xs
xsm
sm
md
lg

“เต้น-ตู่” ทำกลบเกลื่อน ท้า “เรืองไกร” เอาหลักฐานเงิน 20 ล้านมาโชว์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“จตุพร-ณัฐวุฒิ” สองคูหู่ อดีต นปก.ตีฝีปาก ผ่าน PTV อ้างไม่เคยกลัวที่ถูก “เรืองไกร” ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.สอบ กรณีแจ้งบัญชีทรัพย์สินมั่ว ท้า ถ้ามีหลักฐานให้เอามาแสดงได้เลย แต่ยืนยันจะไม่ยอมรับอำนาจการตรวจสอบของ ป.ป.ช.ที่ไม่ได้รับโปรดเกล้าฯ เด็ดขาด

วานนี้ (19 ส.ค.) รายการเพื่อนพ้องน้องพี่ พีทีวีภาคพิเศษ ออกอากาศทางโทรทัศน์ดาวเทียมเอ็มวี 5 ดำเนินรายการโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน

ซึ่งเนื้อหาในรายการช่วงแรก ผู้ดำเนินรายการได้ฉวยโอกาสดิสเครดิต พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ด้วยการกล่าวถึงมติคณะรัฐมนตรีในวันเดียวกันที่เห็นชอบหลักการร่างกฎกระทรวงที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เสนอตามความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อแก้ไขปัญหาการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจโดยมิชอบที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส เคยมีคำสั่งโยกย้ายข้าราชการตำรวจเอาไว้

โดยผู้ดำเนินรายการทั้ง 3 โจมตีว่า สิ่งที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ กระทำเอาไว้ ถือเป็นการสร้างปัญหาไว้ให้กับนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เป็นอย่างมาก เพราะจะต้องมาตามแก้ไขปัญหาว่า มีตำแหน่งใดบ้างที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ สั่งย้ายเอาไว้แล้วไม่เป็นธรรม ซึ่งก็มีหลายพันตำแหน่ง เรียกได้ว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ สร้างปัญหาไว้กองใหญ่ แล้วนายสมัค ก็ต้องมาตามล้างตามเช็ดแก้ปัญหาให้

ผู้ดำเนินรายการกล่าวต่อว่า จนถึงปัจจุบันคดีดังกล่าวก็ยังไม่มีข้อสรุปว่า พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ผิดจริงหรือไม่ เพียงแต่มีแนวโน้มว่าเห็นเค้าลางการกระทำความผิดอยู่ พวกตนจึงอยากร้องขอไปยังคณะกรรมการที่ทำการสอบสวนคดีดังกล่าวอยู่ว่าให้เร่งดำเนินการให้เสร็จ เพราะไม่เช่นนั้นจะนานเกินไปจนคนทั่วไปลืมเสียก่อน

ผู้ดำเนินรายการ ได้กล่าวเหน็บแนมว่า อยากให้คดีนี้ เป็นคดีตัวอย่างของสังคม ให้ได้รู้ว่า บางครั้งคนที่มีต้นทุนทางสังคมสูง และมีภาพลักษณ์ที่ดี อย่าง พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ อาจจะไม่ใช่คนดีจริง อย่างที่คนทั่วไปเข้าใจก็ได้

ในช่วงต่อมาผู้ดำเนินรายการ กล่าวว่า เนื่องในวันนี้เป็นวันครบรอบ 1 ปี ของการทำประชามติรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 โดยอ้างว่า สาเหตุที่คนไทยส่วนใหญ่ลงมติรับร่าง รธน.ปี 50 เป็นเพราะประชาชนส่วนใหญ่อยากจะรีบๆ รับ รธน.ให้ผ่านไปเสีย เพื่อที่จะให้กลุ่มรัฐประหารออกไปจากการบริหารประเทศ แล้วค่อยมาแก้ไขกันในวันข้างหน้า ดังนั้น การที่รัฐบาลผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในตอนนี้จึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และทำตามความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม ผู้ดำเนินรายการไม่ได้ให้ข้อมูลว่า กรณีที่รัฐธรรมนูญผ่านประชามติโดยมีผู้ลงคะแนนรับถึง 14.7 ล้านคนนั้น ถือเป็นความพ่ายแพ้ของพรรคพลังประชาชน เพราะในช่วงนั้นได้ประกาศตัวและจัดการรณรงค์อย่างชัดเจนในการไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ มีทั้งการตระเวนจัดเวทีตามจังหวัดต่างๆ การลงโฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์ นอกจากนี้ยังมีการใช้วิชามารทำใบปลิวปล่อยข่าวให้ข้อมูลผิดๆ เช่น หากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านประเทศไทยจะมีศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ จะมีการตั้ง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นพระมหากษัตริย์ ส.ส.จะไม่สามารถช่วยเหลือชาวบ้านได้ เป็นต้น ซึ่ง กกต.ได้ตั้งกรรมการสอบใบปลิวดังกล่าวแล้ว แต่จนขณะนี้ยังไม่มีความคืบหน้า เนื่องจากมีภาระกิจในการจัดเลือกตั้ง ส.ส.ในช่วงปลายปีก่อน

ต่อมา ผู้ดำเนินรายการยังได้กล่าวเรียกร้องให้ประชาชนทุกคนออกมาสนับสนุนให้มีการแก้ไข รธน.โดยเร็ว โดยให้เหตุผลว่า รธน.50 คือ ผลิตผลของคณะรัฐประหารเมื่อนำมาบริหารประเทศ ก็มีแต่ปัญหามากมายไปหมด รวมไปถึงได้แฝงอำนาจรัฐประหารของตัวเองไว้ตาม องค์กรกลางต่างๆ เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ซึ่งองค์กรต่างๆ เหล่านี้เองที่กำลังใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม ในการทำคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ พรรคพลังประชาชน

ทั้งนี้ เห็นได้ชัดว่า ผู้ดำเนินรายการจงใจบิดเบือนข้อมูลเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญดังกล่าว เพราะไม่ได้ให้ข้อมูลที่ชัดเจนว่าองค์กรอิสระเหล่านี้มีอำนาจเผด็จการแฝงอยู่อย่างไร โดยเฉพาะ กกต.นั้น กกต.ทั้ง 5 คน ได้รับการคัดเลือกจากวุฒิสภาก่อนการรัฐประหาร 19 ก.ย.แล้ว เพียงแต่ คมช.เข้ามาลงนามแต่งตั้งตามขั้นตอนเท่านั้น และผลจากการปฏิบัติงานของ กกต.ชุดนี้ที่ผ่านมา ก็จะพบว่า มีสายของพรรคพลังประชาชนแฝงอยู่ด้วยต่างหาก ส่วน ป.ป.ช.ทั้ง 9 คนนั้น มีที่มาจากศาล อัยการ ข้าราชการพลเรือนที่มีประวัติไม่ด่างพร้อย นักวิชาการ และคนที่ทำงานด้านการปราบปรามการทุจริตมาตลอด เช่น นายกล้านรงค์ จันทิก ซึ่งแต่ละคนไม่ใช่คนที่มีความใกล้ชิดกับ คมช.มาก่อน ขณะที่ผู้ว่าฯ สตง.นั้น คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ก็อยู่ในตำแหน่งมาก่อนที่จะมีการยึดอำนาจแล้ว

ด้าน นายจตุพร กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า เสียดายที่วันนี้ตนไม่ได้เข้าไปประชุมในพรรคพลังประชาชน เพราะหากตนเข้าไปก็คิดเอาไว้ว่า จะไปต่อว่าคนในพรรคเสียหน่อยว่า เหตุใดจึงไม่เร่งผลักดันให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาเก่งมาหยิ่งผยองใส่กัน มาทะเลาะกับคนในพรรคกันเองทำไม แค่ศัตรูนอกพรรคก็มีมากมายพอแล้ว ขืนยังมาสู้กันเองกับคนในพรรคอีก พรรคมีหวังล่มแน่

ดังนั้น ตนคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่พรรคพลังประชาชน จะต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ คือ เร่งผลักดันให้มีการแก้ไข รธน.โดยไม่จำเป็นต้องรอความเห็นจากคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาปัญหาการบังคับใช้เพื่อการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญปี 2550 อีก เพราะหากพรรคพลังประชาชนไม่ริเริ่ม พรรคร่วมรัฐบาลอื่นก็คงไม่รู้จะดำเนินการตามใคร และตนก็คิดว่าประเด็นนี้จะต้องนำมาพูดถึงเสียที เพราะตนเชื่อว่าประชาชนทั่วไปก็เบื่อเต็มทีแล้ว เนื่องจากประชาชนต่างหวังให้ ส.ส.เข้ามาแก้ไข รธน.แต่บรรดา ส.ส.กลับมาทะเลาะกันเองอย่างนี้เป็นสิ่งที่ใช้ไม่ได้

นายจตุพร ยังได้กล่าวถึง กรณีที่ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ได้ส่งจดหมายลงทะเบียนถึง ป.ป.ช.เพื่อขอให้ตรวจสอบตน และ นายณัฐวุฒิ ว่า มีการยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินถูกต้องหรือไม่ เนื่องจากสันนิษฐานว่า ตน และ นายณัฐวุฒิ อาจมีทรัพย์สินจากการโอนหุ้นของบริษัท เพื่อนพ้องน้องพี่ ซ่อนอยู่โดยไม่ได้แจ้งต่อ ป.ป.ช.

โดย นายจตุพร กล่าวว่า หากนายเรืองไกร ต้องการจะยื่นสอบสวนก็เชิญได้เลย ตนและนายณัฐวุฒิ ไม่ได้เกรงกลัว และเชื่อว่า สามารถชี้แจงข้อเท็จจริงต่าง ๆ ได้เสมอ เพียงแต่จะบอกไว้ก่อนว่าพวกตนไม่ยอมรับอำนาจของ ป.ป.ช.ชุดนี้ เพราะมีที่มาอย่างไม่ถูกต้อง เนื่องจากไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง

ด้าน นายณัฐวุฒิ กล่าวเสริมขึ้นว่า ตนก็อยากรู้เหมือนกันว่า นายเรืองไกร มีหลักฐานอะไรที่จะมากล่าวหาพวกตนว่ามีเงินเป็นสิบล้านซ่อนอยู่ ถ้ามีจริงก็ให้เอามาแสดงให้ตนดูหน่อย มาเจอกันตัวต่อตัวเลย ซึ่งตนกล้าท้าได้เลยว่าหากตรวจสอบแล้ว พบว่า ตนมีเงินอยู่ 20 ล้านจริง ไม่ว่าบัญชีไหน ไม่ว่าก่อนหรือหลังดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็ตาม ตนจะให้ยกเงินจำนวนดังกล่าวให้หมดเลย แต่ถ้าไม่เจอต้องเอาเงินมาให้ตน 20 ล้านด้วย

ทั้งนี้ การร้องเรียน ป.ป.ช.ของนายเรืองไกรดังกล่าว เป็นกรณีที่นายเรืองไกรตรวจสอบกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่านายณัฐวุฒิเคยถือหุ้นบริษัทเพื่อนพ้องน้องพี ที่เป็นเจ้าของพีทีวี จำนวน 2 แสนหุ้น มูลค่า 20 ล้านบาท ในช่วงต้นปี 2550 และได้แจ้งจำนวนหุ้นลดลง 1 แสนหุ้นในเอน มิ.ย. 50 และลดลงอีก 1 แสนหุ้นในเดือน ต.ค.50 ซึ่งประมาณว่า นายณัฐวุฒิน่าจะมีทรัพย์สินจากากรโอนหุ้นอยู่ 20 ล้านบาท

ขณะที่ นายจตุพร มีการถือหุ้นจำนวน 1 แสนหุ้น มูลค่า 10 ล้านบาท แต่วันที่ 31 ต.ค. 50 ได้แจ้งถือหุ้นลดลง 1 แสนหุ้น จึงเข้าใจได้ว่า นายจตุพรควรมีทรัพย์สินที่ได้จากการโอนหุ้น ณ ปลายปี 50 เป็นมูลค่าประมาณ 10 ล้านบาทเช่นกัน แต่นายจตุพรได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.ไว้เมื่อวันที่ 22 ม.ค.51 หลังเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.ว่ามีทรัพย์สินสุทธิเป็นจำนวนเงิน 5.3 ล้านบาทเศษ ซึ่งน้อยกว่ามูลค่าทรัพย์สินที่ควรได้จากการโอนหุ้นดังกล่าว

ดังนั้นนายเรืองไกรจึงยื่นให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบว่านายจตุพรได้ยื่นบัญชีทรัพย์สินอย่างถูกต้องหรือไม่ และตรวจสอบการเสียภาษีของทุ้งสองคนด้วย ว่าเป็นไปอย่างถูกต้องหรือไม่ ซึ่งผู้ดำเนินรายการทั้ง 2 คน ไมได้ชี้แจงในประเด็นเหล่านี้ นอกจากพูดจากลบเกลื่อนท้าให้นายเรืองไกรเอาหลักฐานมาเปิดเผยและอ้างว่าพวกตนไม่ยอมรับอำนาจของ ป.ป.ช.

“เรืองไกร” ชง ป.ป.ช.สอบคู่หู “เต้น-ตู่” แจ้งบัญชีเท็จ-เลี่ยงภาษี
นายจตุพร พรหมพันธุ์
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ
นายวีระ มุสิกพงษ์
กำลังโหลดความคิดเห็น