“สามเกลอหัวเกรียน” ใช้ปากทำมาหากินผ่าน NBT อ้าง รธน.ก็ห้ามตุลาการ รธน.เป็นลูกจ้างเช่นเดียวกับนายกฯ แต่ “จรัญ ภักดีธนากุล” กลับไปรับจ้างเป็นอาจารย์พิเศษ ให้นักศึกษา จึงต้องลงโทษเช่นเดียวกับกรณี “หมัก” - ป้ายสี “พันธมิตรฯ” สร้างความวุ่นวาย หวังเปิดทางให้ ปชป.เป็นรัฐบาลแห่งชาติ อ้างมั่วซั่ว การเมืองใหม่ หวังล้มล้างศาสนาพุทธ แล้วบังคับให้คนกินแต่ผัก เหมือน “สันติอโศก”
วานนี้ (10 ก.ย.) รายการความจริงวันนี้ ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ดำเนินรายการโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย โดยมีแขกรับเชิญประจำรายการอย่าง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน ร่วมพูดคุยในรายการ
โดยเมื่อเริ่มรายการ ผู้ดำเนินรายการได้กล่าวถึงกรณีการเสนอให้มีรัฐบาลแห่งชาติ ตามที่พรรคประชาธิปัตย์ เสนอว่า พวกตนอยากรู้ความคิดเห็นของประชาชนว่า เห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้มีรัฐบาลแห่งชาติ โดยให้ นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยขอให้ร่วมโหวตผ่านทางเอสเอ็มเอส โดยหากเห็นด้วยให้พิมพ์ 1 ไม่เห็นด้วยให้พิมพ์ 2
จากนั้นผู้ดำเนินรายการ ได้กล่าวเสริมว่า กรณีที่วันนี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวว่า พร้อมที่จะเป็นรัฐบาลแห่งชาติ เพราะเชื่อว่าจะเป็นทางออกให้กับบ้านเมืองนั้น ถือเป็นเรื่องที่น่าแปลก เพราะนายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ ได้เคยยืนยันมาตลอดว่าการเมืองไทยต้องมีฝ่ายค้าน แต่หากทำตามข้อเสนอรัฐบาลแห่งชาติที่นายอภิสิทธิ์ เสนอ การเมืองไทยก็จะไม่มีพรรคฝ่ายค้าน แล้วพรรคประชาธิปัตย์ทำไมจึงยอม หรือที่ยอมนั้นเป็นเพราะอยากจะเป็นนายกรัฐมนตรีมากกันแน่
ด้าน นายณัฐวุฒิ ได้ตีฝีปากกล่าวเสริมว่า ตนอยากบอกกับนายอภิสิทธิ์ว่า ความพร้อมกับความอยากนั้นไม่เหมือนกัน เพราะความพร้อมคือการมีคนสนับสนุน และเห็นด้วย แต่ความอยากเป็นเรื่องของ การอยากเป็นมาก จนไม่คำนึงถึงวิธีการที่จะมาเป็นว่าจะถูกต้องหรือไม่ นอกจากนี้ตนยังเห็นว่ารัฐบาลแห่งชาติยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเกิดขึ้น เพราะทุกวันนี้ที่ประชุมพรรคร่วมรัฐบาล ก็ยังมีความร่วมมือกันดีอยู่ มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันอยู่ และบ้านเมืองก็ไม่ได้เกิดวิกฤติการณ์ที่รุนแรงใหญ่หลวง ถึงขนาดต้องสร้างรัฐบาลแห่งชาติด้วย
ทั้งนี้ ผู้ดำเนินรายการ ได้แสดงความคิดเห็นแบบเลื่อนลอย ว่า พวกตนขอตั้งข้อสังเกตว่า เป็นไปได้หรือไม่ ที่พรรคประชาธิปัตย์ ได้ทำการจัดฉากให้กลุ่มพันธมิตรฯ มาดำเนินการชุมนุม หวังให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง เพื่อที่จะได้จัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติที่มีหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันประจวบเหมาะกันจนน่าสงสัย
