อดีตแกนนำ นปก.กลัวไม่ได้สร้างสภาใหม่ ด่ากราด ส.ส.-ส.ว.ที่ค้านเป็นพวกวิสัยทัศน์แคบ ถ่วงประชาธิปไตย แผ่นเสียงตกร่องแก้ตัวให้ “หัวหน้าหมัก” โดน รธน.50 เล่นงาน กรณีรายการ “ชิมไปบ่นไป“” แต่ทำปากกล้าไม่กลัวนายกฯถูกสั่งพ้นตำแหน่ง อ้างกลับเข้ามาใหม่ได้ ก่อนมั่วข้อมูล “สนธิ” โจมตีกระทบชิ่งพันธมิตรฯ ต่อ ปิดท้ายเชียร์ “ปลอดประสพ” ลงสมัครผู้ว่าฯ กทม.
วันนี้ (21 ส.ค.) รายการเพื่อนพ้องน้องพี่ พีทีวีภาคพิเศษ ออกอากาศทางโทรทัศน์ดาวเทียมเอ็มวี 5 ดำเนินรายการโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 6 พรรคพลังประชาชน และ นายก่อแก้ว พิกุลทอง หนึ่งในผู้บริหารสถานีโทรทัศน์พีทีวี
เนื้อหาช่วงแรกในรายการ ผู้ดำเนินรายการได้กล่าวถึงกรณีที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายไม่เห็นด้วยกับการสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา โดย ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ให้เหตุผลว่าในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ควรนำเงินจำนวนมหาศาลที่จะใช้ก่อสร้างรัฐสภาไปใช้แก้ปัญหาอื่นให้ประชาชนน่าจะดีกว่า
ทั้งนี้ ผู้ดำเนินรายการทั้ง 3 ได้ตีฝีปากตำหนิว่า ไม่รู้ว่าคิดได้อย่างไร เหตุใดจึงมีทัศนคติที่คับแคบแบบนี้ เพราะงบประมาณที่จะใช้สร้างอาคารรัฐสภา มันย่อมเป็นคนละส่วนกับเงินที่จะนำมาใช้แก้ปัญหาอื่นๆ อยู่แล้ว ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์คงไม่ต้องมาห่วงว่าเงินสร้างรัฐสภาจะนำมาจากไหน เพราะในเมื่อรัฐบาลจะสร้าง เขาก็ต้องรู้แล้วว่าจะนำงบประมาณส่วนไหนมาใช้ และหากไม่พอเขาก็คงบริหารได้อยู่แล้วว่าจะเอาเงินมาจากที่ไหนได้ ดังนั้น เรื่องงบประมาณนี้อย่างหยิบมาเป็นข้ออ้างเพื่อโต้แย้งจะดีกว่า
อย่างไรก็ตาม ผู้ดำเนินรายการทั้ง 3 ไม่ได้บอกว่างบประมาณในการก่อสร้างสภาแห่งใหม่จะมาจากส่วนใด เพราะในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2552 ไม่ได้มีการบรรจุงบประมาณสำหรับโครงการนี้ไว้ ทั้งที่นายสมัคร สุนทรเวช ได้ประกาศว่าจะวางศิลาฤกษ์ในช่วงปลายเดือนธันวาคมนี้ จึงคาดหมายกันว่าจะต้องเป็นงบประมาณที่มาจากการแปรญัตติปรับลดจากงบประมาณของหน่วยงานต่างๆ เพื่อนำมาใช้ในโครงการนี้ ซึ่งจะใช้ไม่ต่ำกว่า 19,000 ล้านบาท และมีค่าชดเชยการโยกย้ายโรงเรียน หน่วยงานทหาร ชุมชน ค่ารื้อถอนอาคารสถานที่อีกประมาณ 4,000 ล้านบาท
ส่วนกรณีที่ ส.ว.บางส่วน เริ่มแสดงความไม่เห็นด้วยกับการสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ โดยเฉพาะ นายสาย กังกเวคิน ส.ว.ระยอง ที่ออกมากล่าวว่า การจะสร้างรัฐสภานั้นควรจะระงับเอาไว้ก่อน เพราะการสร้างจะไปกระทบกับความเป็นอยู่ของผู้คน สภาจึงต้องคำนึงถึงด้วย เพราะการกระทำใดๆ ที่กระทบต่อประชาชนแม้ 1 ชีวิต ก็ต้องนำมาพิจารณานั้น นายวีระ กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า ถ้าคุณคิดอย่างนี้ก็ต้องขอเชิญคุณไปอยู่บนดาวอังคารดีกว่า อย่ามาเป็น ส.ว.เลย เพราะไม่ว่าทำอะไร ก็ต้องกระทบต่อสิ่งต่างๆ ทั้งนั้น หากทำอะไรแล้วไม่มีผลกระทบก็คงต้องไปทำบนดาวอังคารเท่านั้น
