“สามเกลอหัวเกรียน” ไม่รู้สำนึก เดินหน้าใช้ทีวีของรัฐสร้างความแตกแยกต่อ จี้ตำรวจจับ “โพธิรักษ์” ข้อหาแต่งกายเลียนแบบสงฆ์และร่วมขับไล่รัฐบาล พร้อมเดินหน้าด่า ป.ป.ช.ต่อ อ้างเป็นองค์กรทรยศหักหลังประชาชน ขู่ให้หยุดทำหน้าที่ทันทีก่อนถูกชุมนุมขับไล่ - “ตู่” ผวาพรรคแตก เตือนพวกเลิกกัดกันเอง รีบแก้ รธน.ดีกว่า อ้างยุบพรรคเรื่องเล็ก ไม่แก้ รธน.เรื่องใหญ่
วานนี้ (19 ส.ค.) รายการความจริงวันนี้ ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ดำเนินรายการโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย โดยมี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนัก นายกรัฐมนตรี และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชนเป็นแขกรับเชิญประจำรายการ
โดยที่เนื้อหาในรายการช่วงแรกยังคงต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว นั่นคือการโจมตีสำนักสันติอโศก และสมณะโพธิรักษ์ ว่าเคยถูกมหาเถรสมาคมตัดสินแล้วว่ามีความผิดจริงทั้งในเรื่องเจตนาล่วงเกินพระวินัย จึงต้องอาบัติถึงขั้นปาราชิก นั่นคือไม่มีความเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนาอีกต่อไป ดังนั้น หากใครจะไปกราบไหว้คนประเภทนี้ตามกลุ่มพันธมิตรอีก ก็ต้องรู้ไว้ด้วยว่าคนประเภทนั้นไม่ใช่พระ
ทั้งนี้ ผู้ดำเนินรายการยังคงให้ข้อมูลด้านเดียวที่เป็นประโยชน์ต่อการโจมตีสันติอโศก เพราะไมได้พูดถึงจุดเริ่มต้นของปัญหา ที่มาจากความหย่อนยานในพระธรรมวินัยของพระสงฆ์โดยทั่วไป ทำให้สมณะโพธิรักษ์ต้องขอแยกตัวออกจากคณะสงฆ์ไทย และไม่ยอมอยู่ใต้มหาเถรสมาคม นำมาซึ่งการถูกสั่งให้ขาดจากความเป็นพระในที่สุด
นอกจากนี้ยังอ้างว่าหลังจากที่พวกตนได้นำเสนอเรื่องสำนักสันติอโศก และสมณะโพธิรักษ์ ไปแล้ว สื่อเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ได้นำเสนอเรื่องดังกล่าวโดยไม่ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาว่าสำนักสันติอโศกถูกตัดสินว่าผิดจริงจากศาล และมหาเถรสมาคม นั้นคงเพราะเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องจริงจึงไม่ได้โต้เถียงมา แต่กระนั้นสื่อผู้จัดการออนไลน์ ก็ยังมีการกล่าวอ้างด้วยว่า หลังจากสำนักสันติอโศก มาเข้าร่วมขับไล่อดีตรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร เมื่อครั้งก่อนการรัฐประหารแล้ว ก็ถูกโจมตีเรื่อยมา
นายวีระกล่าวว่า การที่สื่อผู้จัดการยังระบุเองว่า สมณะโพธิรักษ์ และสำนักสันติอโศก เข้ามาร่วมกิจกรรมทางการเมืองนี้เอง ที่เป็นการบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า สมณะโพธิรักษ์ ทำตัวเกี่ยวข้องกับการเมืองอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งผิดอย่างยิ่งต่อระเบียบวินัยของสงฆ์ ไม่มีความน่าเลื่อมใสตามแบบของสงฆ์ในศาสนาพุทธที่ควรจะพึงมี
