เรื่อง ขอให้ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งการให้เลิกกระทำกิจกรรมทางการเมืองตามมาตรา 68 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
เรียน อัยการสูงสุด
สืบเนื่องจากกรณีที่พรรคไทยรักไทย ได้กระทำการทุจริตในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อประมาณปี พ.ศ.2548-2549 จนกระทั่งตุลาการรัฐธรรมนูญ ได้มีคำสั่งให้ยุบพรรคไทยรักไทย โดยห้ามผู้บริหารพรรคกระทำกิจกรรมทางการเมืองเป็นระยะเวลา 5 ปี ทั้งนี้ โดยมีเหตุผลว่า การกระทำของพรรคไทยรักไทย มีลักษณะเป็นการบ่อนทำลายระบบการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยศาลได้สั่งจำกัดสิทธิทางการเมืองของบุคคลดังกล่าว รวมทั้งห้ามกระทำการใดๆ อันเป็นการฉ้อฉล เพื่อบิดเบือนไม่ให้คำพิพากษาของศาลดังกล่าวมีผลบังคับ แต่กลับปรากฏว่า หลังจากที่พรรคไทยรักไทยได้ถูกสั่งยุบพรรคไทยแล้ว ได้มีกระบวนการกระทำการฝ่าฝืน บิดเบือนไม่ปฎิบัติตามคำพิพากษาของศาลกระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 เพื่อเข้ากระทำกิจกรรมทางการเมืองอย่างต่อเนื่องต่อไปอีก ข้าพเจ้าจึงขอเสนอเรื่องใท่านยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยมีรายละเอียดดังนี้
หลังจากตุลาการรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งยุบพรรคไทยรักไทย และตัดสิทธิทางการเมืองของอดีตกรรมการบริหารพรรคทั้ง 111 คน แต่ปรากฏว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ในฐานะหัวหน้าคณะรัฐมนตรีและในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ร่วมกับกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยจำนวน 111 คน รวมกันหรือแยกกัน ได้ใช้สิทธิเสรีภาพและอำนาจหน้าที่มิชอบ รวมทั้งกระทำการอันไม่ชอบ ไม่นำพาต่อคำสั่งห้ามตามคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญ และขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 68 แห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ต่างกรรมต่างวาระก่อให้เกิดการกระทำที่ล้วนแล้วแต่มีความสอดคล้อง เกี่ยวเนื่อง เชื่อมโยง และส่งเสริมให้เกิดผล โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเปลี่ยนแปลงและล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ
นอกจากนั้น หลังจากพรรคไทยรักไทย ถูกยุบกลุ่มองค์กรสมาชิกเดิมของพรรคไทยรักไทย ได้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ชื่อพรรคพลังประชาชน ผู้ร่วมก่อตั้งประกอบด้วย อดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทยเดิมทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นนายทะเบียนพรรค สมาชิกพรรค สำนักงานใหญ่ และสำนักงานสาขาของพรรคโดยมีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นแกนนำในการรวบรวมจัดตั้งพรรคพลังประชาชน ได้รับการสนับสนุนทางด้านการเงินและอุปกรณ์สิ่งของต่างๆ จากแกนนำคนสำคัญของพรรคไทยรักไทยเดิม มีการถ่ายโอนความเป็นพรรคไทยรักไทยทุกอย่างมายังพรรคพลังประชาชนที่ได้สร้างขึ้นมาใหม่นอกเหนือไปจากครรลองที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ อันทำให้เห็นได้ว่าเป็นการ
