หลายคนตั้งคำถามว่า...ทำไมห้วงเวลา 2-3 วันที่ผ่านมา ปรากฏข่าว การตามเช็คบิลฝ่ายตรงข้ามพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องหาและจำเลย คดีโกงชาติ ขายชาติ หลายคดี เกิดขึ้นต่อเนื่องอย่างผิดปกติ
เริ่มจาก 3 มิ.ย.51 ผลงานสุดห่วยของ "พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ์ วาพันสุ" รองผกก.สส.สภ.วังน้อย ขออนุมัติหมายจับนายสุนัย มโนมัยอุดม เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ( ป.ป.ท.)และอดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ คดีหมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในการทำคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น บริษัทเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
คดีนี้แปลกแต่จริง!! เมื่อการขออนุมัติหมายจับครั้งนี้ ได้ยื่นต่อศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งบังเอิญมากๆ ที่เป็นวันเดียวกันกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย เดินทางไปตรวจราชการที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และซ้ำร้ายไปกว่านั้น "หมายจับ" ยังระบุว่า ให้เจ้าพนักงานตำรวจนำตัวนายสุนัย มโนมัยอุดม (ข้าราชการระดับสูงมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่หลบหนี และทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ) ไปส่งที่สถานีตำรวจภูธรวังน้อย ภายในอายุความ 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ 19 มิ.ย. 50 เพื่อจะได้ดำเนินการตามกฎหมาย แต่ไม่เกินวันที่ 19 มิ.ย.60 ลงชื่อ นายอิทธิพล โชขุมา ผู้พิพากษาศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
หมายจับที่ตำรวจ สภ.วังน้อย ปฎิบัติ (โดยชอบ หรือ โดยมิชอบ) ที่หลายคนมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า หมายจับดั่งว่า ใครเป็นคนสั่ง ตำรวจนายไหน หรือคนในรัฐบาล คนใดเป็นผู้สั่งการ เพื่อต้องการสร้างภาพการจับกุม นายสุนัย คาสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อล้างแค้นให้กับผู้เป็นนาย "จำเลยทักษิณ" หรือไม่?
ขณะที่มูลเหตุคดีกรณีเดียวกัน...เมื่อวันที่ 29 ม.ค. 51 ศาลแพ่งได้พิพากษายกฟ้องในคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุนัย เป็นจำเลย ฐานละเมิดเรียกค่าเสียหาย 1,500 ล้านบาท กรณีที่นายสุนัย ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เกี่ยวกับการสอบสวนในคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ระหว่างวันที่ 19 มิ.ย.-17 ส.ค. 50 โดยศาลเห็นว่า เนื่องจาก ตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นตำแหน่งของผู้บังคับบัญชาระดับสูง ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ เมื่อโจทก์กล่าวหาว่า จำเลยกระทำการละเมิด เป็นเรื่องที่กรมสอบสวนคดีพิเศษต้องรับผิดชอบ โจทก์ต้องยื่นฟ้องกรมสอบสวนคดีพิเศษโดยตรง โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์ฟ้องจำเลยเป็นการเฉพาะตัว ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ. 2539 พิพากษาให้ยกฟ้อง
ถัดมา 4 มิ.ย.51 เกิดข่าว...กองปราบปรามออกหมายเรียก คตส. ในคดีหมิ่นประมาท พร้อมเตรียมออกหมายจับ หากไม่ไปให้ปากคำในวันที่ 10 มิ.ย.นี้ โดยกรณีนี้ นายอุดม เฟื่องฟุ้ง กรรมการ คตส. กล่าวว่า พฤติกรรมของฝ่ายตำรวจก็พอจะทำให้มองเห็นว่า ฝ่ายบริหารต้องการทำอะไร แต่คตส.ไม่หวั่นไหว และจะทำงานจนถึงวันสุดท้าย ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามที่ได้รับแต่งตั้งเข้ามาตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ พร้อมกับตั้งคำถามว่า ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตำรวจกำลังทำอะไรอยู่ คตส.ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ ฟ้องบริษัททนายความของผู้ถูกกล่าวหาในข้อหาหมิ่นประมาท จากนั้น คตส.ถูกบริษัทดังกล่าวฟ้องกลับ เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับพยายามเร่งดำเนินคดีกับ คตส. ส่วนคดี ที่ คตส.แจ้งความไปกลับไม่มีความคืบหน้าแม้แต่คดีเดียว ทั้งๆที่ คตส.เป็นองค์กรตรวจสอบตามกฎหมาย
นายสัก กอแสงเรือง โฆษกคตส. เชื่อว่า กองปราบปรามจงใจกลั่นแกล้งเลือกปฏิบัติให้เกิดความเสียหาย พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงมาตรฐานการทำงานของกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะต้นทางของการสอบสวนคดี คือ ตำรวจ
ล่าสุด 5 มิ.ย.51 ข่าวเตรียมออกหมายเรียกแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และถือว่ามีน้ำหนักมากที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เมื่อพล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ออกมาแสดงพฤติกรรมรับใช้ (รัฐตำรวจ)อย่างชัดเจน ด้วยการแถลงเร่งรัดคดีความที่กลุ่มตรงข้ามพันธมิตรฯได้แจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง และ สน.ดุสิต ให้ดำเนินคดีกับแกนนำข้อหา ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ข้อหากีดขวางการจราจร พร้อมกับสั่งกำชับไปยังพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีให้ดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏให้ครบถ้วนสมบูรณ์ และหากมีหลักฐานยืนยันการกระทำความผิดชัด ไม่ว่าจะเป็นข้อหาใดๆ ตามที่มีการแจ้งความไว้ให้ดำเนินการออกหมายเรียกบุคคลผู้นั้นมาสอบปากคำรับทราบข้อกล่าวหาในทันที ตามหมายเรียก 3 ครั้ง หากยังไม่มาก็ให้ออกหมายจับตามขั้นตอนกระบวนการสอบสวนต่อไป
จาก 3 คดีข้างต้น หากย้อนกลับไปตรวจสอบตารางวันเวลา พบว่า เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากวันที่ 3 มิ.ย.51 ซึ่งเป็นวันที่ "พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์" พี่ชายคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับอำนาจเต็มในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
โดยงานสำคัญๆในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตกอยู่ในมือของพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รอง ผบ.ตร.ปป.1 แทบทั้งสิ้น ประกอบด้วย ดูแลกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด, กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง, สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์,กองทะเบียนประวัติอาชญากร(ทว.), กองพัฒนาการป้องกันและควบคุมอาชญากรรม, งานสืบสวนสอบสวนคดีอาญา, งานสั่งคดีและงานออกคำสั่งแต่งตั้งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีอาญาสำคัญ, งานปราบปรามการลักลอบตัดไม้ ทำลายป่าและทรัพยากรธรรมชาติ
งานปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์และจักรยานยนต์ ,งานปราบปรามผู้มีอิทธิพลและมือปืนรับจ้าง, งานปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง, งานปราบปรามการโจรกรรมทรัพย์สินทางน้ำ, งานปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา, งานพิทักษ์เด็ก เยาวชน และสตรี , งานประสานงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ , คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และงานนโยบายในภาพรวมของงาน ปป.
จากภารกิจสำคัญที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ที่ได้รับมอบหมายหลังกลับมาใหญ่ใน สตช. ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เขาคือรอง ผบ.ตร. หรือ ผบ.ตร.ตัวจริงกันแน่...
ประกอบกับ หากไปดูมติคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เมื่อวันที่ 17 เม.ย. ที่ได้พิจารณารับโอน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ พร้อมด้วย พล.ต.ท.ชลอ ชูวงษ์ ที่ต้องถูกย้ายพ้นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปยังสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เนื่องจากการปฏิวัติ 19 ก.ย. 49 กลับมายัง ตร. กลับสวนทางกัน...
กล่าวคือ การขอมติคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) เปิดตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. และผู้ช่วยเพิ่มรวม 2 ตำแหน่ง เพื่อมาทำงานด้านบริหาร ที่ขณะนั้นอ้างต่อ ก.ตร. และก.ต.ช.ว่า มีหน้างานจำนวนมาก แต่เมื่อมีการแบ่งงานครั้งนี้ กลับแบ่งงานให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดูแลงาน ปป. และถือเป็นงานสำคัญของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ....
ถึงบรรทัดนี้ คำถามที่ว่า ใครคือคนฟื้นรัฐตำรวจ...ใครสั่งเช็คบิลฝ่ายตรงข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ.. คงมีคำตอบที่ชัดเจนแล้ว และนี่คือโจทก์ข้อใหญ่ ที่ตำรวจดีดี ต้องคิดให้มาก มาก
เริ่มจาก 3 มิ.ย.51 ผลงานสุดห่วยของ "พ.ต.ท.ณรงค์ฤทธิ์ วาพันสุ" รองผกก.สส.สภ.วังน้อย ขออนุมัติหมายจับนายสุนัย มโนมัยอุดม เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ( ป.ป.ท.)และอดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ คดีหมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในการทำคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น บริษัทเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)
คดีนี้แปลกแต่จริง!! เมื่อการขออนุมัติหมายจับครั้งนี้ ได้ยื่นต่อศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งบังเอิญมากๆ ที่เป็นวันเดียวกันกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย เดินทางไปตรวจราชการที่ จ.พระนครศรีอยุธยา และซ้ำร้ายไปกว่านั้น "หมายจับ" ยังระบุว่า ให้เจ้าพนักงานตำรวจนำตัวนายสุนัย มโนมัยอุดม (ข้าราชการระดับสูงมีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ไม่หลบหนี และทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ) ไปส่งที่สถานีตำรวจภูธรวังน้อย ภายในอายุความ 10 ปี นับตั้งแต่วันที่ 19 มิ.ย. 50 เพื่อจะได้ดำเนินการตามกฎหมาย แต่ไม่เกินวันที่ 19 มิ.ย.60 ลงชื่อ นายอิทธิพล โชขุมา ผู้พิพากษาศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
หมายจับที่ตำรวจ สภ.วังน้อย ปฎิบัติ (โดยชอบ หรือ โดยมิชอบ) ที่หลายคนมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า หมายจับดั่งว่า ใครเป็นคนสั่ง ตำรวจนายไหน หรือคนในรัฐบาล คนใดเป็นผู้สั่งการ เพื่อต้องการสร้างภาพการจับกุม นายสุนัย คาสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อล้างแค้นให้กับผู้เป็นนาย "จำเลยทักษิณ" หรือไม่?
ขณะที่มูลเหตุคดีกรณีเดียวกัน...เมื่อวันที่ 29 ม.ค. 51 ศาลแพ่งได้พิพากษายกฟ้องในคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุนัย เป็นจำเลย ฐานละเมิดเรียกค่าเสียหาย 1,500 ล้านบาท กรณีที่นายสุนัย ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เกี่ยวกับการสอบสวนในคดีปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ระหว่างวันที่ 19 มิ.ย.-17 ส.ค. 50 โดยศาลเห็นว่า เนื่องจาก ตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นตำแหน่งของผู้บังคับบัญชาระดับสูง ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐ เมื่อโจทก์กล่าวหาว่า จำเลยกระทำการละเมิด เป็นเรื่องที่กรมสอบสวนคดีพิเศษต้องรับผิดชอบ โจทก์ต้องยื่นฟ้องกรมสอบสวนคดีพิเศษโดยตรง โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์ฟ้องจำเลยเป็นการเฉพาะตัว ตาม พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่รัฐ พ.ศ. 2539 พิพากษาให้ยกฟ้อง
ถัดมา 4 มิ.ย.51 เกิดข่าว...กองปราบปรามออกหมายเรียก คตส. ในคดีหมิ่นประมาท พร้อมเตรียมออกหมายจับ หากไม่ไปให้ปากคำในวันที่ 10 มิ.ย.นี้ โดยกรณีนี้ นายอุดม เฟื่องฟุ้ง กรรมการ คตส. กล่าวว่า พฤติกรรมของฝ่ายตำรวจก็พอจะทำให้มองเห็นว่า ฝ่ายบริหารต้องการทำอะไร แต่คตส.ไม่หวั่นไหว และจะทำงานจนถึงวันสุดท้าย ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามที่ได้รับแต่งตั้งเข้ามาตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ พร้อมกับตั้งคำถามว่า ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าตำรวจกำลังทำอะไรอยู่ คตส.ในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ ฟ้องบริษัททนายความของผู้ถูกกล่าวหาในข้อหาหมิ่นประมาท จากนั้น คตส.ถูกบริษัทดังกล่าวฟ้องกลับ เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับพยายามเร่งดำเนินคดีกับ คตส. ส่วนคดี ที่ คตส.แจ้งความไปกลับไม่มีความคืบหน้าแม้แต่คดีเดียว ทั้งๆที่ คตส.เป็นองค์กรตรวจสอบตามกฎหมาย
นายสัก กอแสงเรือง โฆษกคตส. เชื่อว่า กองปราบปรามจงใจกลั่นแกล้งเลือกปฏิบัติให้เกิดความเสียหาย พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงมาตรฐานการทำงานของกระบวนการยุติธรรม โดยเฉพาะต้นทางของการสอบสวนคดี คือ ตำรวจ
ล่าสุด 5 มิ.ย.51 ข่าวเตรียมออกหมายเรียกแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และถือว่ามีน้ำหนักมากที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น เมื่อพล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ออกมาแสดงพฤติกรรมรับใช้ (รัฐตำรวจ)อย่างชัดเจน ด้วยการแถลงเร่งรัดคดีความที่กลุ่มตรงข้ามพันธมิตรฯได้แจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.นางเลิ้ง และ สน.ดุสิต ให้ดำเนินคดีกับแกนนำข้อหา ก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ข้อหากีดขวางการจราจร พร้อมกับสั่งกำชับไปยังพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีให้ดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏให้ครบถ้วนสมบูรณ์ และหากมีหลักฐานยืนยันการกระทำความผิดชัด ไม่ว่าจะเป็นข้อหาใดๆ ตามที่มีการแจ้งความไว้ให้ดำเนินการออกหมายเรียกบุคคลผู้นั้นมาสอบปากคำรับทราบข้อกล่าวหาในทันที ตามหมายเรียก 3 ครั้ง หากยังไม่มาก็ให้ออกหมายจับตามขั้นตอนกระบวนการสอบสวนต่อไป
จาก 3 คดีข้างต้น หากย้อนกลับไปตรวจสอบตารางวันเวลา พบว่า เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากวันที่ 3 มิ.ย.51 ซึ่งเป็นวันที่ "พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์" พี่ชายคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้รับอำนาจเต็มในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
โดยงานสำคัญๆในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตกอยู่ในมือของพล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รอง ผบ.ตร.ปป.1 แทบทั้งสิ้น ประกอบด้วย ดูแลกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด, กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง, สำนักงานนิติวิทยาศาสตร์,กองทะเบียนประวัติอาชญากร(ทว.), กองพัฒนาการป้องกันและควบคุมอาชญากรรม, งานสืบสวนสอบสวนคดีอาญา, งานสั่งคดีและงานออกคำสั่งแต่งตั้งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีอาญาสำคัญ, งานปราบปรามการลักลอบตัดไม้ ทำลายป่าและทรัพยากรธรรมชาติ
งานปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์และจักรยานยนต์ ,งานปราบปรามผู้มีอิทธิพลและมือปืนรับจ้าง, งานปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง, งานปราบปรามการโจรกรรมทรัพย์สินทางน้ำ, งานปราบปรามการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา, งานพิทักษ์เด็ก เยาวชน และสตรี , งานประสานงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ , คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน และงานนโยบายในภาพรวมของงาน ปป.
จากภารกิจสำคัญที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ที่ได้รับมอบหมายหลังกลับมาใหญ่ใน สตช. ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า เขาคือรอง ผบ.ตร. หรือ ผบ.ตร.ตัวจริงกันแน่...
ประกอบกับ หากไปดูมติคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) เมื่อวันที่ 17 เม.ย. ที่ได้พิจารณารับโอน พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ พร้อมด้วย พล.ต.ท.ชลอ ชูวงษ์ ที่ต้องถูกย้ายพ้นสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปยังสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เนื่องจากการปฏิวัติ 19 ก.ย. 49 กลับมายัง ตร. กลับสวนทางกัน...
กล่าวคือ การขอมติคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) เปิดตำแหน่ง รอง ผบ.ตร. และผู้ช่วยเพิ่มรวม 2 ตำแหน่ง เพื่อมาทำงานด้านบริหาร ที่ขณะนั้นอ้างต่อ ก.ตร. และก.ต.ช.ว่า มีหน้างานจำนวนมาก แต่เมื่อมีการแบ่งงานครั้งนี้ กลับแบ่งงานให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดูแลงาน ปป. และถือเป็นงานสำคัญของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ....
ถึงบรรทัดนี้ คำถามที่ว่า ใครคือคนฟื้นรัฐตำรวจ...ใครสั่งเช็คบิลฝ่ายตรงข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ.. คงมีคำตอบที่ชัดเจนแล้ว และนี่คือโจทก์ข้อใหญ่ ที่ตำรวจดีดี ต้องคิดให้มาก มาก