นอกจากนี้ นายวีระได้กล่าวตำหนิเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ไม่เร่งดำเนินคดีสมณะโพธิรักษ์ในข้อหาแต่งกายเลียนแบบพระสงฆ์ ที่มีผู้ไปแจ้งความไว้ตั้งแต่ปี 2549 โดยได้ตำหนิเจ้าหน้าที่ทุกระดับชั้นไปจนถึงนายกรัฐมนตรีที่ปล่อยปละละเลยเรื่องนี้
ทั้งนี้ การกล่าวของนายวีระได้บิดเบือนและจงใจให้เกิดการเข้าใจผิดว่า การที่สำนักสันติอโศกโดยมูลนิธิกองทัพธรรมให้การสนับสนุนการชุมนุมของพันธมิตรฯ นั้นเป็นเรื่องของการทำผิดที่มีความพยายามจะปกปิดเอาไว้ ทั้งที่โดยข้อเท็จจริงแล้ว มูลนิธิกองทัพธรรมได้ประกาศตัวอย่างชัดเจนในการสนับสนุนพันธมิตรฯ มาตั้งแต่ปี 2549 และสมณโพธิรักษ์ได้ขึ้นเทศนาบนเวทีพันธมิตรฯ หลายครั้ง และมีสมณะของสันติอโศก คือ สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ หรือ ท่านจันทร์ มาร่วมสนทนาธรรมบนเวทีพันธมิตรฯ ทุกเช้า
นอกจากนี้ การเข้าร่วมสนับสนุนพันธมิตรฯ ก็ไม่ได้เข้าข่ายการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะพันธมิตรฯ ไม่ใช่พรรคการเมืองและไม่ได้หวังผลตำแหน่งทางการเมือง แต่เป็นเพียงการรวมกลุ่มของประชาชนที่ต้องการขับไล่นักการเมืองเลวให้ออกไป และอยากเห็นการเมืองใหม่ที่นักการเมืองมีคุณธรรมจริยธรรมเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเปรียบกับการจัดกิจกรรมของสำนักสงฆ์ธรรมกายแล้ว ธรรมกายน่าจะเข้าข่ายยุ่งเกี่ยวกับการเมืองมากกว่า เพราะเคยถูกใช้เป็นที่จัดกิจกรรมของพรรคไทยรักไทยหลายครั้ง นอกจากนี้ล่าสุดมีการตระเวนจัดพิธีตักบาตรพระ 1,111 รูป ตามจังหวัดต่างๆ ซึ่งถูกมองว่าเป็นการทำบุญให้อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย 111 คน ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองด้วย
นอกจากนี้ ยังวิพากษ์วิจารณ์ว่า วัดธรรมกายเป็นวัดที่สร้างใหญ่โตเกินไป ระดมทุนมาก ทำเป็นรูปแบบธุรกิจ และมีผลประโยชน์แอบแฝง เป็นวัดที่ไม่เหมือนวัดไทยทั่วๆ ไป หรือแม้กระทั่งเป็นวัดพุทธพาณิชย์ บิดเบือนพุทธพจน์สอนว่านิพพานเป็นอัตตา รวมทั้งอวดอุตริมนุสธรรมโดยการอ้างว่าถวายข้าวพระพุทธเจ้าในแดนนิพพาน แต่ผู้ดำเนินรายการไม่ได้กล่าวถึงความผิดของวัดนี้แม้แต่น้อย
ต่อมาผู้ดำเนินรายการ ได้กล่าวว่า มีเรื่องที่จะทำให้ประชาชนรู้ความจริงเกี่ยวกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มาฟ้องพี่น้องประชาชน นั่นคือ พวกตนมีหลักฐานที่แสดงได้ว่า ป.ป.ช.โกหก ไม่ซื่อสัตย์ ไม่จริงใจต่อประชาชน และกระทำการอย่างเลือกปฏิบัติ
โดยนายณัฐวุฒิได้กล่าวถึงเรื่องนี้ด้วยสีหน้าที่กระหยิ่มยิ้มย่องเหมือนเด็กได้ของเล่น และประกาศว่าเรื่องนี้จะเป็นการเทหมดหน้าตัก เพื่อเดิมพันความอยู่รอดของรายการนี้เลยทีเดียว
นายณัฐวุฒิอ้างว่า เมื่อวันที่ 2 ก.ค.51 นายวีระ มุสิกพงศ์ หนึ่งในผู้ดำเนินรายการได้เดินทางไปยื่นหนังสือทวงถามต่อ ป.ป.ช. ถึงความคืบหน้าคดีการทุจริตขององค์การเพื่อการปฏิรูประบบสถานบันการเงิน (ปรส.) ที่มีความเสียหายต่อประเทศชาติกว่า 5-6 แสนล้านบาทโดยเร็ว หลังจากที่กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือ ดีเอสไอ สรุปสำนวนส่งต่อ ป.ป.ช.เมื่อปี 2550 โดยมีการชี้มูลความผิดนายชวน หลีกภัย อดีนนายกรัฐมนตรี และนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ อดีต รมว.คลัง ในรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ด้วย ทั้งนี้เมื่อยื่นหนังสือไปแล้ว ทาง ป.ป.ช. ก็ทำหนังสือตอบกลับมายังนายวีระ ในวันที่ 9 ก.ค.51 ว่าคดีดังกล่าว กำลังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวน เมื่อเป็นเช่นนั้น นายวีระก็ไม่ได้ติดใจอะไรอีก แต่เมื่อไม่นานมานี้พวกตนได้พบหลักฐานว่า ประธาน ป.ป.ช. เพิ่งมีหนังสือแต่งตั้งคณะทำงานคดี ปรส. ซึ่งลงวันที่ 14 ก.ค. 51
ดังนั้นจึงทำให้พวกตนรู้ว่า แท้จริงแล้ว ป.ป.ช.โกหก เพราะ ป.ป.ช.ทำหนังสือตอบนายวีระเมื่อ 9 ก.ค. ว่าคณะกรรมการกำลังทำการสอบสวนอยู่ แต่คณะกรรมการชุดดังกล่าวเพิ่งได้รับการแต่งตั้งเมื่อ 14 ก.ค.
จึงสรุปได้ว่า ป.ป.ช. กำลังโกหกประชาชน และละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องรักษาผลประโยชน์ของบ้านเมือง คือการไม่ยอมเร่งดำเนินการคดี ปรส. ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองถึง 4-5 แสนล้านบาท ปล่อยให้ระยะเวลาเนิ่นนานออกไป
ผู้ดำเนินรายการได้เหน็บแนม ป.ป.ช.ว่าหากนายวีระ ไม่ทำหนังสือไปทวงถาม ป่านนี้ก็คงยังไม่มีการดำเนินการใดๆ และอาจเก็บคดีนี้ดองเอาไว้ เพื่อหวังในคดีความหมดอายุความ จนไม่ต้องดำเนินการใดๆ ก็ได้ การกระทำเช่นนี้ของ ป.ป.ช.จึงเป็นเหมือนกับการทรยศ ประชาชน “ท่าน ป.ป.ช. ท่านทรยศ ท่านหักหลังพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ”
พวกตนจึงต้องมาจัดรายการนี้ แล้วฟ้องไปยังพี่น้องประชาชนให้ได้รู้ว่า ป.ป.ช.ชุดนี้ไม่ได้มีความสง่างาม หรือความชอบธรรมที่จะทำหน้าที่ต่อไปแล้ว ควรจะเก็บกระเป๋าแล้วยุติการทำงานเสีย แต่หาก ป.ป.ช.ยังดึงดันที่จะทำงานต่อไป พวกตนทั้ง 3 ก็ต้องบอกว่า จะไม่ไว้วางใจให้ ป.ป.ช.ทำหน้าที่อีกต่อไปแล้ว และขอเชิญชวนให้พี่น้องประชาชน ออกมาแสดงให้เห็นว่า ป.ป.ช.ควรทำหน้าที่ต่อไปหรือไม่ จะแสดงออกด้วยวิธีการใดก็แล้วแต่
แต่อย่างไรก็ตาม พวกตนคิดว่าประชาชนคงอดทนต่อ ป.ป.ช.ชุดนี้ไม่ไหวอีกแล้ว เพราะหลักฐานที่พวกตนนำมาแสดงในวันนี้ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า การทำหน้าที่ของ ป.ป.ช.ชุดนี้ไร้มาตรฐานอย่างสิ้นเชิง และก็ไม่ได้ทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา อย่างที่ ป.ป.ช.เคยกล่าวอ้างด้วย ดังนั้น ป.ป.ช.อาจจะไม่ต้องลาออกเพราะไม่ได้เป็นอยู่แล้ว ให้เก็บกระเป๋าแล้วเดินออกไปทันทีพร้อมกับคืนเงินเดือนด้วย เพราะพี่น้องประชาชนอาจจะทนไม่ไหว
