“ผมเป็นคนไทยคนหนึ่ง ยอมไม่ได้ที่สถาบันถูกท้าทาย ถูกจาบจ้วง เมื่อไม่มีใครกล้า ผมจึงต้องออกมาปกป้อง ไม่กลัวว่า จะถูกกดดันหรือกลั่นแกล้ง ถึงแม้ราชการประจำจะถูกนักการเมืองให้คุณให้โทษได้ เมื่อคิดถึงเรื่องหมิ่นสถาบันเป็นเรื่องที่ใหญ่ ถือเป็นเรื่องสำคัญกว่าทุกๆ สิ่ง ผมก็ต้องปกป้อง และอยากบอกเพื่อนข้าราชการ โดยเฉพาะข้าราชการตำรวจว่า หากเราไม่กล้า หรือปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนี้ บ้านเมืองเราจะเสียหาย สถาบันจะเสียหาย เราบอกว่าเราจงรักภักดี แต่ไม่ออกมาปกป้อง เราจะพูดได้เต็มปากหรือว่าเรารักสถาบัน”
ภายหลังจากที่ นายตำรวจยศ พ.ต.ท.ที่ไม่มีใครเคยรู้จักนาม พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี พนักงานสอบสวน สน.บางมด ช่วยราชการ สน.พหลโยธิน เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการกองปราบปราม ให้ดำเนินคดีต่อนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ในการปาฐกถาที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT) เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 นั้น หลายคนมองว่า เหตุใด พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ จึงกล้าที่จะแจ้งจับนายจักรภพ ที่ดำรงสถานะเป็นถึงรัฐมนตรี มีอำนาจเหนือกว่าข้าราชการระดับ พ.ต.ท.อย่างเทียบไม่ติด หรือว่าเขาจะเป็นหมูที่ไม่กลัวน้ำร้อนตัวจริง
ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์ จะพาไปค้นหาแนวคิด และรู้จักตัวตนที่แท้จริงของ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ผู้นี้ ผู้ที่มีความเป็น “คนไทย” เต็มเปี่ยมในสายเลือด ด้วยการพูดคุยแบบเปิดอกเปิดใจอย่างหมดเปลือก อีกทั้งหากว่า นายจักรภพ เพ็ญแข มีอันต้องกระเด็นจากตำแหน่งรัฐมนตรี และอาจถึงขั้นตายดับไปจากแวดวงสังคมและการเมืองไทย “พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์” ผู้นี้แหละ คือมือสังหาร “เจ๊เพ็ญ” ตัวจริง!
พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ บอกถึงกรณีที่เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ให้ดำเนินคดีต่อนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายโจนาธาน เฮด (Jonathan Head) ผู้สื่อข่าวบีบีซี และคณะกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นอันดับแรกว่า ขอยืนยันว่า เรื่องดังกล่าวไม่มีการเมืองหรือใครชักจูงอยู่เบื้องหลัง ที่ออกมาแจ้งความนายจักรภพนั้น เพราะทนดูไม่ได้ที่สถาบันสูงสุดที่คนไทยรักและเคารพถูกคนบางกลุ่มดูหมิ่น ซึ่งที่ผ่านมาเห็นว่าไม่มีใครกล้าออกมาร้องทุกข์กล่าวโทษ
“ผมอยากให้คดีดังกล่าวเป็นบรรทัดฐานให้คนที่ประพฤติดังกล่าวเกิดความหวาดกลัวว่าคุณจะพูดอะไร มีคนฟังอยู่ คอยตรวจสอบคุณอยู่น่ะ นอกจากนี้อยากให้ทุกคนเกิดความกล้าที่จะสู้กับความไม่ถูกต้อง ถึงแม้คนที่จะมีอำนาจใหญ่โตเพียงใด อยากให้ทุกคนออกมาเรียกร้องต่อสู้ อย่าไปก้มหน้าให้กับความไม่ถูกต้อง” พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ย้ำเป็นครั้งแรก
พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ เล่าว่า สาเหตุที่เข้ามาร้องเรียนนั้น เนื่องจากมีเพื่อนเป็นชาวอังกฤษคนหนึ่ง เป็นสมาชิกสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ชักชวนฟังการแถลงข่าวที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศเป็นประจำ ตั้งแต่ก่อนร้องทุกข์เรื่องนี้เสียอีก ซึ่งเมื่อวันที่ 29 ส.ค.50 ที่ผ่านมา ตนพร้อมด้วยเพื่อนคนดังกล่าวไปฟังนายจักรภพแถลงข่าว เพื่อนบอกว่าน่าจะเข้าข่ายหมิ่นสถาบันทั้งของไทยและอังกฤษ พร้อมนำเทปไปให้เพื่อนๆ คนอื่นดู แต่ไม่มีใครกล้าแจ้งความเอาผิด จึงไปซื้อดีวีดีที่สมาคมฯมา แล้วให้เขาถอดความแปลเป็นภาษาไทย ซึ่งเขาต้องฟังไปแปลไปถึง 3 เที่ยว อย่างไรก็ตาม เพื่อนคนดังกล่าวเขาพูดอ่านเขียนไทยได้ดี เพราะอยู่เมืองไทยมานานกว่า 15 ปี แล้ว จากนั้นเมื่อเขาแปลเสร็จก็นำมาให้ดู ตนอ่านแล้วเห็นว่าน่าจะเข้าข่ายข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จึงตัดสินใจทำหนังสือเข้าร้องทุกข์พนักงานสอบสวน กองปราบปราม
พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ บอกว่า นายจักรภพไม่ยอมรับความหมายที่คนอื่นแปล แต่ตนเชื่อว่าเจ้าของภาษาน่าจะฟังได้ดีกว่า แต่เมื่อฝ่ายเราแปลมา เขาก็ไม่ยอมรับ ซึ่งก็ให้กองการต่างประเทศตรวจสอบดูว่าคำแปลตรงกับดีวีดีหรือไม่ ถ้าตรงกันก็จบ อย่างไรก็ตาม ตนได้ตั้งข้อสังเกตพบว่า จากการเปรียบเทียบการแปลของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ พรรคประชาธิปัตย์ และของเพื่อนชาวอังกฤษ พบว่าเนื้อหาคล้ายกันมาก ความหมายไม่ต่างกัน ซึ่งอยากดูว่าที่นายจักรภพแปล จะออกมาอย่างไร
“ฝ่ายตรงข้ามพยายามดิสเครดิต หาว่าผมสมคบ พ.ต.อ.อาคม จันทนลาช ผกก.สน.พหลโยธิน ที่ไปจับม็อบ นปก.หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรษ บอกตามตรงเลยว่า ผมไม่รู้จัก ผกก.มาก่อน มาหาว่าเป็นเรื่องการเมือง มีขบวนการล้มรัฐบาล มันไปกันใหญ่ ดูข่าวแล้วยังหัวเราะเลย เรารู้ตัวเองว่าเราทำอะไร จุดประสงค์ที่ออกมาแจ้งความ คือ ต้องการให้หยุดหมิ่นสถาบัน ให้เขาหยุดเสีย แต่เขาก็ยังทำอยู่ ทั้งไปพูดจาบจ้วงที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ และไปพูดที่สหรัฐอเมริกา ขณะนี้ผมกำลังประสานขอวีซีดีฉบับเต็มอยู่ อย่างไรก็ตาม สังเกตเห็นนายจักรภพไปพูดที่ไหนพาดพิงสถาบันทั้งนั้น ซึ่งส่อให้เห็นเจตนาของเขาเป็นอย่างดี ซึ่งก็ให้ขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมตัดสินต่อไป” พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ กล่าว