กระทำที่ขัดต่อคำพิพากษาของศาลดังกล่าว ในลักษณะกระทำการเป็นตัวแทนผู้ที่ถูกจัดตั้งพรรคพลังประชาชนจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ และคำสั่งศาล อันมีเจตนารมณ์เพื่อสร้างความบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้นในทางการเมือง กลุ่มการเมืองพรรคไทยรักไทยเดิมเหล่านี้ จึงไม่อาจจัดตั้งพรรคพลังประชาชนขึ้นมาได้ เป็นพรรคการเมืองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ แต่กลับปรากฏว่า กลุ่มการเมืองเหล่านี้ที่รวมตัวกันใหม่อีกครั้ง ภายใต้ชื่อพรรคพลังประชาชน ไม่นำพาต่อการกระทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญและคำสั่งศาลดังกล่าว โดยลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จนได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ในสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) บาคน เพียงเพื่อแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ที่ถูกหยิบยื่นให้ จัดตั้งรัฐบาลโดยการนำของนายสมัคร สุนทรเวช เมื่อที่มาของการจัดตั้งรัฐบาลขัดต่อกฎหมายดังกล่าวตั้งแต่เริ่มต้น จึงมีผลเป็นโมฆะ ข้อเท็จจริงดังกล่าว ได้รับการสนับสนุนและวินิจฉัย จากคณะกรรมการเลือกตั้งโดยอนุคณะกรรมการเลือกตั้ง (อนุฯ กกต.) สรุปว่า พรรคพลังประชาชนเป็นพรรคที่ถูกตั้งขึ้นมาโดยกลุ่มการเมืองเก่าของพรรคไทยรักไทย หลีกเลี่ยงข้อจำกัดห้ามตามคำพิพากษาของตุลาการรัฐธรรมนูญ และกฎหมายรัฐธรรมนูญ มีลักษณะเป็นตัวแทน (พรรคหุ่นเชิด) หรือ Nominee ของพรรคไทยรักไทยและพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายบัญญัติลงโทษการกระทำผิดในลักษณะการกระทำการเป็น Nominee ไว้อย่างชัดเจน จึงยังไม่อาจลงโทษพรรคพลังประชาชนได้รายละเอียดเป็นไปตามการสรุปสำนวนของคณะอนุกกต.เรื่องการกล่าวหากรณีการกระทำการเป็น Nominee ของพรรคพลังประชาชน ซึ่งความจริงแล้ว จากพฤติกรรมอันเกี่ยวกับที่มาของพรรคพลังประชาชน จะเห็นได้ว่า เกิดจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและคำสั่งศาล บิดเบือน หลีกเลี่ยงเพื่อมิให้คำตัดสินของศาลมีผลบังคับ อันเป็นความผิดตามมาตรา 68 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว
การกระทำทางการเมืองของพรรคหุ่นเชิด หรือพรรคพลังประชาชน ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ หรือระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากฏัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการธำรงรักษาไว้ ซึ่งเอกราชและความมั่นคงของชาติ โดยความเสียหายเกิดขึ้นหลายประการ ยากที่จะบรรยายให้หมดครบถ้วน ข้าพเจ้าขอเรียนให้ท่านทราบในเฉพาะบางกรณีดังนี้
1. วิธีการอันฉ้อฉล เพื่อให้เจตนารมณ์ของกฎหมายย่อมตกเป็นอันไร้ผลนั้น ได้ถูกนำมาใช้อย่างเปิดเผย ต่อเนื่องทุกวิถีทางโดยกรรมการบริหารของพรรคไทยรักไทย ซึ่งมีอำนาจครอบงำเหนือพรรคพลังประชาชนอย่างเบ็ดเสร็จเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศนอกเหนือไปจากครรลองที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ และบั่นทอนทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากฏัตริย์เป็นประมุขอย่างชัดแจ้ง ตามประจักษ์พยานที่เห็นได้จากกิจกรรม การเคลื่อนไหว การส่งเอกสาร วิดีทัศน์ หรือเว็บไซต์ต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่มากมายหลายแสนชิ้น นับเป็นการกระทำผิดอย่างต่อเนื่องและรุนแรงยิ่งกว่าในวันที่คำวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักไทยเป็นต้นมา เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ซึ่งมุ่งหมายที่จะธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยและอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย
2. บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 กำหนดไว้ว่า การเทิดทูนพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและเป็นมิ่งขวัญของชาติเป็นสิ่งสำคัญยิ่งเหนือสิ่งใดแต่นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช กลับมีการพูดจา ปาฐกถา อันเป็นการจาบจ้วงองค์พระมหากษัตริย์ในการพูดที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) ซึ่งคำปาฐกถาดังกล่าวก่อให้เกิดความไม่พอใจและถูกต่อต้านจากเหล่าประชาชนผู้มีความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ จนกระทั่งนายจักรภพ เพ็ญแข ต้องยอมที่จะออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีฯ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีในข้อหาดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่ปรากฏว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี กลับปล่อยปละละเลยให้มีการโฆษณาเผยแพร่ข้อความอันเป็นการจาบจ้วงและดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันในเว็บไซต์ของรัฐบาลไทยที่ www.thaigov.go.th ซึ่งเท่ากับรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ให้การสนับสนุนในการเผยแพร่ถ้อยคำปาฐกถาอันมิบังควรดังกล่าว รายละเอียดปรากฏตามเว็บไซต์ของรัฐบาลไทยที่แนบมาท้ายนี้ยิ่งไปกว่านั้น นายจักรภพ เพ็ญแข ยังได้เคยพูดปาฐกถาในประเทศสหรัฐอเมริกาในทำนองไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อีกด้วย แต่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ก็ยังมิได้กระทำการใดๆ เกี่ยวกับความผิดดังกล่าวจนกระทั่งบัดนี้
3. รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ได้ทำการกลั่นแกล้ง โยกย้าย ผู้ที่ไม่ยอมเข้าเป็นพวกพ้องของตนอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้ข้าราชการต่างๆ เสียขวัญและกำลังใจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะโย้กย้ายกลุ่มพวกของตนให้เข้าสู่อำนาจ เข้ามารับใช้ตนในทางการเมือง เป็นการสร้างรัฐตำรวจขึ้นใหม่ในสังคมไทย เพื่อวางรากฐานแห่งอำนาจของตนและพรรคพวกต่อไปในอนาคต
4. มีกรณีการพยายามให้สินบนคณะตุลาการต่างๆ อย่างเช่น กรณีศาลฎีกา โดยนำเงินจำนวน 2 ล้านบาทไปมอบให้ไว้กับเจ้าหน้าที่ศาล เพื่อที่จะแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และช่วยเหลือกลุ่มพวกพ้องของตนที่ถูกดำเนินคดีให้พ้นผิด อันเป็นการกระทำที่เป็นการบ่อนทำลายประชาธิปไตยเพื่อประโยชน์พวกพ้อง และทำลายความน่าเชื่อถือในระบบศาลยุติธรรม ซึ่งขณะนี้ศาลฎีกาอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนถึงเบื้องหลังและตัวผู้บงการสั่งการ แล้วนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษ
5. มีกระบวนการครอบงำคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อให้ทำการช่วยเหลือให้กลุ่มพวกพ้องของตนหลุดพ้นจากความผิดในเรื่องซื้อสิทธิขายเสียง ในการได่รับการเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีการให้ผลประโยชน์กับเจ้าหนี้ในคณะกรรมการการเลือกตั้งบางคน จนทำให้กลุ่มประชาชนส่วนใหญ่เกิดความไม่พอใจและเดินขบวนขับไล่กรรมการการเลือกตั้งบางคนที่มีความประพฤติส่อไปในทางไม่สุจริต
6.มีความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 เพื่อช่วยเหลือให้พวกพ้องตนเองพ้นผิดซึ่งขณะนี้พรรคพลังประชาชนกระทำการให้มีการเกิดประชุมสภาผู้แทนสมัยวิสามัญ โดยมีวัตถุประสงค์แอบแฝงที่เห็นได้อย่างชัดแจ้ง คือ การยื่นญัญติขอแก้ไขรัฐธรรนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 เพื่อแก้ไขให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกรรมการบริหารคนอื่นๆของพรรคไทยรักไทยพ้นผิดจากข้อกล่าวหาตามกฏหมายต่างๆ รวมทั้งการตัดสิทธิทางการเมือง ย่อมเป็นข้อเท็จจริงอันมิอาจปฏิเสธได้ว่า เป็นการรวมกลุ่มกระทำการอันมิชอบด้วยกฏหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศนอกเหนือไปจากครรลองที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรนูญ นั่นเอง
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ข้าพเจ้าจึงขอเสนอเรื่องให้ท่านตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการว่า พรรคพลังประชาชนมีที่มาอันไม่ชอบด้วยกฏหมาย ไม่สามารถเข้าสมัครรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ รัฐบาลที่จัดตั้งโดยมีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำจึงสิ้นสภาพไปด้วย เพราะมีที่มาอันไม่ชอบ ไม่อาจกระทำหน้าที่ในฐานะที่เป็นรัฐบาล รัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีได้อีกต่อไป ทั้งนี้ขอให้ท่านรีบดำเนินการโดยด่วนที่สุด เนื่องจากขณะนี้พรรคพลังประชาชนโดยนายสมัคร สุนทรเวช ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ได้สร้างความเสียหายต่างๆให้เกิดขึ้นกับประเทศชาติอีกมากมาย และมีการกระทำให้เกิดความเสียหายต่อเนื่องเพิ่มมากยิ่งขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อย่างเช่นการเผยแพร่ถ้อยคำพูดของนายจักรภพ เพ็ญแข ต่อสาธารณชนผ่านทางเว็บไซต์ของรัฐบาล ทั้งๆ ที่ถ้อยคำพูดดังกล่าวไม่ควรจะถูกถ่ายทอดแพร่หลายต่อไปในวงกว้าง หากละเลยปล่อยให้รัฐบาลนี้บริหารประเทศชาติบ้านเมืองต่อไป โดยทำให้กระบวนการตรวจสอบช้าเนิ่นนานไป ก็อาจยากเกินกว่าที่จะเยียวยาแก้ไขได้ หรือ อย่างกรณีมีการรังแกกลั่นแกล้งโยกย้ายข้าราชการประจำต่างๆ มีการกลั่นแกล้งขอออกหมายจับข้าราชการที่ไม่อยู่ในกลุ่มพวกพ้องของตนแต่กระทำตัวเป็นกลางทำงานเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ โดยขอให้ท่านรีบดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่ไปแล้ว โดยรีบยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้ นายสมัคร สุนทรเวช กับพวกพ้องและพรรคพลังประชาชน ยุติการกระทำที่ไม่ชอบดังกล่าวข้างตน และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคพลังประชาชน รวมทั้งตัดสิทธิทางการเมืองผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกตลอดจนดำเนินคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับบุคคลดังกล่าวทั้งหมดด้วย ตามกฏหมายต่างๆ และตามมาตรา 68 มาตรา 69 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550
ขอแสดงความนับถือ
(พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส)
เรียน อัยการสูงสุด
สืบเนื่องจากกรณีที่พรรคไทยรักไทย ได้กระทำการทุจริตในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เมื่อประมาณปี พ.ศ.2548-2549 จนกระทั่งตุลาการรัฐธรรมนูญ ได้มีคำสั่งให้ยุบพรรคไทยรักไทย โดยห้ามผู้บริหารพรรคกระทำกิจกรรมทางการเมืองเป็นระยะเวลา 5 ปี ทั้งนี้ โดยมีเหตุผลว่า การกระทำของพรรคไทยรักไทย มีลักษณะเป็นการบ่อนทำลายระบบการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยศาลได้สั่งจำกัดสิทธิทางการเมืองของบุคคลดังกล่าว รวมทั้งห้ามกระทำการใดๆ อันเป็นการฉ้อฉล เพื่อบิดเบือนไม่ให้คำพิพากษาของศาลดังกล่าวมีผลบังคับ แต่กลับปรากฏว่า หลังจากที่พรรคไทยรักไทยได้ถูกสั่งยุบพรรคไทยแล้ว ได้มีกระบวนการกระทำการฝ่าฝืน บิดเบือนไม่ปฎิบัติตามคำพิพากษาของศาลกระทำการขัดต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 เพื่อเข้ากระทำกิจกรรมทางการเมืองอย่างต่อเนื่องต่อไปอีก ข้าพเจ้าจึงขอเสนอเรื่องใท่านยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยมีรายละเอียดดังนี้
หลังจากตุลาการรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งยุบพรรคไทยรักไทย และตัดสิทธิทางการเมืองของอดีตกรรมการบริหารพรรคทั้ง 111 คน แต่ปรากