xs
xsm
sm
md
lg

แทบอ้วก! “ไข่แม้ว” ดมก้น “นายใหญ่” สุดที่รักของ ปชช.-อ้างเผ่นอังกฤษ รอกลับมาสู้อย่างสมเกียรติ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อดีตแกนนำ นปก.เชิดชู “แม้ว” เป็นนายกฯสุดที่รักของ ปชช.ทำผลงานต่อชาติไว้มาก ต่างกับ ปชป.ที่ไม่เคยมีผลงานให้เห็น เผยหาก “นายใหญ่” ลี้ภัยจริง ก็ถือเป็นการถอยเพื่อกลับมาสู้ใหม่ ขู่ ป.ป.ช.ไม่คืนเงิน 6 หมื่นล้านให้นายใหญ่ ถือเป็นการปล้นประชาชน โอ่รัฐนาวาหุ่นเชิดแน่นปึ๊ก อยู่ครบ 4 ปีแน่

วันนี้ (13 ส.ค.) รายการเพื่อนพ้องน้องพี่ พีทีวีภาคพิเศษ ออกอากาศทางโทรทัศน์ดาวเทียมเอ็มวี 5 ดำเนินรายการโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นายก่อแก้ว พิกุลทอง หนึ่งในผู้บริหารสถานีโทรทัศน์พีทีวี ซึ่งเนื้อหาในรายการ ยังคงเน้นไปที่การกล่าวถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หลบหนีไปยังประเทศอังกฤษ โดยไม่มารายงานตัวต่อศาลฎีกาในคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ ตามกำหนดในวันที่ 11 ส.ค.

เริ่มจากากการกล่าวยกย่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า เป็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นคนดีและขยัน มีความเป็นนักปฏิรูปอยู่ในตัว ทำให้กลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่เป็นที่รักของประชาชนส่วนใหญ่ เพราะมีผลงานที่ปรากฎอย่างชัดเจนเป็นจำนวนมาก ทั้ง โครงการประกันสุขภาพ 30 บาทรักษาทุกโรค กองทุนหมู่บ้าน นโยบายปราบปรามยาเสพติด นโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพล และอีกมากมาย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เองทำให้คนไทยจำนวนมาก ยังมีภาพ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ดีอยู่ในใจ

ทั้งนี้ เห็นได้ชัดว่า เป็นการโฆษณาชวนเชื่อให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ โดยให้ข้อมูลเพียงด้านเดียว เพราะผลงานต่างๆ ของ พ.ต.ท.ทักษิณที่กล่าวมานั้น ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริง โครงการ 30 บาทก็ทำให้เกิดปัญหาการรักษาที่ไม่มีคุณภาพ และผลักดันคนไข้ที่มีรายได้สูงไปใช้บริการโรงพยาบาลเอกชนซึ่งเป็นธุรกิจที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้ซื้อกิจการไว้หลายแห่ง โครงการกองทุนหมู่บ้านที่ทำอย่างเร่งรีบโดยไม่ให้ความรู้ด้านการจัดการแก่ประชาชนทำให้เม็ดเงินที่ลงไปส่วนใหญ่สูญเปล่าไปกับการซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็นและไม่ก่อให้เกิดการผลิตนอกจากเพิ่มหนี้ให้กับประชาชนชาวรากหญ้าเท่านั้น ส่วนการปราบปรามยาเสพติดที่เน้นการใช้ความรุนแรงก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน ประชาชนที่ไม่เกี่ยวข้องถูกฆ่าตายหลายพันคน แต่ตัวการค้ายาเสพติดรายใหญ่ไม่ถูกฆ่าแม้แต่คนเดียว ทำให้ยาเสพติดไมได้หมดไปอย่างแท้จริง ส่วนนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลก็เป็นเพียงฉากหน้าที่จะบีบให้ผู้มีอิทธิพลท้องถิ่นหันมาอยู่กับ พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น ไม่ได้ปราบปรามผู้มีอิทธิพลให้หมดไปอย่างแท้จริงแต่ประการใด