ทั้งนี้ นายวีระ ซึ่งเป็นอดีต นปก.ที่เคยนำพรรคพวกไปก่อจลาจลที่หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ กล่าวว่า ขอให้ ป.ป.ช.ทั้ง 9 คนออกไปเสียเถอะ ตนไม่สนับสนุนให้ใช้วิธีการเดินขบวนขับไล่ แต่ถ้ามันจะเกิดใครจะไปห้ามได้ มันเป็นเรื่องการปฏิบัติของทั้ง 9 ท่านเอง
ด้าน นายจตุพร อ้างว่า สิ่งที่พวกตนนำมากล่าวในวันนี้ คงจะเป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่า สาเหตุที่ ป.ป.ช.จึงมีการการตั้งคณะกรรมการ ขึ้นมาสอบสวนอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ กรณีที่ปล่อยให้มีการออกอากาศรายการความจริงวันนี้ ก็เพราะ ป.ป.ช.กลัวว่าหากรายการนี้ยังออกอากาศต่อไป ก็จะทำการเปิดโปง เรื่องความไม่ชอบธรรม และการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของ ป.ป.ช. ต่อไปซึ่งอาจจะส่งผลเสียต่อองค์กรของตัวเอง จึงต้องรับทำการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนเอาผิดโดยเร็ว ซึ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับการดำเนินคดีของ ปรส.ที่ปล่อยเรื่องให้เนิ่นนามมากว่า 1 ปีโดยไม่ยอมกระทำการใดๆ เลย รอให้นายวีระไปยื่นหนังสือจึงตั้งอนุกรรมการ
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า กรณีที่ ป.ป.ช.รีบแต่งตั้งกรรมการสอบอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ แต่ละเลยเรื่อง ปรส.แสดงให้เห็นชัดเจนว่า เพราะ ป.ป.ช.ห่วงแต่เองของตัวเอง พอถูกรายการนี้เปิดโปง จึงตั้งกรรมการสอบ ทั้งที่เรื่อง ปรส.สร้างความเสียหายกว่า 6.5 แสนล้าน ขณะที่ รายการความจริงวันนี้ ไม่ได้สร้างความเสียหายอะไรเลยนอกจากการถูกวิพากษ์วิจารณ์เท่านนั้น
ซึ่งเห็นได้ชัดว่า เป็นการกล่าวโดยให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน โดยเฉพาะประเด็นที่ว่า ป.ป.ช.ตั้งอนุกรรมการสอบอธิบดีปรมประชาฯ เพราะรายการความจริงวันนี้เปิดโปง ป.ป.ช.นั้น ในข้อเท็จจริงแล้ว รายการ"ความจริงวันนี้"เกิดขึ้นมาเพราะรัฐบาลถูก ป.ป.ช.ตรวจสอบต่างหาก เพราะเดิมในช่วงเวลาของรายการนี้เป็นช่วงของรายการ"ข่าวหน้าสี่" แต่ถูกเปลี่ยนผังมาเป็นรายการความจริงวันนี้อย่างกระทันหันหลังจาก ป.ป.ช.รับคำร้องของพันธมิตรฯ ที่ให้ดำเนินคดีเอาผิดกับ ครม.ทั้งคณะรวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ข้าราชการในกระทรวงต่างประเทศและกลาโหม แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาเรื่องเขาพระวิหารโดยขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 190 รวมทั้ง ป.ป.ช.ยังได้รับเอาคดีทุจริตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ทำค้างไว้ 10 กว่าคดี มาดำเนินการต่อด้วย ดังนั้น ตั้งแต่เปิดรายการความจริงวันนี้เมื่อต้นเดือน ส.ค.เป็นต้นมาจึงได้โจมตีและทำลายความน่าเชื่อถือ ของ ป.ป.ช.มาโดยตลอด
