อมรรัตน์ ล้อถิรธร...รายงาน
แม้คดียุบ 3 พรรคจะเรียบร้อยไปแล้ว แต่ขณะนี้ยังฝุ่นตลบหลายเรื่อง ทั้งการหาตัวนายกฯ คนใหม่ การฟอร์มรัฐบาล แต่ก่อนจะถึงจุดนั้น ยังมีปัญหาที่ต้องเคลียร์ให้ชัดว่า ส.ส.สัดส่วนของทั้ง 3 พรรคที่ถูกยุบนั้น สามารถย้ายไปอยู่พรรคใหม่ได้เช่นเดียวกับ ส.ส.เขตที่ไม่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองหรือไม่ ถ้าย้ายพรรคไม่ได้ ก็เท่ากับ ส.ส.สัดส่วนเหล่านี้ต้องสิ้นสภาพการเป็น ส.ส.ทันที ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการประชุมสภา เพื่อเลือกนายกฯ ใหม่ และการฟอร์มรัฐบาลใหม่ นอกจากปัญหาดังกล่าวแล้ว ยังมีประเด็นที่น่าติดตามเกี่ยวกับ “เล่ห์เพทุบาย” ของพรรคพลังประชาชน-พรรคเพื่อไทย” ที่ฉวยประโยชน์จากช่องโหว่ของกฎหมาย แถม “วางหมาก” ที่จะไม่ให้พรรคต้องถูกยุบอีกต่อไป
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ
ผลจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรค 3 พรรค คือ พรรคพลังประชาชน-ชาติไทย-มัชฌิมาธิปไตย พร้อมตัดสิทธิทางการเมืองกรรมการบริหารของทั้ง 3 พรรค จำนวน 109 คนเป็นเวลา 5 ปี ไม่เพียงส่งผลให้ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ในฐานะกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ต้องพ้นจากการเป็นนายกฯ ทันที แต่ยังมีรัฐมนตรีใน ครม.ชุดนี้ที่เป็นกรรมการบริหารพรรคของทั้ง 3 พรรค ถูกตัดสิทธิทางการเมืองเช่นเดียวกับนายสมชาย จำนวนถึง 13 คน ส่งผลให้เหลือรัฐมนตรีที่ไม่ถูกตัดสิทธิ 22 คน อย่างไรก็ตาม เมื่อนายกฯ พ้นสภาพ ครม.ที่เหลืออยู่ก็มีอันต้องพ้นสภาพตามไปด้วย โดยขณะนี้เป็นเพียงแค่ ครม.รักษาการ จนกว่าจะมีการเลือกนายกฯ คนใหม่ และฟอร์ม ครม.ใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้
แน่นอนว่า ความสนใจของสาธารณชนตอนนี้อยู่ที่นายกฯ คนใหม่ ว่า จะเป็นใคร จะเป็น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ที่สนับสนุนโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่แห่ไปอยู่พรรคเพื่อไทย พรรคนอมินีของพรรคพลังประชาชนเรียบร้อยแล้ว หรือจะเป็นนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ที่สนับสนุนโดย นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ภริยา นายสมชาย และ นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ตัวต้นเหตุที่ทำให้พรรคต้องถูกยุบในวันนี้ ซึ่งทั้งคู่ต่างมีชนักติดหลัง เพราะร่วมอยู่ใน ครม.นายสมัคร ที่กระทำการขัด รธน.มาตรา 190 กรณีรับรองแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา กรณีปราสาทพระวิหารที่กำลังรอ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดอยู่
ส่วนแคนดิเดตคนอื่นที่อาจจะถูกพรรคเพื่อไทยดันให้เป็นนายกฯ คนต่อไป ก็ได้แก่ พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาคนที่ 1 ซึ่งก็มีชนักติดหลังอีกเช่นกัน ฐานเป็นแกนนำ นปก.ที่นำม็อบบุกไปก่อจลาจลที่หน้าบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ งานนี้ ถ้า พ.อ.อภิวันท์ ได้รับเลือกเป็นนายกฯ คนที่ 27 จริงๆ แสดงว่า เราจะมีนายกฯ และรัฐบาล นปก.เต็มรูปแบบ หลังจากที่ผ่านมา รัฐบาล นายสมชาย ก็ให้ท้ายม็อบ นปก.จนถูกเรียกว่า เป็น “รัฐบาล นปก.” ไปแล้ว นอกเหนือจากการเป็น “รัฐบาลแฟมิลี่ของทักษิณ”
ก่อนจะรู้ผลว่าใครจะเป็นนายกฯ คนต่อไป จะเป็นคนของพรรคเพื่อไทย ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณเป็น “นายใหญ่” เหมือนเดิม หรือจะยอมให้แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลมาเป็นนายกฯ เช่น พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร หัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา คงต้องจับตากันต่อไป
แต่ตอนนี้มาดูเล่ห์เพทุบายของพรรคพลังประชาชน ที่อาศัยช่องโหว่ของกฎหมายรัฐธรรมนูญมาเอื้อประโยชน์ให้พรรคพวกตัวเองตั้งแต่ก่อนจะถูกยุบพรรค แถมยัง “วางหมาก” ไว้ด้วยว่า “ต่อไปจะไม่มีใครยุบพรรคเพื่อไทยของพวกเขาได้อีก”!?!