ผู้ดำเนินรายการ ยังกล่าวต่อไปว่า จนถึงวันนี้ยังไม่มีความชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะขอลี้ภัยทางการเมืองหรือไม่ แต่หาก พ.ต.ท.ทักษิณ จะขอลี้ภัยจริง ก็ไม่แปลก เพราะเรื่องของการลี้ภัยทางการเมืองถือเป็นเรื่องที่ธรรมดามาก ในสายตาชาวโลก เพราะในเมื่อการต่อสู้ในกระบวนการทางศาลในประเทศไม่ได้รับความยุติธรรม การลี้ภัยไประยะหนึ่ง ก็ถือเป็นการถอยตามยุทธศาสตร์การต่อสู้ เพื่อที่เมื่อกลับมา จะได้ต่อสู้อได้ย่างเต็มภาคภูมิ

ซึ่งประเด็นนี้ ผู้ดำเนินรายการไม่ได้พูดถึงความเป็นไปได้ว่า แท้จริงแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ จะสามารถขอลี้ภัยได้จริงหรือไม่ เพราะโดยข้อเท็จจริง พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้หนีไป เพราะปัญหาทางการเมือง แต่หนีไปเพราะถูกดำเนินคดีอาญา กรณีการคอร์รัปชั่นต่างหาก

ด้าน นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ในฐานะที่ตนเป็นรองโฆษกรัฐบาล ก็จะขอกล่าวถึงเรื่องเสถียรภาพของรัฐบาลสักนิด ว่าหลังการเดินทางไปของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มีหลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์กันว่า เสถียรภาพของรัฐบาลเริ่มสั่นคลอนแล้วนั้น ตนขอปฏิเสธว่า ไม่เป็นความจริง เพราะวันนี้รัฐบาลกลายเป็นรัฐบาลที่มีความอบอุ่น พรรคร่วมรัฐบาลต่างมีความแนบแน่นสามัคคี ซึ่งดูแนวโน้มแล้วก็รู้สึกได้ว่ามีอนาคตที่ดีที่จะสามารถดำรงตำแหน่งได้ครบวาระ

นอกเสียจากว่าจะเกิดอุบัติเหตุที่คนบางกลุ่มวางกับดักไว้ เช่น การยุบพรรค หรือการตรวจสอบคุณสมบัติของนายกรัฐมนตรีในกรณีการจัดรายการชิมไปบ่นไป แต่หากไม่มีอุบัติเหตุเหล่านี้ก็เชื่อว่า รัฐบาลชุดนี้จะเดินไปข้างหน้าจนครบเทอมแน่นอนจึงขอให้ประชาชนวางใจได้ แต่ที่จะต้องคิดหนักก็เห็นจะเป็นกลุ่มพันธมิตรฯ เท่านั้นที่จากนี้คงต้องคิดหนักว่าจะเดินต่อไปอย่างไร จะหาเงินทุนที่ไหนมาชุมนุมต่อ และที่สำคัญหากจะหยุดชุมนุมจะหยุดด้วยวิธีไหนที่จะทำให้ไม่เสียหน้า

เป็นที่น่าสังเกตว่า นายณัฐวุฒิ ยอมรับว่า เสถียรภาพของรัฐบาลชุดนี้ขึ้นอยู่กับ คดียุบพรรค และการตรวจสอบคุณสมบัตินายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง โดยมีช่องทางเดียวที่จะอยู่รอดได้คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น ซึ่งเป็นประเด็นที่พันธมิตรฯ คัดค้านมาแต่แรก เพราะฉะนั้นหากรัฐบาลชุดนี้ยังพยายามที่จะแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดต่อไปได้ พันธมิตรฯ ก็ยังคงมีความชอบธรรมที่จะจัดการชุมนุมต่อไป

นายณัฐวุฒิ กล่าวด้วยว่า นอกจากตนจะมองเห็นแน้วโน้มที่ดีของรัฐบาลแล้ว ตนยังเห็นแนวโน้มที่ดีภายในพรรคพลังประชาชนด้วย เพราะตอนนี้กลุ่มก้อนต่างๆ ภายในพรรคพลังประชาชน ก็มีการรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น นั่นเพราะหลังจากภายในพรรคได้มีการพูดคุยกันแล้วสมาชิกพรรคก็มีความเข้าใจอันดีต่อกันมากขึ้น

ส่วนเรื่องการแยกตัวออกจากพรรคนั้น ต้องบอกได้เลยว่าเป็นไปได้อยาก เพราะเหล่า ส.ส. ต่างรู้ดีว่า หากเลือกตั้งครั้งต่อไปไม่ได้เป็นผู้สมัครในนามของพรรคพลังประชาชน ก็เป็นเรื่องยากที่จะได้รับเลือกตั้งเข้ามาอีก นั่นเพราะประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือและภาคอีสาน นอกจากจะยึดติดกับนโยบายที่ดีของพรรคไทยรักไทยเก่าแล้ว ยังยึดติดกับตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ อีกด้วย

ทั้งนี้ คำกล่าวของนายณัฐวุฒิดังกล่าว เป็นการกลบเกลื่อนปัญหาที่แท้จริงที่เกิดขึ้นในพรรคพลังประชาชนในขณะนี้ ซึ่งแต่เดิมก็มีการแบ่งเป็นกลุ่มต่างๆ อยู่แล้ว ยิ่งเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณหนีไปอยู่ประเทศอังกฤษ ซึ่งจะทำให้การดูแลส่งการทำได้ยากขึ้น จึงมีกระแสข่าวว่า ส.ส.บางส่วนจะแยกตัวออกไป ขณะเดียวกัน นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรค ก็จะพยายามทำตัวเป็นหัวหน้าพรรคตัวจริงมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดความขัดแย้งกับกลุ่มที่ยังภักดีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่

นายวีระ กล่าวเสริมว่า นโยบายของพรรคพลังประชาชนนั้น ดำเนินการต่อเนื่องมาจากแนวนโยบายที่ดีของพรรคไทยรักไทย จึงทำให้ประชาชนยอมรับและเชื่อในผลงาน ซึ่งต่างจากพรรคพลังประชาธิปัตย์ ที่มีนโยบาย กับการปฏิบัติจริงแตกต่างกัน เพราะบ่อยครั้งที่นโยบายที่สวยหรูของพรรคประชาธิปัตย์นั้นไม่สามารถทำได้จริง เห็นได้จากถึงแม้พรรคประชาธิปัตย์จะตั้งมากว่า 60 ปี ได้เป็นฝ่ายบริหารมาก็มาก แต่แทบไม่มีผลงานใดที่ปรากฎชัดเจนเลย หากเทียบกับพรรคพลังประชาชน

อย่างไรก็ตาม นายวีระ ไม่ได้บอกว่า สาเหตุที่พรรคไทยรักไทยหรือพลังประชาชนประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งนั้นมาจากนโยบายการใช้เงินเป็นใหญ่ ด้วยการทุ่มงบประมาณผ่านโครงการประชานิยมต่างๆ โดยยอมเสี่ยงกับการเสียวินัยทางการเงินและหนี้สาธารณะรวมทั้งหนี้ในครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกฯ

นายวีระ ยังกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์ยังเป็นพรรคที่นิยมการรัฐประหาร เป็นพรรคที่ชอบที่จะใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา มากกว่าที่จะแก้ปัญหาตามระบอบประชาธิปไตย อย่างที่เขาเคยหาเสียงเอาไว้ ซึ่งแม้พรรคประชาธิปัตย์จะเคยออกมากล่าวหลังเหตุการณ์รัฐประหารว่า จุดยืนของพรรคประชาธิปัตย์ ก็คือ การไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร แต่ก็เป็นแค่เพียงคำพูดเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติจริงแล้ว พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยทำอะไรที่บ่งบอกถึงการต้อต้าน หรือต่อสู้กับอำนาจรัฐประหารเลยแม้แต่ครั้งเดียว ดังนั้นจึงไม่แปลกหากทุกวันนี้ประชาชนจะไม่ศรัทธาในพรรคประชาธิปัตย์อีก