นายวีระ กล่าวด้วยว่า ตนมีความคิดว่า หากคนที่ทำหน้าที่เป็นสมาชิกรัฐสภา แล้วมีทัศนคติหรือวิสัยทัศน์แคบไม่เห็นคุณค่าของการสร้างอาคารรัฐสภา ในสายตาตนถือว่าสอบไม่ผ่าน และก็ไม่ควรจะมาเป็นสมาชิกรัฐสภาเลย เพราะเป็นการถ่วงความเจริญของชาติ “ได้คนวิสัยทัศน์อย่างพวกคุณมาเป็นสมาชิกรัฐสภานี้แหละ มันถ่วงความเจริญชาติ มันถ่วงความเป็นประชาธิปไตย”
ในช่วงต่อมาผู้ดำเนินรายการจึงเริ่มกล่าวโจมตีรัฐธรรมนูญ(รธน.) 2550 เช่นเคย โดยผู้ดำเนินรายการกล่าวอย่างไม่ใช้ความคิดว่า รธน.ฉบับนี้เป็นเหมือน รธน.ที่วางระเบิดเอาไว้ดักรัฐบาลชุดนี้อยู่ตลอด อย่างเช่นตอนนี้ที่นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี กำลังจะถูกศาล รธน.ตัดสินว่ามีความผิดกรณีจัดรายการชิมไปบ่นไปหรือไม่ ในวันที่ 8 ก.ย.นี้ ซึ่งหากถูกตัดสินว่าผิด นายสมัครก็ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ผู้ดำเนินรายการกล่าวต่อไป อย่างอารมณ์ดีว่า แม้ รธน.50 จะวางระเบิดรัฐบาลมาตลอด แต่คราวนี้ กรณีนายสมัครกลับเป็นระเบิดที่ฆ่าไม่ตาย เพราะถึงแม้ศาล รธน.จะตัดสินออกมาว่าผิด ต้องออกจากตำแหน่ง แต่เมื่อนายสมัคร พ้นจากตำแหน่งไปแล้ว สภาก็จะทำการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่ ซึ่งพวกตนเชื่อว่าอย่างไรเสียนายสมัครก็จะต้องได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีเหมือนเดิมอยู่ดี เพราะเสียงส่วนใหญ่ของสภาก็ยังเป็นเสียงของ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ส่วนตำแหน่งต่างๆ ในคณะรัฐมนตรีก็จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
นายณัฐวุฒิ กล่าวประชดประชันว่า ในความคิดตนนั้น แท้จริงแล้วอยากจะให้ นายสมัครถูกตัดสินว่าผิดอยู่เหมือนกัน เพราะจะได้ทำการเลือกนายกกันใหม่ รอโปรดเกล้าฯ เข้ารับตำแหน่งกันใหม่ ประชาชนจะได้รู้กันไปเลยว่า รธน.ฉบับนี้ ทำให้การบริหารบ้านเมืองยุ่งยากมากแค่ไหน ขับรัฐบาลออกจากตำแหน่งง่ายๆ แล้วก็ต้องมาเสียเวลาเลือกนายกฯ กันใหม่
ต่อมาผู้ดำเนินรายการได้กล่าวโจมตี นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มพันธมิตรฯ อีกครั้งหลังจากที่พูดในรายการ"ความจริงวันนี้" ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีไปแล้ว เมื่อคืนวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยยังคงเน้นโจมตี ว่า นายสนธิ บริหารธุรกิจล้มเหลว จนกลายเป็นบุคคลล้มละลาย และสาเหตุที่ออกมาชุมนุมที่สะพานมัฆวาน ในทุกวันนี้ ก็เพราะมีผลประโยชน์แอบแฝง และต้องการจะแก้แค้น พ.ต.ท.ทักษิณ เท่านั้น
หลังจากนั้นผู้ดำเนินรายการได้ตีฝีปากพูดต่อไปว่า อยากฝากไปถึงผู้ที่ไปชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรฯ ว่า จนถึงวันนี้แล้วต้องเอาความจริงมาพูดกัน ถึงจะทำให้สังคมมีทางออก อย่างเหตุการณ์ในทุกวันนี้ หากท่านมีความเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำผิดจริง หรือทุจริตคดโกงจริง ก็ต้องปล่อยเรื่องนั้นให้ตัดสินไปตามกระบวนการที่ควรจะเป็นต่อไป และคงไม่ต้องไปดำเนินการใดๆ เพิ่มเติมอีก เพราะอย่างไรเสีย หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ทำผิดจริง อย่างไรเสียความจริงก็ต้องปรากฏ ทำให้ต้องได้รับโทษอยู่วันยังค่ำ