นอกจากนี้ การยกเอามูลค่าความเสียหายมาเปรียบเทียบว่ากรณี ปรส.สร้างความเสียหายมหาศาลกว่ารายการความจริงวันนี้นั้น ก็เป็นการเปรียบเทียบที่ไม่สมเหตุสมผล เพราะกรณี ปรส.นั้นตัวเลขที่อ้างว่าเสียหาย คือมูลค่าของทรัพย์สินที่ ปรส.ขายได้ต่ำกว่าราคาเดิม ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการขายทอดตลาดทรัพย์สินที่เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันหนี้เสียหลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ซึ่งนายธารินทร์เคยชี้แจงว่าการขายได้ในอัตราประมาณ 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ ถือเป็นอัตรามาตรฐานทั่วโลก
ส่วนความเสียหายที่เกิดจากรายการความจริงวันนี้นั้น แม้วัดไม่ได้เป็นตัวเงิน แต่เป็นความเสียหายในแง่ของการให้ข้อมูลข่าวสารที่เคลื่อนเคลื่อน ทำให้เกิดความเข้าใจผิด และนำมาซึ่งความแตกแยกวุ่นวายในสังคม ขณะเดียวกันรายการนี้ยังปกป้องการกระทำของรัฐบาลไปทุกเรื่อง ไม่เคยวิพากษ์วิจารณ์แม้แต่เรื่องเดียว ซึ่งขณะนี้รัฐบาลกำลังดำเนินโครงการเมกะโปรเจกต์ เท่าที่รวบรวมมูลค่าเบื้องต้นประมารณ 1.4 ล้านล้านบาท หากรัฐบาลชุดนี้กระทำการทุจริตแล้วมีรายการความจริงวันนี้คอยปกป้องก็จะสร้างความเสียหายมหาศาล
ในช่วงท้ายรายการ ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า ในวันนี้ถือเป็นวันครบรอบ 1 ปีของการลงประชามติ ซึ่งก็ต้องกล่าวถึงผลการลงประชามติสักนิดว่า การที่ผลลงประชามติเมื่อ 1 ปีที่แล้วออกมาว่า คนส่วนใหญ่โหวตรับร่าง รธน.นั้น ก็เพราะได้มีการโฆษณากันเอาไว้ว่า ให้รับร่าง รธน. ไปก่อน แล้วค่อยมาแก้ไขภายหลัง แต่มาจนวันนี้ก็ยังไม่มีการแก้ไข รธน. กันเลย ทั้งที่ระยะเวลา ล่วงเลยมาถึง 1 ปีแล้ว พวกตนจึงอยากเรียกร้องไปยังสภาผู้แทนราษฎรด้วย ว่าควรเร่งแก้ไข รธน.ตามความต้องการของประชาชนได้แล้ว
ถ้าไม่สามารถใช้ร่างที่คณะกรรมาธิการศึกษาฯ กำลังศึกษาอยู่ ก็ยังมีร่างที่เสนอโดย คปพร. นพโดย นพ.เหวง โตจิราการ และประชาชนที่เข้าชื่อกัน 20,000 คน ก็ควรที่จะนำบรรจุเข้าเป็นญัตติของสภาผู้แทนราษฎรเสียที อย่ามัวเสียเวลากันอีกเลย โดยเฉพาะในส่วนของพรรคพลังประชาชน ที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล ก็ควรจะเร่งเป็นแกนนำในการแก้ไข รธน. ได้แล้ว ส่วนปัญหายิบย่อย ที่ทะเลาะเบาะแว้งกันเองในพรรค หรือเรื่องยุบพรรคนั้น วันนี้ถือเป็นเรื่องเล็ก หากยุบก็หาพรรคใหม่สำรองได้ แต่หากมีการยุบพรรค ยุบสภา ทำการเลือกตั้งใหม่ แล้วยังต้องใช้ รธน.ฉบับเดิมโดยไม่มีการแก้ไข สิ่งนี้ต่างหากที่จะเป็นปัญหาที่ยิ่งใหญ่ต่อการบริหารบ้านเมืองต่อไป