นายตำรวจผู้นี้ ย้อนอดีตให้ฟังว่า สมัยเมื่อทำคดีอยู่ที่กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (บก.ป.ป.ป.) นั้น ทำมาหลายคดี ส่ง ป.ป.ช.หมด ไม่ช่วยเหลือและไม่มีการกลั่นแกล้ง บางทีมีคนโน้นฝาก คนนี้ขอ ตนไม่สบายใจในระบบราชการ ก็เพราะเป็นอย่างนี้ นอกจากนี้ สมัยอยู่กองปราบฯ ก็ได้รับเลือกให้เป็นพนักงานสอบสวนดีเด่น 3 ปีซ้อน เคยทำคดีวัดพระธรรมกาย และคดีทุจริตถุงยังชีพที่มีรองผู้ว่าฯ เป็นผู้ถูกกล่าวหาด้วย
“ผมผ่านคดีใหญ่มาแล้วมากมาย ผมไม่กลัวการคุกคามหรอก”พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ย้ำอีกครั้ง
พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ กล่าวอีกว่า หลังมีข่าวเผยแพร่ตามสื่อมวลชนก็ไม่มีใครมากดดัน แต่เพื่อนตนไปที่สมาคมฯ ก็ถูกฝ่ายตรงข้ามมาขู่ว่าให้หยุด ไม่งั้นจะถูกฆ่า และน้องชายก็มาห้ามว่าอย่าไปยุ่ง แต่ตนก็อธิบายจนเขาเข้าใจ เพราะเหตุผลที่ตนร้องเรียนนั้น เนื่องจากเขาหมิ่นสถาบันอันสูงสุดที่คนไทยทุกคนเคารพรัก
“ผมเป็นคนไทยคนหนึ่ง ยอมไม่ได้ที่สถาบันถูกท้าทาย ถูกจาบจ้วง เมื่อไม่มีใครกล้า ผมจึงต้องออกมาปกป้อง ไม่กลัวว่า จะถูกกดดันหรือกลั่นแกล้ง ถึงแม้ราชการประจำจะถูกนักการเมืองให้คุณให้โทษได้ เมื่อคิดถึงเรื่องหมิ่นสถาบันเป็นเรื่องที่ใหญ่ ถือเป็นเรื่องสำคัญกว่าทุกๆ สิ่ง ผมก็ต้องปกป้อง และอยากบอกเพื่อนข้าราชการ โดยเฉพาะข้าราชการตำรวจว่า หากเราไม่กล้า หรือปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนี้ บ้านเมืองเราจะเสียหาย สถาบันจะเสียหาย เราบอกว่า เราจงรักภักดี แต่ไม่ออกมาปกป้อง เราจะพูดได้เต็มปากหรือว่าเรารักสถาบัน”พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์กล่าวฝากไว้ทิ้งท้าย
พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี เป็นใคร มาจากไหน
พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี อายุ 52 ปี เป็นชาวจังหวัดนครสรรค์ มีพี่น้อง 7 คน พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ เป็นคนที่ 4 ครอบครัวยึดอาชีพค้าขาย เรียนจบมัธยมปลายที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ จบนิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง จบมหาบัณทิต คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สาขาบริหารงานบุคคล จากมหาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เข้าอบรมหลักสูตร กอก.รุ่นที่ 1 เข้าอบรมหลักสูตรสารวัตรรุ่น 48 และอบรมหลักสูตรพนักงานสอบสวน รุ่นที่ 6 รับราชการครั้งแรกยศ ร.ต.ต.ที่ กองบัญชาการตำรวจสันติบาล กองบัญชากการตรวจคนเข้าเมือง ก่อนย้ายมาเป็นพนักงานสอบสวน กองปราบปราม และย้ายไปอยู่กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (บก.ป.ป.ป.) ก่อนถูกย้ายไปเป็นพนักงานสอบสวน สน.บางมด แต่ขอมาช่วยราชการที่ สน.พหลโยธิน ส่วนแรงจูงใจที่เข้ามาสวมชุดสีกากีนั้น พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ เล่าว่า “สมัยเด็กๆ เห็นตำรวจไม่ให้ความเป็นธรรมกับประชาชน จึงอยากมารับใช้ประชาชน”
อุปนิสัยชอบอ่านหนังสือธรรมะของท่านพุทธทาสภิกขุ โดยประโยคที่ชอบคือ “หากธรรมะไม่กลับมา โลกจะไร้ซึ่งสันติสุข” ส่วนปรัชญาในการดำเนินชีวิต คือ ยึดหลักความถูกต้อง โดยมีธรรมะนำหน้า
ภายหลังจากที่ นายตำรวจยศ พ.ต.ท.ที่ไม่มีใครเคยรู้จักนาม พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี พนักงานสอบสวน สน.บางมด ช่วยราชการ สน.พหลโยธิน เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกองบังคับการกองปราบปราม ให้ดำเนินคดีต่อนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ในการปาฐกถาที่สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศ (FCCT) เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 นั้น หลายคนมองว่า เหตุใด พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ จึงกล้าที่จะแจ้งจับนายจักรภพ ที่ดำรงสถานะเป็นถึงรัฐมนตรี มีอำนาจเหนือกว่าข้าราชการระดับ พ.ต.ท.อย่างเทียบไม่ติด หรือว่าเขาจะเป็นหมูที่ไม่กลัวน้ำร้อนตัวจริง
ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์ จะพาไปค้นหาแนวคิด และรู้จักตัวตนที่แท้จริงของ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ผู้นี้ ผู้ที่มีความเป็น “คนไทย” เต็มเปี่ยมในสายเลือด ด้วยการพูดคุยแบบเปิดอกเปิดใจอย่างหมดเปลือก อีกทั้งหากว่า นายจักรภพ เพ็ญแข มีอันต้องกระเด็นจากตำแหน่งรัฐมนตรี และอาจถึงขั้นตายดับไปจากแวดวงสังคมและการเมืองไทย “พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์” ผู้นี้แหละ คือมือสังหาร “เจ๊เพ็ญ” ตัวจริง!
พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ บอกถึงกรณีที่เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ให้ดำเนินคดีต่อนายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายโจนาธาน เฮด (Jonathan Head) ผู้สื่อข่าวบีบีซี และคณะกรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 เป็นอันดับแรกว่า ขอยืนยันว่า เรื่องดังกล่าวไม่มีการเมืองหรือใครชักจูงอยู่เบื้องหลัง ที่ออกมาแจ้งความนายจักรภพนั้น เพราะทนดูไม่ได้ที่สถาบันสูงสุดที่คนไทยรักและเคารพถูกคนบางกลุ่มดูหมิ่น ซึ่งที่ผ่านมาเห็นว่าไม่มีใครกล้าออกมาร้องทุกข์กล่าวโทษ
“ผมอยากให้คดีดังกล่าวเป็นบรรทัดฐานให้คนที่ประพฤติดังกล่าวเกิดความหวาดกลัวว่าคุณจะพูดอะไร มีคนฟังอยู่ คอยตรวจสอบคุณอยู่น่ะ นอกจากนี้อยากให้ทุกคนเกิดความกล้าที่จะสู้กับความไม่ถูกต้อง ถึงแม้คนที่จะมีอำนาจใหญ่โตเพียงใด อยากให้ทุกคนออกมาเรียกร้องต่อสู้ อย่าไปก้มหน้าให้กับความไม่ถูกต้อง” พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ย้ำเป็นครั้งแรก
พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ เล่าว่า สาเหตุที่เข้ามาร้องเรียนนั้น เนื่องจากมีเพื่อนเป็นชาวอังกฤษคนหนึ่ง เป็นสมาชิกสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ชักชวนฟังการแถลงข่าวที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศเป็นประจำ ตั้งแต่ก่อนร้องทุกข์เรื่องนี้เสียอีก ซึ่งเมื่อวันที่ 29 ส.ค.50 ที่ผ่านมา ตนพร้อมด้วยเพื่อนคนดังกล่าวไปฟังนายจักรภพแถลงข่าว เพื่อนบอกว่าน่าจะเข้าข่ายหมิ่นสถาบันทั้งของไทยและอังกฤษ พร้อมนำเทปไปให้เพื่อนๆ คนอื่นดู แต่ไม่มีใครกล้าแจ้งความเอาผิด จึงไปซื้อดีวีดีที่สมาคมฯมา แล้วให้เขาถอดความแปลเป็นภาษาไทย ซึ่งเขาต้องฟังไปแปลไปถึง 3 เที่ยว อย่างไรก็ตาม เพื่อนคนดังกล่าวเขาพูดอ่านเขียนไทยได้ดี เพราะอยู่เมืองไทยมานานกว่า 15 ปี แล้ว จากนั้นเมื่อเขาแปลเสร็จก็นำมาให้ดู ตนอ่านแล้วเห็นว่าน่าจะเข้าข่ายข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จึงตัดสินใจทำหนังสือเข้าร้องทุกข์พนักงานสอบสวน กองปราบปราม
พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ บอกว่า นายจักรภพไม่ยอมรับความหมายที่คนอื่นแปล แต่ตนเชื่อว่าเจ้าของภาษาน่าจะฟังได้ดีกว่า แต่เมื่อฝ่ายเราแปลมา เขาก็ไม่ยอมรับ ซึ่งก็ให้กองการต่างประเทศตรวจสอบดูว่าคำแปลตรงกับดีวีดีหรือไม่ ถ้าตรงกันก็จบ อย่างไรก็ตาม ตนได้ตั้งข้อสังเกตพบว่า จากการเปรียบเทียบการแปลของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ พรรคประชาธิปัตย์ และของเพื่อนชาวอังกฤษ พบว่าเนื้อหาคล้ายกันมาก ความหมายไม่ต่างกัน ซึ่งอยากดูว่าที่นายจักรภพแปล จะออกมาอย่างไร
“ฝ่ายตรงข้ามพยายามดิสเครดิต หาว่าผมสมคบ พ.ต.อ.อาคม จันทนลาช ผกก.สน.พหลโยธิน ที่ไปจับม็อบ นปก.หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรษ บอกตามตรงเลยว่า ผมไม่รู้จัก ผกก.มาก่อน มาหาว่าเป็นเรื่องการเมือง มีขบวนการล้มรัฐบาล มันไปกันใหญ่ ดูข่าวแล้วยังหัวเราะเลย เรารู้ตัวเองว่าเราทำอะไร จุดประสงค์ที่ออกมาแจ้งความ คือ ต้องการให้หยุดหมิ่นสถาบัน ให้เขาหยุดเสีย แต่เขาก็ยังทำอยู่ ทั้งไปพูดจาบจ้วงที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ และไปพูดที่สหรัฐอเมริกา ขณะนี้ผมกำลังประสานขอวีซีดีฉบับเต็มอยู่ อย่างไรก็ตาม สังเกตเห็นนายจักรภพไปพูดที่ไหนพาดพิงสถาบันทั้งนั้น ซึ่งส่อให้เห็นเจตนาของเขาเป็นอย่างดี ซึ่งก็ให้ขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมตัดสินต่อไป” พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ กล่าว
นายตำรวจผู้นี้ ย้อนอดีตให้ฟังว่า สมัยเมื่อทำคดีอยู่ที่กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (บก.ป.ป.ป.) นั้น ทำมาหลายคดี ส่ง ป.ป.ช.หมด ไม่ช่วยเหลือและไม่มีการกลั่นแกล้ง บางทีมีคนโน้นฝาก คนนี้ขอ ตนไม่สบายใจในระบบราชการ ก็เพราะเป็นอย่างนี้ นอกจากนี้ สมัยอยู่กองปราบฯ ก็ได้รับเลือกให้เป็นพนักงานสอบสวนดีเด่น 3 ปีซ้อน เคยทำคดีวัดพระธรรมกาย และคดีทุจริตถุงยังชีพที่มีรองผู้ว่าฯ เป็นผู้ถูกกล่าวหาด้วย
“ผมผ่านคดีใหญ่มาแล้วมากมาย ผมไม่กลัวการคุกคามหรอก”พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ย้ำอีกครั้ง
พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ กล่าวอีกว่า หลังมีข่าวเผยแพร่ตามสื่อมวลชนก็ไม่มีใครมากดดัน แต่เพื่อนตนไปที่สมาคมฯ ก็ถูกฝ่ายตรงข้ามมาขู่ว่าให้หยุด ไม่งั้นจะถูกฆ่า และน้องชายก็มาห้ามว่าอย่าไปยุ่ง แต่ตนก็อธิบายจนเขาเข้าใจ เพราะเหตุผลที่ตนร้องเรียนนั้น เนื่องจากเขาหมิ่นสถาบันอันสูงสุดที่คนไทยทุกคนเคารพรัก
“ผมเป็นคนไทยคนหนึ่ง ยอมไม่ได้ที่สถาบันถูกท้าทาย ถูกจาบจ้วง เมื่อไม่มีใครกล้า ผมจึงต้องออกมาปกป้อง ไม่กลัวว่า จะถูกกดดันหรือกลั่นแกล้ง ถึงแม้ราชการประจำจะถูกนักการเมืองให้คุณให้โทษได้ เมื่อคิดถึงเรื่องหมิ่นสถาบันเป็นเรื่องที่ใหญ่ ถือเป็นเรื่องสำคัญกว่าทุกๆ สิ่ง ผมก็ต้องปกป้อง และอยากบอกเพื่อนข้าราชการ โดยเฉพาะข้าราชการตำรวจว่า หากเราไม่กล้า หรือปล่อยให้มันเป็นไปอย่างนี้ บ้านเมืองเราจะเสียหาย สถาบันจะเสียหาย เราบอกว่า เราจงรักภักดี แต่ไม่ออกมาปกป้อง เราจะพูดได้เต็มปากหรือว่าเรารักสถาบัน”พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์กล่าวฝากไว้ทิ้งท้าย
พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี เป็นใคร มาจากไหน
พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี อายุ 52 ปี เป็นชาวจังหวัดนครสรรค์ มีพี่น้อง 7 คน พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ เป็นคนที่ 4 ครอบครัวยึดอาชีพค้าขาย เรียนจบมัธยมปลายที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ จบนิติศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง จบมหาบัณทิต คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สาขาบริหารงานบุคคล จากมหาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช เข้าอบรมหลักสูตร กอก.รุ่นที่ 1 เข้าอบรมหลักสูตรสารวัตรรุ่น 48 และอบรมหลักสูตรพนักงานสอบสวน รุ่นที่ 6 รับราชการครั้งแรกยศ ร.ต.ต.ที่ กองบัญชาการตำรวจสันติบาล กองบัญชากการตรวจคนเข้าเมือง ก่อนย้ายมาเป็นพนักงานสอบสวน กองปราบปราม และย้ายไปอยู่กองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (บก.ป.ป.ป.) ก่อนถูกย้ายไปเป็นพนักงานสอบสวน สน.บางมด แต่ขอมาช่วยราชการที่ สน.พหลโยธิน ส่วนแรงจูงใจที่เข้ามาสวมชุดสีกากีนั้น พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ เล่าว่า “สมัยเด็กๆ เห็นตำรวจไม่ให้ความเป็นธรรมกับประชาชน จึงอยากมารับใช้ประชาชน”
อุปนิสัยชอบอ่านหนังสือธรรมะของท่านพุทธทาสภิกขุ โดยประโยคที่ชอบคือ “หากธรรมะไม่กลับมา โลกจะไร้ซึ่งสันติสุข” ส่วนปรัชญาในการดำเนินชีวิต คือ ยึดหลักความถูกต้อง โดยมีธรรมะนำหน้า