แต่สำหรับ นายสนธินั้น ตนอยากให้ทุกคนลองคิดดูว่า จากข้อมูลต่างๆ ของนายสนธิ ที่พวกตนนำเสนอตั้งแต่ที่รายการความจริงวันนี้ และรายการเพื่อนพ้องน้องพี่แห่งนี้ ทุกคนควรจะทบทวนได้แล้วว่า คนอย่าง นายสนธิมีคุณสมบัติเพียงพอหรือที่จะต้องไปเดินตามหรือทำตามสิ่งที่นายสนธิกล่าวชักจูง แล้วคนๆ นี้หรือที่มีคุณค่าพอที่จะทำให้ประชาชนแบ่งเป็น 2 ฝัก 2 ฝ่ายจนประเทศวุ่นวายอย่างทุกวันนี้
ในช่วงท้ายรายการ ผู้ดำเนินรายการ ได้กล่าวถึงรายชื่อว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ว่า มีหลายคนที่เตรียมตัวลงสมัคร ทั้ง นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ นางสาวลีนาจัง จรรยา ม.ล.ณัฎฐกรณ์ เทวกุล ฯลฯ แต่คนหนึ่งที่น่าสนใจและพวกตนอยากจะกล่าวถึงก็คือ นายปลอดประสพ สุรัสวดี (อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชนวัตร) ซึ่งพวกตนได้ข่าวมาว่ามีแนวโน้มจะลงสมัครด้วย ทั้งนี้ พวกตนคิดว่า นายปลอดประสพ ถือเป็นคนดีคนหนึ่ง ซึ่งมีประสบการณ์การทำงานในตำแหน่งสำคัญๆ มามากมาย
ผู้ดำเนินรายการได้ยกยอปอปั้นนายปลอดประสพว่า เป็นคนมีความสามารถมาก เรียกได้ว่าถ้าเทียบฝีมือกันแล้ว ก็ไม่แพ้ นายอภิรักษ์ อย่างแน่นอน
หลังจากนั้นผู้ดำเนินรายการได้ตีฝีปากเหน็บแนมนายอภิรักษ์ว่า นายปลอดประสพจะแพ้นายอภิรักษ์อยู่บ้างก็ตรงที่นายอภิรักษ์เป็นพวกสร้างภาพเก่ง ตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ว่าฯ กทม.ก็ทำโครงการต่างๆ แล้วออกประชาสัมพันธ์ไว้มากมายว่าดีอย่างโน้น อัจฉริยะอย่างนี้ ทั้งที่โครงการเหล่านั้นไม่เห็นจะเป็นชิ้นเป็นอัน หรืออัจฉริยะตรงไหนเลย
แต่อย่างไรก็ตาม พวกตนคิดว่าการสมัครเป็นผู้ว่าราชการ กทม.ในทุกวันนี้ ถ้าไม่มีพรรคการเมืองดีๆ สังกัด ก็เป็นเรื่องยากมากที่จะประสบความสำเร็จ ดังนั้น พวกตนอยากแนะนำ ม.ล.ณัฎฐกรณ์ ที่ประกาศตัวว่าไม่สังกัดพรรคการเมืองใดๆ ด้วย ว่าทางทีดี ควรหาพรรคสังกัดเสีย เพราะไม่เช่นนั้นก็มีแนวโน้มว่าจะต้องแพ้การเลือกตั้ง
ส่วน นายปลอดประสพ นั้น พวกตนก็คิดว่า หากจะลงสมัครจริงก็ควรมาสมัครในสังกัดพรรคพลังประชาชนจะดีกว่า เพราะเมื่อนำฐานเสียงของพรรคพลังประชาชนที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก มาผสมกับความนิยมในตัวนายปลอดประสพแล้ว เชื่อว่า น่าจะแข่งขันกับ นายอภิรักษ์ ซึ่งเป็นผู้สมัครจากพรรคประชาธิปัตย์ ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
อย่างไรก็ตาม ผู้ดำเนินรายการทั้งสามไมได้พูดถึงเรี่องฉาวโฉ่ในอดีตของนายปลอดประสพกรณีส่งออกเสือโคร่งไปยังประเทศจีนจำนวน 100 ตัวโดยไม่ถูกต้อง จนถูก อ.ก.พ.กระทรวง สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี มีมติให้ลงโทษไล่ออกจากราชการซึ่ง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นผู้ลงนามในคำสั่ง ที่ 318/2550 ลงวันที่ 15 ธันวาคม 2550 แต่หลังจากหลังถูกไล่ออกจากราชการ นายปลอดประสพได้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ระบบสัดส่วนกลุ่มที่ 6 พรรคพลังประชาชน แม้จะสอบตก แต่ได้รับการแต่งตั้งจากนายสมัคร สุนทรเวช ให้ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2551 ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 102 (6) ระบุอย่างชัดเจนว่า ผู้เคยถูกไล่ออก ปลดออก หรือให้ออกจากราชการ หน่วยงานของรัฐ หรือรัฐวิสาหกิจ เพราะทุจริตต่อหน้าที่ หรือถือว่ากระทำการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร