อดีตแกนนำ นปก. สุดสะเทือนใจ หลังเห็นหมายจับ “อาชญากรแม้ว” อ้างเฉย ตร.ไม่ควรออกหมายจับมาประณาม เพราะ“นายใหญ่” เคยเป็นถึงอดีตนายก ควรให้เกียรติกันบ้าง - เย้ย “บัวแก้ว” แถลงการณ์ยืนยันความโปร่งใสของตุลาการไทย เป็นเรื่องน่าขำ อ้างทั่วโลกรู้ทันว่าศาลไทยถูกแทรกแซงจากเผด็จการ
วานนี้ (15 ส.ค.) รายการเพื่อนพ้องน้องพี่ พีทีวีภาคพิเศษ ออกอากาศทางโทรทัศน์ดาวเทียมเอ็มวี 5 ดำเนินรายการโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นายก่อแก้ว พิกุลทอง หนึ่งในผู้บริหารสถานีโทรทัศน์พีทีวี
เนื้อหาในรายการ ผู้ดำเนินรายการได้กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีการก่อสร้างอาคารรัฐสภา หลังใหม่ในย่านเกียกกาย ว่าขณะนี้ได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ระหว่างนายกรัฐมนตรี ประธานรัฐสภา ผู้บัญชาการทหารบก ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่แล้วเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ซึ่งการทำความเข้าใจก็เป็นไปอย่างราบรื่น ซึ่งทุกฝ่ายก็เข้าใจดี แต่ที่มีปัญหาอยู่บ้างก็คือ โรงเรียนโยธินบูรณะ ที่จะต้องย้ายไปที่ตั้งแห่งใหม่ ซึ่งมีนักเรียนบางส่วนไม่พอใจ จึงเดินรวมตัวกันเดินขบวนไปที่รัฐสภาในวันนี้
ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า พวกตนเข้าใจดีว่านักเรียนโรงเรียนโยธินบูรณะ ต่างก็ยังเป็นวัยรุ่นย่อมมีความต้องการที่จะแสดงออกอยู่แล้ว ซึ่งการที่โรงเรียนถูกย้ายทั้งทีก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องออกมาเรียกร้องเสียหน่อย เพราะจะได้ขึ้นชื่อว่าเคยออกมาดำเนินการเรียกร้องไม่ให้มีการย้ายโรงเรียน ซึ่งพวกตนก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่น่ารักดี เพราะหากเป็นสมัยวัยรุ่น พวกตนก็คงจะทำอย่างนี้เช่นกัน
แต่อย่างไรก็ตาม พวกตนสันนิษฐานว่า นักเรียนโรงเรียนโยธินบูรณะ อาจจะได้รับข้อมูลการย้ายโรงเรียนอย่างไม่ครบถ้วน เพราะหากได้รับข้อมูล และศึกษาอย่างละเอียดแล้วจะพบได้ว่า การย้ายโรงเรียนในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ เพราะสถานที่จะสร้างโรงเรียนแห่งใหม่ก็ใหญ่กว่า ได้ตึกที่ใหม่กว่า อุปกรณ์การเรียนการสอนก็จะได้เพิ่มมากขึ้นอีก เรียกได้ว่าการย้ายไปครั้งนี้จะมีแต่เรื่องที่ดีขึ้นมากกว่า นอกจากนี้พวกตนยังอยากฝากบอกไปยังนักเรียนโรงเรียนโยธินบูรณะ และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ด้วยว่า อาคารรัฐสภา เป็นสมบัติของคนทั้งชาติ เป็นสิ่งที่เชิดหน้าชูตาของประเทศ ดังนั้นหากจะต้องยอมเสียสละไปบ้าง เพื่อให้ประเทศเจริญก้าวหน้า ก็น่าจะเป็นสิ่งพึงกระทำมิใช่หรือ
ในช่วงต่อมาผู้ดำเนินรายการได้กล่าวถึงกรณีที่ กองทะเบียนประวัติอาชญากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกประกาศกองทะเบียนประวัติอาชญากร เพื่อออกประกาศสืบจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภรรยา
โดยผู้ดำเนินรายการได้กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า สาเหตุที่ต้องหยิบยกเรื่องนี้มากล่าวในรายการ ก็เพื่อจะฟ้องผู้ชมทั้งหลายว่า การกระทำของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในเรื่องนี้ ออกจะเกินกว่าเหตุ และโอเวอร์เกินไปหน่อย เพราะการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปอยู่ที่อังกฤษ แล้วไม่มาปรากฏตัวที่ศาลอาญานั้น ไม่ได้เป็นการหายไปเฉยๆ เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้ออกแถลงการณ์มาชี้แจงถึงเหตุผลที่ไม่มารายงานตัวต่อศาลแล้ว อีกทั้งยังมีการเปิดเผยที่อยู่อาศัยในประเทศอังกฤษต่อสื่อทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทยได้รู้แล้ว จึงไม่น่าจะเข้าข่ายการหนีคดี ถึงขนาดที่จะต้องมาออกหมายจับ แล้วนำเสนอไปยังสื่อต่างๆ เหมือนการประณามกันไปทั่วประเทศเช่นนี้
เพราะในเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังไม่ได้รับการพิจารณาตัดสินจากศาลว่ามีความผิด พ.ต.ท.ทักษิณก็ยังคงเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ จึงไม่สมควรที่จะมาออกหมายจับมาประณามกัน เพราะอย่างน้อย พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เคยเป็นนายกรัฐมนตรี เคยสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติไว้มากมาย ดังนั้นการจะกระทำการใดๆ ก็น่าจะให้เกียรติกันบ้าง
พวกตนจึงอยากฝากไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่า ถึงแม้ท่านจะไม่ผิดที่กระทำการเช่นนี้ เพราะท่านมีอำนาจกฎหมายอยู่ในมือ แต่อย่างน้อยก็น่าจะคำนึงถึงความเหมาะสมด้วย ว่าคนที่เคยทำประโยชน์มากมายต่อประเทศ แล้ววันหนึ่งต้องลี้ภัยด้วยเหตุผลทางการเมือง เป็นเรื่องที่สมควรแล้วหรือที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะยอมเป็นเครื่องมือรับใช้เผด็จการ โดยการออกหมายจับทั้งๆ ที่ก็รู้ว่า สาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกดำเนินคดีก็เพราะถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง โดยกลุ่มอำนาจเผด็จการ
ทั้งนี้พวกตนเชื่อมั่นว่า หากประเทศไทยมีความเป็นประชาธิปไตยจริง ไม่มีทางเด็ดขาดที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะไม่กลับมาสู้คดี เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นคนมีเกียรติมีศักดิ์ศรี แต่ที่วันนี้ยังไม่กลับมาสู้ก็เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณรู้ดีว่า ไม่ว่าจะต่อสู้อย่างไรก็สู้ไม่ได้แน่ เพราะบ้านเมืองทุกวันนี้ยังมีอำนาจเผด็จการซ่อนอยู่ กระบวนการต่อสู้ในคดีความจึงไม่ได้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
ในช่วงท้ายรายการผู้ดำเนินรายการได้กล่าวถึง กรณีที่กระทรวงการต่างประเทศ ออกแถลงการณ์ ชี้แจงไปยังสถานทูตทั่วโลก ให้มีความเข้าใจตรงกันว่าระบบตุลาการของไทย ไม่มีการแทรกแซงใดๆ จากภายนอกเป็นองค์กรอิสระและกระบวนการคัดสรรบุคคลมาดำรงตำแหน่งตุลาการก็เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยอีกทั้งการพิพากษาคดีต่างๆ ก็เป็นไปด้วยความยุติธรรมตามรัฐธรรมนูญนั้น พวกตนมองว่าเป็นเรื่องที่น่าขันและไม่รู้ว่าจะมีการออกแถลงการณ์ดังกล่าวไปทำไมให้ชาวโลกเขาหัวเราะเยาะเพราะไม่ว่าอย่างไร ทั่วโลกก็รู้อยู่ดี ว่าบ้านเมืองของเราตกอยู่ภายใต้อำนาจเผด็จการ ไม่มีความเป็นประชาธิปไตยอยู่เลย
ด้านนายก่อแก้ว หนึ่งในผู้ดำเนินรายการจึงได้กล่าวเสริมขึ้นว่า ตนคิดว่าสาเหตุที่กระทรวงการต่างประเทศ ต้องออกแถลงการณ์ดังกล่าว ก็คงเนื่องมาจากการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกแถลงการณ์ว่า ระบอบตุลาการของไทยถูกแทรกแซง และปฏิบัติแบบ 2 มาตราฐาน ซึ่งเป็นเรื่องที่หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ว่าทำให้ประเทศไทยอับอายและเสียชื่อเสียงนั่นเอง ดังนั้นตนจึงอยากตั้งคำถามกลับไปยังคนที่กล่าวเช่นนั้นว่า “ท่านจะอับอายอะไรกับความจริง ถ้าจะอายทำไมท่านไม่อายที่ปล่อยให้ขบวนการนี้เกิดขึ้น แล้วตอนที่ขบวนการรัฐประหารเกิดขึ้น ท่านอยู่ที่ไหน ทำไมเพิ่งมาอายตอนนี้” นายก่อแก้ว กล่าว
ทั้งนี้ ผู้ดำเนินรายการทั้ง 3 คน ได้มุ่งปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณอย่างไม่สนใจใยดีกับข้อเท็จจริงในเรื่องกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม โดยไมได้อธิบายว่า การที่ พ.ต.ท.ทักษิณอ้างว่าศาลไทยถูกแทรกแซงนั้น เหตุใด พ.ต.ท.ทักษิณจึงยังคงใช้ศาลไทยในการฟ้องร้องดำเนินคดีกับฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะกับแกนนำพันธมิตรฯ ที่ถูก พ.ต.ท.ทักษิณฟ้องรวมจำนวนหลายสิบคดี
นอกจากนั้น การที่ผู้ดำเนินรายการ ไม่เห็นด้วยกัยการที่ตำรวจออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณและภรรยานั้น แสดงว่าไม่ยอมรับกฎหมาย หรือไม่เช่นนั้นก็ต้องการที่จะให้ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่เหนือกฎหมาย ขณะเดียวกันฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณเองพยายามใช้แง่มุมด้านกฎหมายเล่นงานฝ่ายตรงข้ามมาโดยตลอด ทั้งกรณีการออกหมายจับนายสมเกีรยติ พงษ์ไพบูลย์ ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ทั้งที่กล่าวพาดพิงถึง ร.ร.ราชวินิตเพียงเล็กน้อย และกรณีที่ออกหมายจับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเช่นกัน กรณีปราศรัยเรียกร้องให้ตำรวจดำเนินคดีกับ"ดา ตอร์ปิโด"ที่พูดจาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ขณะเดียวกัน กรณ๊ที่ผู้ดำเนินรายการทั้ง 3 อ้างว่าประเทศไทยยังอยู่ใต้เงาเผด็จการนั้น กลับไม่อธิบายว่า ผู้กุมอำนาจรัฐในปัจจุบันก็คือพรรคการเมืองที่เป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณนั่นเอง ดังนั้นจึงเกิดความคลุมเครือว่าเผด็จการที่ผู้ดำนเนินรายการอ้างถึงนั้นคือใครกันแน่