเส้นให้เวลา 2 วันต้องแถลงการณ์ขอโทษอย่างเป็นทางการ ไม่เช่นนั้นพร้อมระดมคนปิดล้อมซ้ำ ด้านนักวิชาการ -ส.ว. จวกเป็นการคุกคามสื่อ เชื่อมีผู้อยู่เบื้องหลัง จี้กระชากหน้ากากออกมาให้สังคมได้รับรู้ ด้านปชป. แนะพนักงานไทยพีบีเอส ฟ้องดำเนินคดีกลุ่มเชียงใหม่ 51 ที่บุกปิดล้อมสถานี ขณะที่ผอ.ฝ่ายข่าวยื่นหนังสือถึงนายกฯ เบรกแก๊งเสื้อแดงหยุดคุกตาม
ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงใหม่วานนี้ (4 พ.ย.51) ว่า ที่บริเวณศูนย์ข่าวภาคเหนือสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส จ.เชียงใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สันทราย ยังคงวางกำลังรักษาความปลอดภัยอยู่ประมาณ 30 นาย แม้ว่ากลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ที่ชุมนุมปิดล้อมศูนย์ข่าวแห่งนี้จะสลายการชุมนุมไปตั้งแต่ช่วงกลางดึกคืนที่ผ่านมา (3 พ.ย.) แล้วก็ตาม เนื่องจากมีกระแสข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องว่ากลุ่มรักเชียงใหม่ 51 จะกลับมารวมตัวชุมนุมอีกครั้ง เพราะยังไม่พอใจกับการออกมาแสดงความเสียใจของผู้บริหารสถานี กรณีนำเสนอข่าวที่มีการระบุว่ากลุ่มคนเสื้อแดง จ.เชียงใหม่ ที่เข้าร่วมชุมนุมรายการ “ความจริงวันนี้สัญจร” เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ได้รับค่าจ้างคนละ 500-3,000 บาทต่อวัน
พล.ต.ต.สุเทพ เดชรักษา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ได้รับการกำชับจากผู้ว่าฯเชียงใหม่ และผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ให้ดูแลสถานการณ์ในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดไม่ให้เกิดความรุนแรง โดยหากมีการมาชุมนุมที่ศูนย์ข่าวฯแห่งนี้อีกทางเจ้าหน้าที่จะสกัดกั้นไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้าไปภายในบริเวณของศูนย์ข่าวฯได้เหมือนวันก่อน
อย่างไรก็ตาม การปิดล้อมเมื่อวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา ของกลุ่มเชียงใหม่ 51 นั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้มีการดำเนินคดีตามกฎหมายแต่อย่างใด เนื่องจากทางเจ้าทุกข์ไม่เอาเรื่อง
**ขีดเส้น2วัน”หย่อง”ขอโทษอีกครั้ง
ด้านความเคลื่อนไหวของ กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เวลาประมาณ 11.00 น. ที่โรงแรมแกรนด์วโรรส ในตัวเมืองเชียงใหม่ ที่เป็นสถานที่รวมตัวของกลุ่มดังกล่าว นายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ได้แถลงข่าวว่า ในช่วงบ่ายทางกลุ่มจะเข้ายื่นหนังสือที่ศูนย์ข่าวภาคเหนือสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เนื่องจากยังไม่พอใจกับการออกมาแสดงความเสียใจของนายเทพชัย หย่อง ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เพราะมองว่าไม่เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายที่ทำกันไว้ โดยจะเรียกร้องให้นายเทพชัย มีการขอโทษในลักษณะที่เป็นการแถลงการณ์อย่างเป็นทางการแทนที่จะเป็นเพียงการขอโทษผ่านการนำเสนอข่าว ที่กินเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น โดยจะให้เวลา 2 วัน หากข้อเรียกร้องดังกล่าวไม่ได้รับการตอบสนอง ก็จะมีการระดมมาทำการชุมนุมปิดล้อมศูนย์ข่าวฯ อีกครั้งจนกว่าจะทำตามข้อเรียกร้อง
อย่างไรก็ตาม กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ได้มีการยกเลิกนัดหมายดังกล่าวในเวลาต่อมา โดยให้เหตุผลว่า เป็นเพราะหลังจากที่ทางกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ได้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับที่วางแผงจำหน่ายเมื่อวานนี้ แล้วพบว่า มีการรายงานข่าวการขอโทษของผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ลงเกือบทุกฉบับ ทำให้เกิดความพอใจขึ้นอีกระดับหนึ่ง
ขณะที่บรรยากาศของศูนย์ข่าวฯ ตลอดทั้งวันวานนี้ เป็นไปอย่างเงียบเหงา เมื่อผู้สื่อข่าวและเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ต้องย้ายออกจากสำนักงานแห่งนี้ไปทำงานในสถานที่ปลอดภัย เนื่องจากยังไม่อาจวางใจสถานการณ์ในเวลานี้ได้
**เปิดสายโจมตี"หย่อง-สมาคมสื่อ"
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ในช่วงเช้าสถานีวิทยุของกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เอฟเอ็ม 92.5 Mhz ได้เปิดสายให้สมาชิกโทรศัพท์เข้ามา โดยผู้ฟังส่วนใหญ่ยังคงแสดงความไม่พอใจที่ผู้บริหารของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ได้เสนอข่าวในช่วงดึก และไม่ยอมเปิดการแถลงข่าวหรือนำผู้ประกาศออกมาขอโทษ และแจ้งว่านักการเมืองท้องถิ่นคนนั้นคือใครตามเงื่อนไขที่กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เรียกร้องมาตั้งแต่ต้น
ผู้ฟังหลายคนบอกว่าเป็นการแสดงถึงความไม่จริงใจในการขอโทษ หลายสายประณามสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย ที่ออกแถลงการณ์ให้ กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 หยุดคุกคามสื่อด้วย
นายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เข้าสายรายการวิทยุของกลุ่มโดยมีนางสาวกัญญาภัค มณีจักร หรือ "ดีเจอ้อม" ดำเนินรายการ โดยที่นางสาวกัญญาภัค เป็นแกนนำกลุ่มอีกคนหนึ่ง ที่มีบทบาทสูงในการชุมนุมเมื่อวันที่ 3 พ.ย. ตามภาพเป็นข่าวก็คือ สาวร่างท้วมไม่สูงมาก ย้อมผมสีแดงเป็นผู้นำในการใช้โซ่ล็อกประตูสถานี และยังเป็นตัวแทนผู้ชุมนุมไปประชุมร่วม 3 ฝ่าย กับทางตัวแทนสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เป็นผู้ดำเนินรายการ
โดยกล่าวว่า การเสนอข่าวขอโทษของนายเทพชัย เป็นการขอโทษแบบขอไปที ไม่มีความจริงใจ เป็นเพียงการให้สัมภาษณ์ข่าว ไม่ได้ทำตามข้อตกลง และยังมีการเสนอข่าวว่า กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ได้บุกเข้าทำลายประตูรั้วอีก ซึ่งขอให้สมาชิกได้พิจารณาดูว่า ต้องการอย่างไร หากไม่พอใจก็นัดหมายกัน 10.00 น. ที่หน้าโรงแรมซึ่งอาจจะไปทวงถามให้แถลงข่าวใหม่อย่างเป็นกิจจะลักษณะ
นางสางกัญญาภัค ยังกล่าวในรายการด้วยว่า สิ่งที่กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ได้ตกลงร่วมกับผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ปลัดจังหวัดเชียงใหม่ ประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้าน และมีมติร่วมกันว่า นายเทพชัย หย่อง จะต้องออกมาแถลงการณ์โดยนั่งโต๊ะแถลงข่าวให้สื่อมวลชนหลายๆ ช่องทราบ โดยต้องจัดเวทีให้ผู้แถลงนั่งโต๊ะโดยมีผู้ประกาศข่าวอยู่ด้านข้าง ประกาศแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชนทุกแขนง เพื่อขอโทษกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 และจะต้องพูดตามนี้ โดยตนจะอ่านคำพูดที่จะต้องพูดตามที่ ผอ.เพชรวรรต ได้ร่างขึ้นให้นายเทพชัย พูดตามว่า
"ตามที่ทีวีไทยได้รายงานว่า การชุมนุมของประชาชนที่สนามกีฬารัชมังคลากีฬาสถาน กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 51 กลุ่มผู้ชุมนุมจากจ.เชียงใหม่ได้รับการสนับสนุนเงินจากนักการเมืองท้องถิ่น เป็นเงินคนละ 2,000-3,000 บาท ทีวีไทยรู้สึกเสียใจที่ทำให้ชาวเชียงใหม่ที่มาชุมนุมด้วยความบริสุทธิ์ใจ ได้รับความเสียหาย ในฐานะผู้บริหารไทยพีบีเอส ขอโทษต่อชาวชียงใหม่ผู้บริสุทธิ์ และจะระมัดระวังการรายงานข่าว ไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ผู้บริสุทธิ์"
ดีเจอ้อมหัวแดงบอกว่า นี่คือคำที่ นายเทพชัย จะต้องพูดเมื่อคืนนี้ แต่ภาพที่ปรากฏไม่ใช่ เป็นลักษณะเป็นข่าวสั้นเท่านั้น
**นักวิชาการขอนแก่นจวกคุกคามสื่อ
นายสมพันธ์ เตชะอธิก นักวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์ ม.ขอนแก่น กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การกระทำของกลุ่ม รักเชียงใหม่ 51 เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพราะไปบุกรุกสถานที่ของคนอื่น และทำการยึดโดยไม่ให้เจ้าหน้าที่ของสถานีไม่สามารถเข้าไปทำงานได้ อีกทั้งยังเป็นการขัดขวางการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ซึ่งหากจะทำให้ตรงตามกระบวนการในการร้องเรียนว่า การนำเสนอข่าวไม่ถูกต้อง ก็ควรที่จะทำตามกระบวนการ โดยการฟ้องร้อง หรือประท้วงในทางอื่นได้ ไม่จำเป็นที่จะเข้าไปยึดสถานีที่เป็นสื่อสาธารณะ จนเจ้าหน้าที่ไม่กล้าที่จะเข้าไปทำงานได้โดยตรง
ทั้งนี้ ข่าวที่ไทยพีบีเอส นำเสนอไปนั้น ในภาคอีสานเองก็มี ดังที่สื่อมวลชนนำเสนอ โดยมีข่าวออกมาในลักษณะเดียวกันว่า มีการเกณฑ์คน และให้เงินคนเข้าไปร่วมชุมนุมเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ซึ่งไม่มีประชาธิปไตย หรือที่เรียกกันว่ามีวิชามารในระบอบประชาธิปไตย จึงแสดงให้เห็นว่าคนในสังคมยังไม่เข้าใจในระบอบประชาธิปไตย และใช้ประชาธิปไตยไม่ถูกวิธี
“สำหรับการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงเชียงใหม่ 51 ที่มีการเข้ายึดสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส นั้น ผมมองว่าการปรากฏในที่สาธารณะเช่นนี้ต้องมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ากระบวนการสื่อจะต้องเจาะโดยตรงว่า ใครเป็นผู้สนับสนุน ว่าใครอยู่เบื้องหลัง จึงเป็นเรื่องที่จะต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์” นายสมพันธ์กล่าว
**ปชป.แนะไทยพีบีเอสฟ้องฐานบุกรุก
ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มเชียงใหม่ 51 ปิดล้อมหน้าสถานีโทรทัศน์ ไทยทีบีเอส ศูนย์เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 3พ.ย.ที่ผ่านมาว่า เหตุการณ์นี้ถือเป็นหนึ่งเหตุการณ์ที่ตอกย้ำความแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งพฤติกรรมของ กลุ่มเชียงใหม่ 51 เป็นเพียงกลุ่มการเมืองที่เป็นตัวแทนระบอบทักษิณ และเป็นเพียงคนกลุ่มน้อยใน จ.เชียงใหม่ แต่ได้สร้างความเสียหาย และทำลายภาพลักษณ์ของ จ.เชียงใหม่ ที่เป็นเมืองท่องเที่ยว ให้ได้รับความเสียหาย
เหตุการณ์เช่นนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกใน จ.เชียงใหม่ แต่เป็นครั้งที่ 3 แล้ว โดยครั้งแรกเกิดขึ้น ที่เวทีปราศรัยหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี 49 และครั้งที่ 2 เมื่อครั้งที่พรรคประชาธิปัตย์ ประชุมสาขาพรรคภาคเหนือ เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 51 ที่ จ.เชียงใหม่ แต่ 2 ครั้งแรก ก็พอเข้าใจได้ว่า เป็นเรื่องของพรรคการเมือง ที่มีทั้งคนสนับสนุน และคัดค้าน
แต่กรณีที่เกิดขึ้นกับสถานีโทรทัศน์ ไทยทีบีเอส ซึ่งเป็นสื่อมวลชน และได้เสนอข่าวสารทั้งสองด้านมาโดยตลอด กลับถูกคุกคาม บุกรุกในศูนย์ข่าว ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน และมีการบันทึกภาพไว้ ถึงตัวผู้กระทำผิด จึงอยากให้เจ้าหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
นายเทพไท กล่าวด้วยว่า เรื่องนี้นายกรัฐมนตรีไม่ควรละเลยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะได้เกิดในพื้นที่ ที่นายกฯ มีฐานเสียงหนาแน่น และเป็นบ้านเกิดของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า กลุ่มคนดังกล่าวเป็นผู้ที่ให้การสนับสนุนนายกรัฐมนตรี
**กลุ่มรักเชียงใหม่51เข้าข่ายคุกคามสื่อ
นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ในฐานะประธาน กมธ.สิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า แม้จะเป็นสิทธิ์ ของกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51 ที่สามารถแสดงออกได้ แต่ไม่ควรมาปิดล้อมสถานี เพราะจะถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิ และคุกคามสื่อ ซึ่งตนอยากแนะให้กลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51 ควรดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม โดยสามารถฟ้องต่อศาล ฐานถูกหมิ่นประมาทได้
อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่าการเสนอข่าวของสถานี TPBS ผู้นำเสนอต้องร่วมรับผิดชอบซึ่ง นายเทพชัย หย่อง ผอ.สถานีฯ ต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบ เบื้องต้นสถานีฯ ได้ขอโทษแล้ว แต่อยากเตือนสื่อมวลชนว่า การเสนอข่าวควรมีการไต่ตรองให้รอบคอบก่อนเสนอ เพราะอาจจะเป็น น้ำผึ้งหยดเดียว
**จี้สมชายเบรก"แก๊งเสื้อแดง"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 16.15 น. วานนี้ นายเถกิง สมทรัพย์ ผอ.ข่าวไทยพีบีเอส นำพิธีกรและผู้ประกาศ จากสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส มายังทำเนียบรัฐบาลชั่วคราว (ดอนเมือง) เพื่อยื่นหนังสือขอการคุ้มครองเสรีภาพของสื่อมวลชน ให้กับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี จากกรณีกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51ได้ปิดล้อมศูนย์ข่าว ไทยพีบีเอส จ.เชียงใหม่ ซึ่งนายสมชาย ได้มอบหมายให้นายณัฐวุฒิ เป็นผู้รับหนังสือแทน
ทั้งนี้ หนังสือระบุว่า การปิดล้อมทีพีบีเอส ที่เชียงใหม่เป็นการคุกคามเสรีภาพในการทำหน้าที่ของสื่อที่รับรองโดยรัฐธรรมนูญอย่างรุนแรง แม้ว่าผู้อำนวยการของไทยพีบีเอส ได้แสดงความเสียใจต่อชาวเชียงใหม่แล้ว แต่กลุ่มผู้ชุมนุมยังแสดงความไม่พอใจ และขู่ว่าจะเดินทางมาชุมนุมอีกครั้งภายใน 2 วัน ดังนั้นไทยพีบีเอส จึงขอให้นายกรัฐมนตรี สั่งการไปยังผู้เกี่ยวข้องให้กำกับดูแลสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย เพื่อรับรองความปลอดภัยของพนักงานไทยพีบีเอส และไม่ให้เสรีภาพในการทำหน้าที่สื่อถูกคุกคามด้วยวิธีการที่ผิดกฎหมาย
**อ้างเป็นบทเรียนที่สื่อต้องระวัง
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า สื่อฯ ต้องเคารพในคำว่าประชาชน และประชาชนก็ต้องเคารพในคำว่าสื่อมวลชนเช่นกัน เพราะเมื่อมีการล้ำเส้นกัน จะมีปฏิกิริยาอย่างที่เห็น อย่างไรก็ตามเมื่อไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงบานปลาย ก็ถือเป็นบทเรียนร่วมกัน
นายณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่าวันนั้นผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส โทรศัพท์มาถามตนถึงการชุมนุม ถามถึงการจ่ายเงินจ้างคนมาชุมนุม ซึ่งตนยืนยันว่า ไม่มี เขาก็นำคำสัมภาษณ์ของตนไปออก แต่เมื่อออกอากาศหลังจากบทสัมภาษณ์ของตน ก็ได้มีการอ้างรายงานข่าวจากนักการเมืองท้องถิ่นใน จ.เชียงใหม่ คนหนึ่ง ว่ามีการรับเงินมาหัวละ 2,500 บาท
"ภายใต้สถานการณ์การเมืองที่ละเอียดอ่อนอย่างนี้ การรายงานข่าวโดยอ้างอิงถึงตัวผมที่เป็นแหล่งข่าวชัดเจน ผมก็บอกว่าไม่มีการจ้าง แต่ไปรายงานว่า มีการจ้างหัวละ 2,500 บาท โดยอ้างแหล่งข่าวคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นน้ำหนักความชัดเจนของแหล่งข่าวก็มีความแตกต่างกัน แล้วน้ำหนักของแหล่งข่าวดันไปสร้างผลกระทบกับความรู้สึกว่ากระทบกับข้อเท็จจริงของประชาชนที่ชุมนุมจึงเกิดเหตุ ดังนั้นจึงให้ระมัดระวังทั้งสองฝ่ายในสถานการณ์การเมืองแบบนี้" นายณัฐวุฒิกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงใหม่วานนี้ (4 พ.ย.51) ว่า ที่บริเวณศูนย์ข่าวภาคเหนือสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส จ.เชียงใหม่ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สันทราย ยังคงวางกำลังรักษาความปลอดภัยอยู่ประมาณ 30 นาย แม้ว่ากลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ที่ชุมนุมปิดล้อมศูนย์ข่าวแห่งนี้จะสลายการชุมนุมไปตั้งแต่ช่วงกลางดึกคืนที่ผ่านมา (3 พ.ย.) แล้วก็ตาม เนื่องจากมีกระแสข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องว่ากลุ่มรักเชียงใหม่ 51 จะกลับมารวมตัวชุมนุมอีกครั้ง เพราะยังไม่พอใจกับการออกมาแสดงความเสียใจของผู้บริหารสถานี กรณีนำเสนอข่าวที่มีการระบุว่ากลุ่มคนเสื้อแดง จ.เชียงใหม่ ที่เข้าร่วมชุมนุมรายการ “ความจริงวันนี้สัญจร” เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ได้รับค่าจ้างคนละ 500-3,000 บาทต่อวัน
พล.ต.ต.สุเทพ เดชรักษา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยว่า ได้รับการกำชับจากผู้ว่าฯเชียงใหม่ และผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ให้ดูแลสถานการณ์ในเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดไม่ให้เกิดความรุนแรง โดยหากมีการมาชุมนุมที่ศูนย์ข่าวฯแห่งนี้อีกทางเจ้าหน้าที่จะสกัดกั้นไม่ให้ผู้ชุมนุมเข้าไปภายในบริเวณของศูนย์ข่าวฯได้เหมือนวันก่อน
อย่างไรก็ตาม การปิดล้อมเมื่อวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา ของกลุ่มเชียงใหม่ 51 นั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้มีการดำเนินคดีตามกฎหมายแต่อย่างใด เนื่องจากทางเจ้าทุกข์ไม่เอาเรื่อง
**ขีดเส้น2วัน”หย่อง”ขอโทษอีกครั้ง
ด้านความเคลื่อนไหวของ กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เวลาประมาณ 11.00 น. ที่โรงแรมแกรนด์วโรรส ในตัวเมืองเชียงใหม่ ที่เป็นสถานที่รวมตัวของกลุ่มดังกล่าว นายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ได้แถลงข่าวว่า ในช่วงบ่ายทางกลุ่มจะเข้ายื่นหนังสือที่ศูนย์ข่าวภาคเหนือสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เนื่องจากยังไม่พอใจกับการออกมาแสดงความเสียใจของนายเทพชัย หย่อง ผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เพราะมองว่าไม่เป็นไปตามข้อตกลงระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายที่ทำกันไว้ โดยจะเรียกร้องให้นายเทพชัย มีการขอโทษในลักษณะที่เป็นการแถลงการณ์อย่างเป็นทางการแทนที่จะเป็นเพียงการขอโทษผ่านการนำเสนอข่าว ที่กินเวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น โดยจะให้เวลา 2 วัน หากข้อเรียกร้องดังกล่าวไม่ได้รับการตอบสนอง ก็จะมีการระดมมาทำการชุมนุมปิดล้อมศูนย์ข่าวฯ อีกครั้งจนกว่าจะทำตามข้อเรียกร้อง
อย่างไรก็ตาม กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ได้มีการยกเลิกนัดหมายดังกล่าวในเวลาต่อมา โดยให้เหตุผลว่า เป็นเพราะหลังจากที่ทางกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ได้อ่านหนังสือพิมพ์ฉบับที่วางแผงจำหน่ายเมื่อวานนี้ แล้วพบว่า มีการรายงานข่าวการขอโทษของผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ลงเกือบทุกฉบับ ทำให้เกิดความพอใจขึ้นอีกระดับหนึ่ง
ขณะที่บรรยากาศของศูนย์ข่าวฯ ตลอดทั้งวันวานนี้ เป็นไปอย่างเงียบเหงา เมื่อผู้สื่อข่าวและเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ ต้องย้ายออกจากสำนักงานแห่งนี้ไปทำงานในสถานที่ปลอดภัย เนื่องจากยังไม่อาจวางใจสถานการณ์ในเวลานี้ได้
**เปิดสายโจมตี"หย่อง-สมาคมสื่อ"
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ก่อนหน้านี้ในช่วงเช้าสถานีวิทยุของกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เอฟเอ็ม 92.5 Mhz ได้เปิดสายให้สมาชิกโทรศัพท์เข้ามา โดยผู้ฟังส่วนใหญ่ยังคงแสดงความไม่พอใจที่ผู้บริหารของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ได้เสนอข่าวในช่วงดึก และไม่ยอมเปิดการแถลงข่าวหรือนำผู้ประกาศออกมาขอโทษ และแจ้งว่านักการเมืองท้องถิ่นคนนั้นคือใครตามเงื่อนไขที่กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เรียกร้องมาตั้งแต่ต้น
ผู้ฟังหลายคนบอกว่าเป็นการแสดงถึงความไม่จริงใจในการขอโทษ หลายสายประณามสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย ที่ออกแถลงการณ์ให้ กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 หยุดคุกคามสื่อด้วย
นายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เข้าสายรายการวิทยุของกลุ่มโดยมีนางสาวกัญญาภัค มณีจักร หรือ "ดีเจอ้อม" ดำเนินรายการ โดยที่นางสาวกัญญาภัค เป็นแกนนำกลุ่มอีกคนหนึ่ง ที่มีบทบาทสูงในการชุมนุมเมื่อวันที่ 3 พ.ย. ตามภาพเป็นข่าวก็คือ สาวร่างท้วมไม่สูงมาก ย้อมผมสีแดงเป็นผู้นำในการใช้โซ่ล็อกประตูสถานี และยังเป็นตัวแทนผู้ชุมนุมไปประชุมร่วม 3 ฝ่าย กับทางตัวแทนสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เป็นผู้ดำเนินรายการ
โดยกล่าวว่า การเสนอข่าวขอโทษของนายเทพชัย เป็นการขอโทษแบบขอไปที ไม่มีความจริงใจ เป็นเพียงการให้สัมภาษณ์ข่าว ไม่ได้ทำตามข้อตกลง และยังมีการเสนอข่าวว่า กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ได้บุกเข้าทำลายประตูรั้วอีก ซึ่งขอให้สมาชิกได้พิจารณาดูว่า ต้องการอย่างไร หากไม่พอใจก็นัดหมายกัน 10.00 น. ที่หน้าโรงแรมซึ่งอาจจะไปทวงถามให้แถลงข่าวใหม่อย่างเป็นกิจจะลักษณะ
นางสางกัญญาภัค ยังกล่าวในรายการด้วยว่า สิ่งที่กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ได้ตกลงร่วมกับผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ปลัดจังหวัดเชียงใหม่ ประธานชมรมกำนันผู้ใหญ่บ้าน และมีมติร่วมกันว่า นายเทพชัย หย่อง จะต้องออกมาแถลงการณ์โดยนั่งโต๊ะแถลงข่าวให้สื่อมวลชนหลายๆ ช่องทราบ โดยต้องจัดเวทีให้ผู้แถลงนั่งโต๊ะโดยมีผู้ประกาศข่าวอยู่ด้านข้าง ประกาศแถลงข่าวต่อหน้าสื่อมวลชนทุกแขนง เพื่อขอโทษกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 และจะต้องพูดตามนี้ โดยตนจะอ่านคำพูดที่จะต้องพูดตามที่ ผอ.เพชรวรรต ได้ร่างขึ้นให้นายเทพชัย พูดตามว่า
"ตามที่ทีวีไทยได้รายงานว่า การชุมนุมของประชาชนที่สนามกีฬารัชมังคลากีฬาสถาน กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 51 กลุ่มผู้ชุมนุมจากจ.เชียงใหม่ได้รับการสนับสนุนเงินจากนักการเมืองท้องถิ่น เป็นเงินคนละ 2,000-3,000 บาท ทีวีไทยรู้สึกเสียใจที่ทำให้ชาวเชียงใหม่ที่มาชุมนุมด้วยความบริสุทธิ์ใจ ได้รับความเสียหาย ในฐานะผู้บริหารไทยพีบีเอส ขอโทษต่อชาวชียงใหม่ผู้บริสุทธิ์ และจะระมัดระวังการรายงานข่าว ไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ผู้บริสุทธิ์"
ดีเจอ้อมหัวแดงบอกว่า นี่คือคำที่ นายเทพชัย จะต้องพูดเมื่อคืนนี้ แต่ภาพที่ปรากฏไม่ใช่ เป็นลักษณะเป็นข่าวสั้นเท่านั้น
**นักวิชาการขอนแก่นจวกคุกคามสื่อ
นายสมพันธ์ เตชะอธิก นักวิชาการ คณะมนุษยศาสตร์ ม.ขอนแก่น กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า การกระทำของกลุ่ม รักเชียงใหม่ 51 เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพราะไปบุกรุกสถานที่ของคนอื่น และทำการยึดโดยไม่ให้เจ้าหน้าที่ของสถานีไม่สามารถเข้าไปทำงานได้ อีกทั้งยังเป็นการขัดขวางการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ซึ่งหากจะทำให้ตรงตามกระบวนการในการร้องเรียนว่า การนำเสนอข่าวไม่ถูกต้อง ก็ควรที่จะทำตามกระบวนการ โดยการฟ้องร้อง หรือประท้วงในทางอื่นได้ ไม่จำเป็นที่จะเข้าไปยึดสถานีที่เป็นสื่อสาธารณะ จนเจ้าหน้าที่ไม่กล้าที่จะเข้าไปทำงานได้โดยตรง
ทั้งนี้ ข่าวที่ไทยพีบีเอส นำเสนอไปนั้น ในภาคอีสานเองก็มี ดังที่สื่อมวลชนนำเสนอ โดยมีข่าวออกมาในลักษณะเดียวกันว่า มีการเกณฑ์คน และให้เงินคนเข้าไปร่วมชุมนุมเมื่อวันที่ 1 พ.ย.ซึ่งไม่มีประชาธิปไตย หรือที่เรียกกันว่ามีวิชามารในระบอบประชาธิปไตย จึงแสดงให้เห็นว่าคนในสังคมยังไม่เข้าใจในระบอบประชาธิปไตย และใช้ประชาธิปไตยไม่ถูกวิธี
“สำหรับการชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงเชียงใหม่ 51 ที่มีการเข้ายึดสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส นั้น ผมมองว่าการปรากฏในที่สาธารณะเช่นนี้ต้องมีผู้ที่อยู่เบื้องหลังอยู่แล้ว เพียงแต่ว่ากระบวนการสื่อจะต้องเจาะโดยตรงว่า ใครเป็นผู้สนับสนุน ว่าใครอยู่เบื้องหลัง จึงเป็นเรื่องที่จะต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์” นายสมพันธ์กล่าว
**ปชป.แนะไทยพีบีเอสฟ้องฐานบุกรุก
ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ ผู้ช่วยเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มเชียงใหม่ 51 ปิดล้อมหน้าสถานีโทรทัศน์ ไทยทีบีเอส ศูนย์เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 3พ.ย.ที่ผ่านมาว่า เหตุการณ์นี้ถือเป็นหนึ่งเหตุการณ์ที่ตอกย้ำความแตกแยกให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ซึ่งพฤติกรรมของ กลุ่มเชียงใหม่ 51 เป็นเพียงกลุ่มการเมืองที่เป็นตัวแทนระบอบทักษิณ และเป็นเพียงคนกลุ่มน้อยใน จ.เชียงใหม่ แต่ได้สร้างความเสียหาย และทำลายภาพลักษณ์ของ จ.เชียงใหม่ ที่เป็นเมืองท่องเที่ยว ให้ได้รับความเสียหาย
เหตุการณ์เช่นนี้ ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกใน จ.เชียงใหม่ แต่เป็นครั้งที่ 3 แล้ว โดยครั้งแรกเกิดขึ้น ที่เวทีปราศรัยหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อปี 49 และครั้งที่ 2 เมื่อครั้งที่พรรคประชาธิปัตย์ ประชุมสาขาพรรคภาคเหนือ เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 51 ที่ จ.เชียงใหม่ แต่ 2 ครั้งแรก ก็พอเข้าใจได้ว่า เป็นเรื่องของพรรคการเมือง ที่มีทั้งคนสนับสนุน และคัดค้าน
แต่กรณีที่เกิดขึ้นกับสถานีโทรทัศน์ ไทยทีบีเอส ซึ่งเป็นสื่อมวลชน และได้เสนอข่าวสารทั้งสองด้านมาโดยตลอด กลับถูกคุกคาม บุกรุกในศูนย์ข่าว ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอย่างชัดเจน และมีการบันทึกภาพไว้ ถึงตัวผู้กระทำผิด จึงอยากให้เจ้าหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด
นายเทพไท กล่าวด้วยว่า เรื่องนี้นายกรัฐมนตรีไม่ควรละเลยต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะได้เกิดในพื้นที่ ที่นายกฯ มีฐานเสียงหนาแน่น และเป็นบ้านเกิดของพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า กลุ่มคนดังกล่าวเป็นผู้ที่ให้การสนับสนุนนายกรัฐมนตรี
**กลุ่มรักเชียงใหม่51เข้าข่ายคุกคามสื่อ
นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา ในฐานะประธาน กมธ.สิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า แม้จะเป็นสิทธิ์ ของกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51 ที่สามารถแสดงออกได้ แต่ไม่ควรมาปิดล้อมสถานี เพราะจะถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิ และคุกคามสื่อ ซึ่งตนอยากแนะให้กลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51 ควรดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม โดยสามารถฟ้องต่อศาล ฐานถูกหมิ่นประมาทได้
อย่างไรก็ตาม ตนเห็นว่าการเสนอข่าวของสถานี TPBS ผู้นำเสนอต้องร่วมรับผิดชอบซึ่ง นายเทพชัย หย่อง ผอ.สถานีฯ ต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบ เบื้องต้นสถานีฯ ได้ขอโทษแล้ว แต่อยากเตือนสื่อมวลชนว่า การเสนอข่าวควรมีการไต่ตรองให้รอบคอบก่อนเสนอ เพราะอาจจะเป็น น้ำผึ้งหยดเดียว
**จี้สมชายเบรก"แก๊งเสื้อแดง"
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 16.15 น. วานนี้ นายเถกิง สมทรัพย์ ผอ.ข่าวไทยพีบีเอส นำพิธีกรและผู้ประกาศ จากสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส มายังทำเนียบรัฐบาลชั่วคราว (ดอนเมือง) เพื่อยื่นหนังสือขอการคุ้มครองเสรีภาพของสื่อมวลชน ให้กับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี จากกรณีกลุ่มคนรักเชียงใหม่ 51ได้ปิดล้อมศูนย์ข่าว ไทยพีบีเอส จ.เชียงใหม่ ซึ่งนายสมชาย ได้มอบหมายให้นายณัฐวุฒิ เป็นผู้รับหนังสือแทน
ทั้งนี้ หนังสือระบุว่า การปิดล้อมทีพีบีเอส ที่เชียงใหม่เป็นการคุกคามเสรีภาพในการทำหน้าที่ของสื่อที่รับรองโดยรัฐธรรมนูญอย่างรุนแรง แม้ว่าผู้อำนวยการของไทยพีบีเอส ได้แสดงความเสียใจต่อชาวเชียงใหม่แล้ว แต่กลุ่มผู้ชุมนุมยังแสดงความไม่พอใจ และขู่ว่าจะเดินทางมาชุมนุมอีกครั้งภายใน 2 วัน ดังนั้นไทยพีบีเอส จึงขอให้นายกรัฐมนตรี สั่งการไปยังผู้เกี่ยวข้องให้กำกับดูแลสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบเรียบร้อย เพื่อรับรองความปลอดภัยของพนักงานไทยพีบีเอส และไม่ให้เสรีภาพในการทำหน้าที่สื่อถูกคุกคามด้วยวิธีการที่ผิดกฎหมาย
**อ้างเป็นบทเรียนที่สื่อต้องระวัง
ด้านนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า สื่อฯ ต้องเคารพในคำว่าประชาชน และประชาชนก็ต้องเคารพในคำว่าสื่อมวลชนเช่นกัน เพราะเมื่อมีการล้ำเส้นกัน จะมีปฏิกิริยาอย่างที่เห็น อย่างไรก็ตามเมื่อไม่เกิดเหตุการณ์รุนแรงบานปลาย ก็ถือเป็นบทเรียนร่วมกัน
นายณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่าวันนั้นผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส โทรศัพท์มาถามตนถึงการชุมนุม ถามถึงการจ่ายเงินจ้างคนมาชุมนุม ซึ่งตนยืนยันว่า ไม่มี เขาก็นำคำสัมภาษณ์ของตนไปออก แต่เมื่อออกอากาศหลังจากบทสัมภาษณ์ของตน ก็ได้มีการอ้างรายงานข่าวจากนักการเมืองท้องถิ่นใน จ.เชียงใหม่ คนหนึ่ง ว่ามีการรับเงินมาหัวละ 2,500 บาท
"ภายใต้สถานการณ์การเมืองที่ละเอียดอ่อนอย่างนี้ การรายงานข่าวโดยอ้างอิงถึงตัวผมที่เป็นแหล่งข่าวชัดเจน ผมก็บอกว่าไม่มีการจ้าง แต่ไปรายงานว่า มีการจ้างหัวละ 2,500 บาท โดยอ้างแหล่งข่าวคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นน้ำหนักความชัดเจนของแหล่งข่าวก็มีความแตกต่างกัน แล้วน้ำหนักของแหล่งข่าวดันไปสร้างผลกระทบกับความรู้สึกว่ากระทบกับข้อเท็จจริงของประชาชนที่ชุมนุมจึงเกิดเหตุ ดังนั้นจึงให้ระมัดระวังทั้งสองฝ่ายในสถานการณ์การเมืองแบบนี้" นายณัฐวุฒิกล่าว