จากนั้นผู้ดำเนินรายการจึงกล่าวถึงกรณีที่ ศาล รธน.ตัดสินให้ นายสมัคร สุนทรเวช พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดย นายวีระ กล่าวว่า ไม่ว่าใครจะคิดอย่างไรก็ตาม แต่ตนก็ยังจะดื้อชี้ให้ทุกคนเห็นว่าเมื่อนายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่งแล้ว รัฐมนตรีทุกคนก็ต้องพ้นจากตำแหน่งไปด้วยซึ่งความเห็นของตนอาจจต่างจากคนอื่น รวมถึงศาล รธน.แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะเป็นเรื่องของความคิดเห็นส่วนตัว
นอกจากนี้ ยังได้กล่าวถึงบทความของ นายจุมพล ณ สงขลา อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชนวันนี้ โดยบทความดังกล่าวแสดงความคิดเห็นต่อการตัดสินคดีดังกล่าวในเชิงที่ว่า ศาล รธน.ชุดนี้ตัดสินคดีแบบวงกว้าง คือ ไม่ได้ดูเฉพาะกฎหมายแรงงานเพียงฉบับเดียว แต่ดูกฎหมายอื่นๆ ประกอบไปด้วย ซึ่งในทางปฏิบัตินั้นสามารถทำได้ แต่ควรจะนำมาประกอบในกรณีที่ให้ประโยชน์แก่จำเลยเท่านั้น ไม่ควรนำมาประกอบแล้วทำให้เกิดโทษแก่จำเลย โดยผู้ดำเนินรายการ ได้แสดงทัศนะว่าเห็นด้วยอย่างยิ่งกับบทความดังกล่าว และว่า ศาล ศาล รธน.นั้น ขณะนี้สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้ ดังนั้นการที่พวกตนมาวิพากษ์กันจึงไม่ใช่เรื่องผิด
แต่อย่างไรก็ตาม ขณะนี้กำลังมีกฎหมายฉบับหนึ่งในเรื่องของวิธีพิจารณาคดีของศาล รธน.ที่พยายามระบุว่า ต่อไปจะไม่ให้ประชาชนทั่วไปสามารถวิพากษ์วิจารณ์ศาล รธน.ได้ เว้นแต่เป็นการวิพากษ์ทางวิชาการเท่านั้น ซึ่งพวกตนก็เชื่อว่าตราบใดที่กฎหมายฉบับนี้ยังไม่แก้ข้อความในส่วนนี้ อย่างไรเสีย สภาผู้แทนราษฏร คงไม่ยอมให้ผ่านได้อย่างแน่นอน เพราะเป็นเหมือนกฎหมายที่จะมาจำกัดสิทธิของประชาชน ทำให้ตาสีตาสา ประชาชนคนธรรมดา ไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ศาล รธน.ได้
จากนั้น นายณัฐวุฒิ ได้กล่าวว่า ตนมีข้อมูลสำคัญที่จะต้องเสนอให้ผู้ชมได้รับทราบ นั่นคือ ตามกฎหมาย รธน.นั้นได้ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า ตุลาการศาล รธน.จะต้องไม่เป็นลูกจ้างขององค์กรใดๆ ซึ่งก็เป็นข้อห้ามแบบเดียวกับที่ห้ามนายกรัฐมนตรี แต่กระนั้น จากข้อมูลที่ตนได้รับมา ก็ทำให้ทราบว่า นายจรัญ ภักดีธนากุล หนึ่งในตุลากาศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ตัดสินคดีนายสมัคร กรณีรายการชิมไปบ่นไป ได้ไปรับหน้าที่เป็นอาจารย์พิเศษ คณะนิติศาสตร์ ของหลายมหาวิทยาลัย เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ม.หาดใหญ่, ม.รามคำแหง, ม.รังสิต, ธรรมศาสตร์ ฯลฯ ดังนั้น การกระทำดังกล่าว ก็ถือว่า นายจรัญ เป็นลูกจ้างมหาวิทยาลัยเช่นกัน
ดังนั้น หากเทียบเคียงกับกรณีของนายสมัครแล้ว นายจรัญ ก็ถือว่ามีความผิดเช่นกัน เพราะเป็นลูกจ้างที่รับเงินค่าสอนจากมหาวิทยาลัย รวมถึงมีการนำภาพนายจรัญไปปรากฏตามเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยเอกชนหลายแห่ง ว่า เป็นอาจารย์พิเศษ เพื่อหวังดึงให้นักศึกษาสนใจเข้าเรียน ดังนั้น นายจรัญ ก็ควรจะต้องพ้นจากตำแหน่งเช่นเดียวกับนายสมัคร เพราะถือเป็นความผิดแบบเดียวกัน ซึ่งพวกตนก็ขอฝากไปยังประธานตุลาการศาล รธน.ด้วยว่า ควรจะเร่งดำเนินการกับนายจรัญ ในเรื่องนี้เพื่อให้เป็นบรรทัดฐานในสังคม อย่าให้เป็นแบบที่ว่า “ว่าเขา แต่อิเหนาเป็นเอง” ไปตัดสินว่าคนอื่นผิดแล้วลงโทษเขา แต่ตัวเองก็ทำผิดเสียเอง
นายณัฐวุฒิ ยังกล่าวท้าทายด้วยว่า ตนได้ข่าวมาว่า วันศุกร์ที่ 12 ก.ย.นี้ นายจรัญ จะไปบรรยายพิเศษที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แต่หลังจากคืนนี้ เมื่อตนนำประเด็นนี้มาตีแผ่แล้ว ก็คาดว่า นายจรัญ คงไม่กล้าไปบรรยายแล้ว ดังนั้น ก็ต้องแสดงความเสียใจกับนิสิตของจุฬาลงกรณ์ ไว้ล่วงหน้าด้วย
อย่างไรก็ตาม ผู้ดำเนินรายการไม่ได้บอกว่าจะไปยื่นร้องให้มีการเอาผิดนายจรัญอย่างไร นอกจากนำมาพูดในรายการเพื่อผลในเชิงทำลายความน่าเชื่อถือและข่มขู่เท่านั้น
ในช่วงท้ายรายการ ผู้ดำเนินรายการก็ไม่ลืมที่จะกล่าวโจมตีพันธมิตรฯ เช่นเคย โดยผู้ดำเนินรายการอ้างว่า แม้วันนี้จะมีใครมาเป็นนายกรัฐมนตรี พันธมิตรฯ ก็ยังไม่เลิกชุมนุมอยู่ดี เพราะพันธมิตรฯ ต้องการการเมืองใหม่ ซึ่งการเมืองใหม่ของพันธมิตรฯ นั้น ก็ระบุว่า นักการเมืองต้องเป็นนักการเมืองที่ดี ปราศจากกิเลสตัณหา รวมถึงต้องไม่ประกอบธุรกิจใดๆ
ผู้ดำเนินรายการได้กล่าวอย่างบิดเบือนว่า ดังนั้น หากการเมืองใหม่เกิดขึ้นจริง ก็ต้องมีแต่นักบวชของสำนักสันติอโศกเท่านั้น ที่จะสามารถเป็นนักการเมืองในการเมืองใหม่ของกลุ่มพันธมิตรฯ ได้
ดังนั้น ก็คาดได้เลยว่า เมื่อกลุ่มพันธมิตรฯ ทำการเมืองใหม่ให้สำเร็จแล้ว ก็คงตั้งสำนักสันติอโศก เป็นผู้นำศาสนาของประเทศ ซึ่งถึงวันนั้นศาสนาพุทธ ที่เป็นศาสนาประจำชาติของเรา รวมถึงมหาเถรสมาคม ก็คงไม่สามารถอยู่ได้ในประเทศไทย หากไม่กราบไหว้คนของสันติอโศก รวมถึงประชาชนก็คงต้องกินแต่พืชผักตามอย่างที่สำนักสันติอโศกสั่ง ซึ่งเรื่องนี้พวกตนไม่ได้พูดเล่น แต่มันคือเรื่องจริงที่จะเกิดขึ้น หากประเทศนี้ปล่อยให้กลุ่มพันธมิตรฯ ทำการเมืองใหม่ได้สำเร็จ
ทั้งนี้ คำกล่าวของผู้ดำเนินรายการทั้ง 3 ไม่ได้มุ่งให้ข้อเท็จจริงแก่ประชาชนแต่อย่างใด มีแต่การบิดเบือนเพื่อมุ่งโจมตีและลดความน่าเชื่อถือของพันธมิตรฯ โดยหยิบเอาบางส่วนของสำนักสันติอโศกมาโจมตี เช่น การกินมังสวิรัต และในข้อเท็จจริง การจะให้สันติอโศกมาเป็นผู้นำศาสนาของประเทศเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก