กลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวางในสังคมยุติธรรม และหมู่ประชาชน ว่าพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ใช้มาตรฐานการสอบสวนคดีระหว่าง สำนักกฎหมายนิติเอกราช ซึ่งรับมอบอำนาจจากตระกูลชินวัตร และ ดามาพงศ์ กับคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ หรือ คตส.เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกันหรือไม่
ปฐมบทของคดีดังกล่าวเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 17 ต.ค.2550 นายมณเฑียร เจริญผล ฝ่ายกฎหมายคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนกองปราบปรามให้ดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และครอบครัวตระกูลชินวัตร รวมทั้งนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายครอบครัวชินวัตร(ในขณะนั้น) ข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงาน คตส.ตามมาตรา 136 ประมวลกฎหมายอาญา กรณีให้สัมภาษณ์สื่อกล่าวหาว่า คตส.จงใจกลั่นแกล้งครอบครัวชินวัตรและเปรียบ คตส.เหมือนศาลเตี้ย
จากนั้นจึงถูกตอบโต้จากฝ่ายที่ถูกกล่าวหา โดยเมื่อวันที่ 24 ต.ค.2550 นายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความ และ นายอภิศักดิ์ อาภัสสมภพ เจ้าของ บริษัทสำนักกฏหมายนิติเอกราช จำกัด เข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ คตส. และ นายมณเฑียร ในข้อหาหมิ่นประมาท บริษัท สำนักกฏหมายนิติเอกราช และ นายอภิศักดิ์
ผ่านมา 7 เดือน ฟ้าเปลี่ยนสี เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผลัดถิ่น ผงาดพาพรรคไทยรักไทยในคราบพรรคพลังประชาชนกลับมาครองอำนาจเงา ชักใยอยู่เบื้องหลังนาวารัฐ ”สมัคร สุนทรเวช” เมื่อการเมืองเปลี่ยนจากยุคท็อปบู๊ตมาเป็นทุนนิยมสามานย์ ข้าราชการ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจบางนายต่างวิ่งหาที่ซุกปีกอิงแอบแนบสนิทกับนักการเมืองเพื่ออาศัยบารมีปูทางเติบโตในเส้นทางราชการ
ที่สร้างความกังขาแก่สังคมมากที่สุด เมื่อมีข่าวเล็ดลอดมาว่า ทางพนักงานสอบสวนสั่งไม่ฟ้องบริษัทสำนักกฎหมายนิติเอกราช พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และครอบครัวตระกูลชินวัตร รวมทั้งนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายครอบครัวชินวัตร โดย พ.ต.อ.จารุวัฒน์ ไวศยะ รอง ผบก.ป.หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าวกลับ ปิดปากเงียบไม่ยอมบอกว่ามีความเห็นสั่งยกฟ้องหรือไม่
ต่างกับคดีที่ ฝ่ายตรงข้ามแจ้งความ คตส.ทาง พ.ต.อ.จารุวัฒน์ ออกมาระบุเตรียมจะออกหมายจับหลังคตส.ไม่มารายงานตัวตามหมายเรียกครั้งที่ 2 ซึ่งประจวบเหมาะกับขณะที่ คตส.กำลังโรมรันพันตูกับอดีตนายกทักษิณ และเครือญาติ ข้อหาโกงชาติ โดยกำลังเร่งสรุปสำนวนสั่งฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ แข่งกับเวลาเพราะเหลืออีกไม่กี่วันก็จะหมดอำนาจตามกฎหมาย หลายคนมองว่าอาจเป็นการกลั่นแกล้งและดิสเครดิต คตส. โดยเฉพาะการที่ส่งรถตำรวจไปยื่นหมายเรียกถึงหน้าบ้านสร้างความแตกตื่นให้กับประชาชนในละแวกดังกล่าว ทั้งๆที่หากส่งหนังสือไปที่สำนักงานคตส.ก็น่าจะเพียงพอ
นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีที่ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี พนักงานสอบสวน (สบ2) สน.บางมด ช่วยราชการ สน.พหลโยธิน เข้าพบพนักงานสอบสวน กองปราบปรามให้ดำเนินคดีกับนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณี แถลงข่าวที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (เอฟทีทีซี.) เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 โดยมีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูง มีการกล่าวถึงระบบราชาธิปไตยเปรียบเทียบกับประชาธิปไตย ระบบอุปถัมภ์กับสังคมไทย
โดย พล.ต.ท.อดิศร นนทรีย์ ผบช.ก.ขณะนั้นชี้ว่าคดีมีมูล มีคำสั่งฟ้อง นายจักรภพ แต่คดีดังกล่าวกลับอืดอาด ทั้งๆที่เป็นการกระทำย่ำยีหัวใจปวงชนชาวไทยจนแหลกสลาย
สำหรับ พ.ต.อ.จารุวัฒน์ นั้นเป็น นรต.รุ่น 37 เพื่อนร่วมรุ่นที่มีชื่อเสียงเช่น พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ. พ.ต.อ.วิชิต ปักษา ผกก.ฝป.2 บก.ป. พ.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผกก.สน.ลุมพินี โจทน์ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย กรณี” ดาบยิ้ม” และ พล.ต.ต.นเรศ นันทโชติ ผบก.ภ.จ.พระนครศรีอยุธยา
สมัยเป็น รอง ผกก.ตปพ.บช.น. พ.ต.อ.จารุวัฒน์ เคยถูกร้องเรียนเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ กระทั่งถูกย้ายไปช่วยราชการที่ อก.บก.น.5 บช.น.จากนั้นขึ้นเป็น ผกก.ท่องเที่ยว ก่อนมาเป็น ผกก.3 บก.ป. แล้วไปขึ้น รอง ผบก.ตำรวจน้ำ และ รอง ผบก.ปดส. ก่อนมาดำรงตำแหน่ง รอง ผบก.ป.ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ พ.ต.อ.จารุวัฒน์ ถูกมองว่ามีความสนิทสนมกับ นายยงยุทธ ติยะไพรัช และ เคยมีคนเห็น พ.ต.อ.จารุวัฒน์ นั่งทานข้าวร่วมโต๊ะกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ฮ่องกง โดย พ.ต.อ.จารุวัฒน์ ถือเป็นนายตำรวจหนุ่มที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดของปราบปราม มีโอกาสสูงที่จะติดยศนายพลตำแหน่งผู้บังคับการ ซึ่งคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายที่ผ่านมา มีรอง ผบก.ป. 3 นายที่แย่งโควตา แต่ พ.ต.อ.จารุวัฒน์ ไม่สามารถแทรกนั่งเก้าอี้ ผบก.ได้ ทำให้เจ้าตัวต้องเร่งสร้างความดีความชอบเพื่อให้ตัวเองเลื่อนยศเป็นนายพลในโอกาสข้างหน้า
ดังนั้น คำถามที่ว่า กองปราบปรามยุคนี้ ทำคดีเพื่อใคร?..ข้อความดังกล่าวมาข้างต้น คือ คำตอบที่ชัดเจนที่สุด...
ปฐมบทของคดีดังกล่าวเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 17 ต.ค.2550 นายมณเฑียร เจริญผล ฝ่ายกฎหมายคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนกองปราบปรามให้ดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และครอบครัวตระกูลชินวัตร รวมทั้งนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายครอบครัวชินวัตร(ในขณะนั้น) ข้อหาดูหมิ่นเจ้าพนักงาน คตส.ตามมาตรา 136 ประมวลกฎหมายอาญา กรณีให้สัมภาษณ์สื่อกล่าวหาว่า คตส.จงใจกลั่นแกล้งครอบครัวชินวัตรและเปรียบ คตส.เหมือนศาลเตี้ย
จากนั้นจึงถูกตอบโต้จากฝ่ายที่ถูกกล่าวหา โดยเมื่อวันที่ 24 ต.ค.2550 นายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความ และ นายอภิศักดิ์ อาภัสสมภพ เจ้าของ บริษัทสำนักกฏหมายนิติเอกราช จำกัด เข้าพบพนักงานสอบสวน บก.ป.เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ คตส. และ นายมณเฑียร ในข้อหาหมิ่นประมาท บริษัท สำนักกฏหมายนิติเอกราช และ นายอภิศักดิ์
ผ่านมา 7 เดือน ฟ้าเปลี่ยนสี เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผลัดถิ่น ผงาดพาพรรคไทยรักไทยในคราบพรรคพลังประชาชนกลับมาครองอำนาจเงา ชักใยอยู่เบื้องหลังนาวารัฐ ”สมัคร สุนทรเวช” เมื่อการเมืองเปลี่ยนจากยุคท็อปบู๊ตมาเป็นทุนนิยมสามานย์ ข้าราชการ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ตำรวจบางนายต่างวิ่งหาที่ซุกปีกอิงแอบแนบสนิทกับนักการเมืองเพื่ออาศัยบารมีปูทางเติบโตในเส้นทางราชการ
ที่สร้างความกังขาแก่สังคมมากที่สุด เมื่อมีข่าวเล็ดลอดมาว่า ทางพนักงานสอบสวนสั่งไม่ฟ้องบริษัทสำนักกฎหมายนิติเอกราช พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และครอบครัวตระกูลชินวัตร รวมทั้งนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายครอบครัวชินวัตร โดย พ.ต.อ.จารุวัฒน์ ไวศยะ รอง ผบก.ป.หัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าวกลับ ปิดปากเงียบไม่ยอมบอกว่ามีความเห็นสั่งยกฟ้องหรือไม่
ต่างกับคดีที่ ฝ่ายตรงข้ามแจ้งความ คตส.ทาง พ.ต.อ.จารุวัฒน์ ออกมาระบุเตรียมจะออกหมายจับหลังคตส.ไม่มารายงานตัวตามหมายเรียกครั้งที่ 2 ซึ่งประจวบเหมาะกับขณะที่ คตส.กำลังโรมรันพันตูกับอดีตนายกทักษิณ และเครือญาติ ข้อหาโกงชาติ โดยกำลังเร่งสรุปสำนวนสั่งฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ แข่งกับเวลาเพราะเหลืออีกไม่กี่วันก็จะหมดอำนาจตามกฎหมาย หลายคนมองว่าอาจเป็นการกลั่นแกล้งและดิสเครดิต คตส. โดยเฉพาะการที่ส่งรถตำรวจไปยื่นหมายเรียกถึงหน้าบ้านสร้างความแตกตื่นให้กับประชาชนในละแวกดังกล่าว ทั้งๆที่หากส่งหนังสือไปที่สำนักงานคตส.ก็น่าจะเพียงพอ
นอกจากนี้เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีที่ พ.ต.ท.วัฒนศักดิ์ มุ่งกิจการดี พนักงานสอบสวน (สบ2) สน.บางมด ช่วยราชการ สน.พหลโยธิน เข้าพบพนักงานสอบสวน กองปราบปรามให้ดำเนินคดีกับนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 กรณี แถลงข่าวที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (เอฟทีทีซี.) เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 โดยมีเนื้อหาเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูง มีการกล่าวถึงระบบราชาธิปไตยเปรียบเทียบกับประชาธิปไตย ระบบอุปถัมภ์กับสังคมไทย
โดย พล.ต.ท.อดิศร นนทรีย์ ผบช.ก.ขณะนั้นชี้ว่าคดีมีมูล มีคำสั่งฟ้อง นายจักรภพ แต่คดีดังกล่าวกลับอืดอาด ทั้งๆที่เป็นการกระทำย่ำยีหัวใจปวงชนชาวไทยจนแหลกสลาย
สำหรับ พ.ต.อ.จารุวัฒน์ นั้นเป็น นรต.รุ่น 37 เพื่อนร่วมรุ่นที่มีชื่อเสียงเช่น พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ. พ.ต.อ.วิชิต ปักษา ผกก.ฝป.2 บก.ป. พ.ต.อ.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผกก.สน.ลุมพินี โจทน์ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย กรณี” ดาบยิ้ม” และ พล.ต.ต.นเรศ นันทโชติ ผบก.ภ.จ.พระนครศรีอยุธยา
สมัยเป็น รอง ผกก.ตปพ.บช.น. พ.ต.อ.จารุวัฒน์ เคยถูกร้องเรียนเรื่องการปฏิบัติหน้าที่ กระทั่งถูกย้ายไปช่วยราชการที่ อก.บก.น.5 บช.น.จากนั้นขึ้นเป็น ผกก.ท่องเที่ยว ก่อนมาเป็น ผกก.3 บก.ป. แล้วไปขึ้น รอง ผบก.ตำรวจน้ำ และ รอง ผบก.ปดส. ก่อนมาดำรงตำแหน่ง รอง ผบก.ป.ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ พ.ต.อ.จารุวัฒน์ ถูกมองว่ามีความสนิทสนมกับ นายยงยุทธ ติยะไพรัช และ เคยมีคนเห็น พ.ต.อ.จารุวัฒน์ นั่งทานข้าวร่วมโต๊ะกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ฮ่องกง โดย พ.ต.อ.จารุวัฒน์ ถือเป็นนายตำรวจหนุ่มที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดของปราบปราม มีโอกาสสูงที่จะติดยศนายพลตำแหน่งผู้บังคับการ ซึ่งคำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายที่ผ่านมา มีรอง ผบก.ป. 3 นายที่แย่งโควตา แต่ พ.ต.อ.จารุวัฒน์ ไม่สามารถแทรกนั่งเก้าอี้ ผบก.ได้ ทำให้เจ้าตัวต้องเร่งสร้างความดีความชอบเพื่อให้ตัวเองเลื่อนยศเป็นนายพลในโอกาสข้างหน้า
ดังนั้น คำถามที่ว่า กองปราบปรามยุคนี้ ทำคดีเพื่อใคร?..ข้อความดังกล่าวมาข้างต้น คือ คำตอบที่ชัดเจนที่สุด...