กรณีที่ นายวีระ กล่าวหาว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นพรรคนิยมการรัฐประหารนั้น นายวีระกลับไม่กล้าวิจารณ์นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชนเอง ซึ่ง นายวีระ ก็เคยประกาศตัวเป็นศัตรูมาก่อน เพราะนายสมัครนั้น ได้ดิบได้ดีกับการรัฐประหารมาตั้งแต่การยึดอำนาจเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ซึ่งนายสมัครได้เป็น รมว.มหาดไทย ขณะอายุ 40 ต้นๆ หลังการยึดอำนาจของ รสช.เมื่อปี 2534 และจัดให้มีการเลือกตั้งปี 2535 นายสมัครก็เข้าร่วมรัฐบาลที่มี พล.อ.สุจินดา คราประยูร แกนนำ รสช.เป็นนายกรัฐมนตรี โดยนายสมัครได้เป็นรองนายกฯ

ในช่วงท้ายรายการผู้ดำเนินรายการยังได้กล่าวถึงกรณีที่ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้มีมติเป็นเอกฉันท์ 9 เสียงว่า ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจยกเลิกคำสั่งอายัดทรัพย์สินของ คตส.จึงทำการอายัดทรัพย์ต่อไปว่าเป็นการกล่าวอย่างไม่นึกถึงใจคนอื่น ไม่คิดจะคืนทรัพย์สินคนอื่น ซึ่งถือว่าไม่ยุติธรรม แล้วอย่างนี้จะให้ใครเชื่อถือได้อีก และสิ่งนี้เองที่เป็นอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า กระบวนการยุติธรรมปฏิบัติแบบ 2 มาตรฐาน เพราะจากข้อเท็จจริงแล้วทรัพย์สินดังกล่าวที่ถูกอายัดไว้ โดยเฉพาะในส่วนของมูลค่าหุ้นนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ มีทรัพย์สินเหล่านั้นมาตั้งแต่ก่อนเข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทรัพย์สินดังกล่าวจึงเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณอย่างถูกต้อง ดังนั้น การที่ ป.ป.ช.ยึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็คือ การปล้นทรัพย์สินของประชาชนนั่นเอง

ผู้ดำเนินรายการกล่าวด้วยว่า สิ่งที่พวกตนพูดนี้ ไม่ได้พูดเพราะเข้าข้าง พ.ต.ท.ทักษิณ เพียงแต่พูดไปตามหลักของความเป็นจริง เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็เป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่ง ดังนั้นเมื่อไม่ได้รับความยุติธรรม พวกตนจึงต้องออกมาเรียกร้อง และอยากเตือน ป.ป.ช.ไว้ด้วยว่า การจะกระทำการสิ่งใด ต้องคำนึงถึงความถูกต้องด้วย เพราะสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกกระทำในวันนี้นั้น มันเกินที่จะทนแล้ว แล้วยังทำให้มันเกินทน ยิ่งไปกว่านี้ ประชาชนอาจจะทนไม่ไหวแล้วลุกฮือขึ้นมาต่อต้านก็ได้

เห็นได้ชัดว่าประเด็นการอายัดทรพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้น ผู้ดำเนินรายการได้บิดเบือนข้อมูลอย่างหน้าตาเฉย เพราะมูลค่าทรัพย์สินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีก่อนที่จะเป็นายกฯ นั้น มีเพียงประมาณ 2 หมื่นล้านบาทเท่านั้น และจากขึ้นมาเป็นายกรัฐมนตรีได้ออกนโยบายต่างๆ เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจในเครือให้มีกำไรและมีมูลค่าหุ้นที่สูงขึ้น และสามารถขายหุ้นชินคอร์ป ได้ถึง 73,300 ล้านบาท โดยที่ทำให้รัฐเสียผลประโยชน์ ถือเป็นการใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของตัวเองจนร่ำรวยผิดปกติ
นายวีระ มุสิกพงษ์
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
นายก่อแก้ว พิกุลทอง
กำลังโหลดความคิดเห็น