ที่บอกว่า พรรคพลังประชาชน เล่นเล่ห์เพทุบาย ก็เพราะเมื่อพรรคนี้เห็นว่า การตัดสินคดียุบพรรคใกล้เข้ามา พวกเขารู้อยู่แล้วว่า หากพรรคถูกยุบ กรรมการบริหารของพรรคก็ต้องถูกตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปีด้วย ปัญหาก็คือ ในบรรดากรรมการบริหารของพรรค 37 คน มีผู้ที่เป็น ส.ส.รวมอยู่ด้วยหลายคน ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.สัดส่วน สำหรับ ส.ส.เขต ที่เป็นกรรมการบริหารพรรคคงแก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะถ้าถูกตัดสิทธิทางการเมือง ก็ต้องสิ้นสภาพการเป็น ส.ส.ทันที และต้องจัดการเลือกตั้งซ่อมเพื่อทดแทน ส.ส.ที่สิ้นสภาพไป แต่ ส.ส.สัดส่วนที่เป็นกรรมการบริหารพรรคนั้น รัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุไว้ชัดว่า ห้าม ส.ส.สัดส่วน ลาออกก่อนศาลฯ ตัดสินคดียุบพรรค ผู้บริหารพรรคพลังประชาชนจึงเดินเกมให้ ส.ส.สัดส่วนที่เป็นกรรมการบริหารพรรคชิงลาออกจาก ส.ส.สัดส่วนก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินคดีไม่กี่วัน เพื่อเปิดทางให้ผู้ที่อยู่ในบัญชีรายชื่อลำดับรองลงไปได้ขึ้นมาเป็น ส.ส.สัดส่วนแทน
การทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการคงหรือรักษาจำนวน ส.ส.สัดส่วน ของพรรคไว้ไม่ให้ได้รับผลกระทบจากการถูกยุบพรรค ซึ่งถ้าไม่ชิงลาออกก่อน เมื่อถูกยุบพรรค ส.ส.สัดส่วนที่เป็นกรรมการบริหารพรรคก็จะพ้นสภาพ ส.ส.ทันที โดยไม่สามารถเลื่อนรายชื่อลำดับรองลงไปขึ้นมาแทนได้
สังคมได้เห็นแล้วว่า หลังศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคพลังประชาชน และตัดสิทธิทางการเมือง กก.บห.ทั้ง 37 คนนั้น มีผู้ที่เป็น ส.ส.และเป็น กก.บห.พรรคด้วย แค่ 15 คนเท่านั้น โดยแบ่งเป็น ส.ส.เขต 14 คน และ ส.ส.สัดส่วนแค่ 1 คน ทั้งที่ความจริงแล้ว ต้องมี ส.ส.สัดส่วนที่เป็น กก.บห.พรรคด้วย 12 คน แต่อย่างที่บอกว่า ส.ส.สัดส่วนดังกล่าวได้ชิงลาออกไปก่อนที่ศาลฯ จะตัดสินแล้ว 11 คน จึงเหลือแค่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ คนเดียวที่ไม่ได้ชิงลาออกก่อนที่ศาลฯ จะตัดสินคดียุบพรรค เหตุที่ นายสมชาย ไม่ลาออกก่อน ไม่ใช่เพราะมีสปิริตอะไร แต่เป็นเพราะถ้าลาออก นายสมชายก็ต้องพ้นจากการเป็นนายกฯ ทันที เพราะกฎหมายกำหนดว่า ผู้ที่เป็นนายกฯ ต้องเป็น ส.ส.
สำหรับ ส.ส.สัดส่วนที่เป็น กก.บห.พรรคพลังประชาชนที่ชิงลาออกก่อน ได้แก่ นายไชยา สะสมทรัพย์ รัฐมนตรีพาณิชย์ (แม้จะลาออกจาก ส.ส.ก็ยังเป็นรัฐมนตรีต่อไปได้ เพราะกฎหมายกำหนดว่า รัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องเป็น ส.ส.), นายศรีเมือง เจริญศิริ รัฐมนตรีศึกษาธิการ, นายชูศักดิ์ ศิรินิล เลขานุการนายกฯ, นายสุขุมพงศ์ โง่นคำ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ, นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รองนายกฯ และรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ, นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี, พ.ต.ท.กานต์ เทียนแก้ว, นายสัมพันธ์ เลิศนุวัฒน์ ฯลฯ
สำหรับ ส.ส.สัดส่วนที่เป็น กก.บห.พรรคพลังประชาชนที่ชิงลาออกคนสุดท้าย ก็คือ นายสมัคร สุนทรเวช ส.ส.สัดส่วนลำดับที่ 1 ซึ่งแสดงเจตจำนงขอลาออกก่อนหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินคดียุบพรรคแค่ 2 วัน โดย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกรัฐบาล แถลงเมื่อวันที่ 30 พ.ย.ว่า นายสมัคร โทรศัพท์มาแจ้งว่าขอลาออกจาก ส.ส.สัดส่วน เมื่อคืนวันที่ 29 พ.ย.และตนอยู่ระหว่างส่งหนังสือลาออกไปให้นายสมัครลงนาม
จนถึงขณะนี้จึงน่าสงสัยว่า การลาออกของนายสมัครมีผลสมบูรณ์แล้วหรือยัง ขณะเดียวกัน ก็มีข่าวว่า การลาออกของ ส.ส.สัดส่วนที่เป็น กก.บห.พรรคพลังประชาชนในช่วงท้ายๆ ก่อนศาลฯ ตัดสินคดียุบพรรคมีประมาณ 5-6 คนที่ยังไม่ได้รับการรับรอง ดังนั้นอาจมีปัญหาในแง่สถานะและการเลื่อนบัญชีรายชื่อ ส.ส.สัดส่วนขึ้นมาแทน
ขณะที่เราเห็นพรรคพลังประชาชนเล่นเล่ห์เพทุบายใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ของรัฐธรรมนูญ เรากลับเห็นว่า พรรคชาติไทย ไม่ได้ฉวยประโยชน์แบบพลังประชาชน สังเกตได้จาก ในบรรดากรรมการบริหารของพรรคชาติไทยที่ถูกตัดสิทธิ 43 คน มีกรรมการบริหารที่เป็น ส.ส.19 คน แบ่งเป็น ส.ส.เขต 16 คน ส.ส.สัดส่วน 3 คน ซึ่ง ส.ส.สัดส่วนเหล่านี้ไม่ได้ชิงลาออกก่อนที่ศาลฯ จะตัดสินยุบพรรคอย่างที่พรรคพลังประชาชนทำแต่อย่างใด ตรงนี้จึงต้องชื่นชมพรรคชาติไทยเหมือนกัน
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังมีปัญหาว่า รายชื่อ ส.ส.สัดส่วนที่เหลือ (ที่ไม่ถูกตัดสิทธิ) ของทั้ง 3 พรรคที่ถูกยุบ สามารถย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ได้ใน 60 วันเช่นเดียวกับ ส.ส.เขตที่ไม่ถูกตัดสิทธิฯ หรือไม่ เพราะมีหลายฝ่ายเห็นว่า ส.ส.สัดส่วนไม่น่าจะสามารถย้ายไปอยู่พรรคใหม่ได้ เพราะการเลือกตั้ง ส.ส.ในระบบสัดส่วนนั้น เป็นการเลือกพรรค ไม่ใช่เลือกตัวบุคคลแบบ ส.ส.เขต ซึ่งปัญหาเรื่องนี้ได้มีผู้ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความแล้ว คือ กลุ่ม 40 ส.ว.นำโดยนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา ซึ่งหากศาลฯ ตีความว่า ส.ส.สัดส่วนย้ายพรรคไม่ได้ ก็จะส่งผลให้ ส.ส.สัดส่วนของทั้ง 3 พรรคสิ้นสภาพ นั่นหมายถึงจะส่งผลกระทบต่อจำนวน ส.ส.ที่เหลืออยู่ของทั้ง 3 พรรคแน่นอน รวมทั้งอาจกระทบต่อความพยายามจับมือจัดตั้งรัฐบาลของทั้ง 6 พรรคร่วมรัฐบาลเดิมด้วย
ไม่เพียงปัญหาสถานะและการย้ายพรรคของ ส.ส.สัดส่วนของทั้ง 3 พรรคที่ถูกยุบจะมีส่วนสำคัญต่อการจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะเป็นการจับขั้วระหว่างรัฐบาลเดิมหรือสลับขั้วใหม่ แต่ยังจะส่งผลกระทบต่อการประชุมสภาเพื่อเลือกตัวนายกฯ คนใหม่ในวันที่ 8-9 ธ.ค.นี้ด้วย(ยังไม่แน่นอนว่าจะได้เปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญในวันดังกล่าวหรือไม่ ยังไม่โปรดเกล้าฯ ลงมา) เนื่องจากนายชัย ชิดชอบ ประธานสภาฯ มีสถานะเป็น ส.ส.สัดส่วนของพรรคพลังประชาชนที่ถูกยุบ หากมีความไม่ชัดเจนเรื่องสถานะว่าพ้นสภาพแล้วหรือไม่ แล้วเดินหน้าเป็นประธานการประชุมเพื่อเลือกนายกฯ ต่อไป อาจส่งผลให้การประชุมนั้นเป็นโมฆะในภายหลังได้
จากเรื่องเล่ห์เพทุบายของพรรคพลังประชาชนที่ใช่ช่องโหว่ของกฎหมายให้ ส.ส.สัดส่วนของพรรคชิงลาออกก่อนศาลฯ ตัดสินคดียุบพรรค เพื่อคงจำนวน ส.ส.สัดส่วนไว้ไม่ให้ลดลงแล้ว ยังมีกรณีที่พรรคพลังประชาชนวางหมากไว้ว่า หากพรรคถูกยุบ จะย้ายไปอยู่พรรคเพื่อไทยที่ได้ตั้งสำรองไว้แล้ว และต่อไปจะไม่ให้กรรมการบริหารพรรคลงสมัครรับเลือกตั้งแล้ว เพื่อตัดปัญหาไม่ให้กรรมการบริหารพรรคไปทุจริตเลือกตั้ง จนพรรคต้องถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคซ้ำอีก นั่นหมายความว่า หากอนาคต ผู้สมัครพรรคเพื่อไทยกระทำการทุจริตเลือกตั้ง ก็จะถูกตัดสิทธิแค่เฉพาะตัว เพราะไม่ได้เป็นกรรมการบริหารพรรค(เว้นแต่กรรมการบริหารพรรคจะรู้เห็นการทุจริตของผู้สมัครนั้น ซึ่งก็คงเป็นเรื่องยากที่จะพิสูจน์ให้ได้ว่า กรรมการบริหารพรรคร่วมรู้เห็นด้วย)
พูดถึงการวางหมากเพื่อไม่ให้มีการยุบพรรคเพื่อไทยซ้ำรอยพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนได้อีกนั้น นายนิรันดร์ นาเมืองรักษ์ ผอ.การเลือกตั้งพรรคเพื่อไทย คุยโวอย่างภาคภูมิใจ (1 ธ.ค.) ว่า การวางหมากให้พรรคเพื่อไทยไม่ต้องถูกยุบอีกนั้น ถือเป็นความชาญฉลาดของพรรคที่คิดได้เช่นนี้
“ได้เตรียมการไว้เรียบร้อยแล้ว โดยคณะผู้บริหารของพรรคเพื่อไทยได้กำหนดจำนวน กก.บห.พรรคไม่มากนัก รวมไปถึงผู้ที่เป็น กก.บห.พรรคจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง เว้นแต่หัวหน้าพรรคและและเลขาธิการพรรค ซึ่งผู้ที่เป็น กก.บห.พรรคนั้นจะเป็นผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรี คนที่สมัคร ส.ส.เป็นบัญชีรายชื่อหรือ ส.ส.เขตจะไม่เป็นกรรมการบริหารพรรค ดังนั้นจะมาหาเรื่องว่า กก.บห.พรรคนี้ทำผิด พ.ร.บ.การเลือกตั้งก็คงไม่ได้แล้ว การยุบพรรคถือเป็นศัตรูที่สอนให้เราชาญฉลาดมากขึ้น”
ส่วนที่มีข่าวลือว่า หัวหน้าพรรคเพื่อไทยจะเป็นคนในตระกูลชินวัตร เช่น อาจจะเป็น พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ญาติผู้พี่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณนั้น นายนิรันดร์ ยืนยันว่า การให้คนในตระกูลชินวัตรหรือคนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ไม่ได้มีอะไรเสียหาย
“เรื่องในตระกูลหรือคนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น ไม่ได้มีอะไรเสียหายนะ เป็นเรื่องที่ดีต่อประเทศชาติบ้านเมือง ท่านทักษิณเองก็ไม่ได้เป็นคนเสียหาย แต่ขอให้คนคนนั้นที่จะเป็นหัวหน้าพรรคมีความจริงใจต่อพี่น้องประชาชน จริงใจต่อการทำหน้าที่ไม่เพื่อประโยชน์ส่วนตน เพื่อประเทศชาติและนำพานโยบายของพรรคไปสู่จุดสำเร็จ สู่เป้าหมายได้ ก็เป็นสิ่งที่ดี”
ขณะนี้มีสัญญาณที่ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า ผู้ที่จะขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สังเกตได้จากเมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ขณะที่ ส.ส.พรรคพลังประชาชนได้แห่ไปสมัครเข้าพรรคเพื่อไทย ปรากฏว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เดินทางเข้าพรรคเพื่อไทยเช่นกัน โดยได้ทักทายบรรดา ส.ส.ที่มากรอกใบสมัครเข้าพรรคเพื่อไทยว่า “ดีใจจริงๆ ที่พวกพี่มาอยู่ด้วยกัน วันนี้ก็สร้างบ้านใหม่ให้แล้ว หัวหน้าเอง (พ.ต.ท.ทักษิณ)ก็เป็นห่วงพวกเรา อยากให้พวกเรามีความสามัคคีกัน”
ระหว่างนั้น ส.ส.คนหนึ่งได้แสดงความยินดีกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่จะได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ไม่ได้แสดงอาการปฏิเสธแต่อย่างใด แถมยังพูดกับ ส.ส.คนดังกล่าวด้วยว่า “จะเป็นได้หรือ พี่พูดไม่เก่งนะ” ขณะที่บรรดา ส.ส.รีบให้กำลังใจว่า “ถ้าเป็นหัวหน้าพรรคจริงๆ อยู่ไปก็จะพูดเก่งขึ้น”
วันที่ 7 ธ.ค.นี้ จะได้รู้ว่า หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ใช่ชื่อ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” หรือไม่ แต่น่าจะฟันธงได้เลยว่า ไม่ผิดไปจากชื่อนี้แน่นอน เพราะหลังจากนายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รัฐมนตรีคลัง ยอมลาออกจากหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเมื่อไม่นานมานี้ พ.ต.ท.ทักษิณได้พูดทีเล่นทีจริงกับ ส.ส.ที่เดินทางไปเยี่ยมที่ฮ่องกงว่า “ให้ยิ่งลักษณ์เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยดีไหม” แถม พ.ต.ท.ทักษิณยังหวังไกลถึงขั้นให้น้องสาวคนนี้เป็นนายกฯ ในอนาคตด้วย โดย พ.ต.ท.ทักษิณเคยเล่าให้ ส.ส.ที่ไปเยี่ยมฟังว่า เคยพูดหยอกนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวตนและภริยานายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ว่า “แดงเนี่ย(นางเยาวภา) โชคดีนะ มีพี่ชายเป็นนายกฯ แล้ว ยังมีสามีเป็นนายกฯ อีก และอีกหน่อยก็จะมีน้องสาวเป็นนายกฯ อีกคน”
มาถึงวันนี้ คงรู้ซึ้งกันแล้วว่า ไม่ว่าพรรคไทยรักไทยจะเปลี่ยนไปเป็นชื่อพรรคพลังประชาชนหรือพรรคเพื่อไทยก็ตาม แต่ “นายใหญ่” ยังคนเดิม เมื่อบงการอยู่เบื้องหน้าไม่ได้ ก็บงการอยู่ข้างหลัง และดันให้เครือญาติขึ้นมารั้งตำแหน่งหัวหน้าพรรคนอมินีแทน เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ(จริงๆ ควรจะถูกถอดยศเหลือแค่ “นายทักษิณ” ได้แล้ว)ยังประกาศสู้ไม่เลิก โดยมี “คนเสื้อแดง” เป็นตัวหนุน และมีพรรคใหม่มารองรับการถูกยุบครั้งแล้วครั้งเล่า แถมเล่นเล่ห์เพทุบายจะไม่ให้พรรคตัวเองต้องถูกยุบอีกต่อไป คงต้องฝากความหวังไว้กับผู้เกี่ยวข้องที่ต้องการปราบปรามการทุจริตเลือกตั้งทั้งหลายว่า เมื่อพรรคการเมืองที่ชอบทุจริต-แต่จะใช้กลยุทธไม่ให้ใครลงโทษยุบพรรคหรือตัดสิทธิตัวเองได้ ท่านควรจะออกกฎหมายหรือจัดการอย่างไรกับพรรคที่ไร้อุดมการณ์แบบนี้!!