ส.ว.กรุงเทพฯ “รสนา โตสิตระกูล” ออกโรงแจง เหตุบุก NBT แค่เรื่องปลายเหตุ ที่รัฐบาลต้องกลับมาทบทวน ว่า ทำอะไรให้ประชาชนไม่พอใจเอาไว้ จนสั่งสมและกลายมาเป็นปัญหาอย่างทุกวันนี้
วันนี้ (27 ส.ค.) นางสาวรสนา โตสิตระกูล ส.ว.กรุงเทพฯ ให้สัมภาษณ์ในข่าวช่วงพิเศษ เกาะติดสถานการณ์ทางการเมือง ทางสถานีโทรทัศน์ทีวีไทย ทีวีสาธารณะ ถึงกรณีกลุ่มชายฉกรรจ์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระบุว่า เป็นกลุ่มเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของกลุ่มพันธมิตรฯ ได้บุกเข้าไปในสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที วานนี้ โดย นางสาวรสนา แสดงความเห็นว่า แม้โดยส่วนตัวแล้ว ตนจะไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการบุกเข้าไปในสถานที่ราชการ แล้วกระทำการที่ลิดรอนสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น
แต่อย่างไรก็ตาม ตนอยากให้รัฐบาล และทุกฝ่าย ได้มองปัญหานี้ แบบเจาะลึกลงไปถึงต้นตอของเรื่องว่าเกิดขึ้นจากอะไร เพราะตนมองว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวานนี้นั้น เป็นเพียงเรื่องปลายเหตุ หากรัฐบาลต้องการที่จะแก้ไขปัญหานี้ให้จบลงจริง ๆ คงต้องวิเคราะห์ถึงต้นเหตุว่าเพราะอะไรพลังของมวลชน จึงแสดงความรู้สึกออกมาเช่นนี้ รัฐบาลเองได้ปล่อยให้มีการดำเนินการใดๆ ที่สร้างความไม่พอใจให้กับมวลชน แล้วสั่งสมจนปะทุขึ้นมาหรือไม่
อย่างเช่น กรณีที่สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ซึ่งเป็นสื่อที่อยู่ในการควบคุมดูแลของรัฐบาล ได้มีการอนุญาตให้ทำการแพร่ภาพ รายการ “เพื่อนพ้องน้องพี่” ซึ่งดำเนินการโดยอดีตแกนนำ นปก.แล้วออกอากาศโจมตีฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาล รวมถึงฝ่ายพันธมิตรฯ หรือกรณีที่ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ประกาศกับสังคมว่าไม่ได้เป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่เมื่ออยู่ในที่ประชุมพรรคกลับบอกว่าไม่เคยคิดทรยศต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ
นอกจากนี้ รัฐบาลก็มีท่าทีปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณ โดยไม่ยอมดำเนินการถอนพาสปอร์ตแดง ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีฐานะเป็นผู้หนีคดีอาญา ซึ่งแม้วานนี้ คณะกรรมาธิการฝ่ายต่างประเทศ ของวุฒิสภา จะได้เดินทางเข้าพบ นายเตช บุญนาค รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อเรียกร้องให้ถอนพาสปอร์ตแดงแล้ว แต่ นายเตช ก็กล่าวว่าตนไม่ใช่นักการเมือง จึงไม่มีอำนาจทำได้ต้องให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้สั่งการ แต่ตัวนายสมัครเอง ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายการเมืองก็บอกว่าไม่มีนโยบายในการดำเนินเรื่องดังกล่าว
ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้เองที่รัฐบาลต้องกลับมามองว่า เป็นสิ่งซึ่งแสดงว่าให้เห็นว่า รัฐบาลเป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความไม่พอใจเพิ่มขึ้น จนสั่งสมมาเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงในวานนี้หรือไม่
ดังนั้น ตนจึงมองว่า หากรัฐบาลจะบอกให้พันธมิตรฯ หยุด รัฐบาลจะต้องพิจารณาตัวเองก่อน ว่าตัวเอง คือ ต้นเหตุแห่งปัญหาหรือไม่ เพราะรัฐบาลในฐานะของผู้นำรัฐสภา มีหน้าที่จะต้องแก้ปัญหาที่เป็นชนวนเหตุแห่งความขัดแย้งให้ได้ ไม่ใช่บอกให้ประชาชนหรือสื่อเป็นผู้แก้ปัญหา โดยการสั่งให้สื่อและประชาชนเลือกที่จะอยู่ข้างรัฐบาลอย่างที่ นายกรัฐมนตรีเคยกล่าวไว้
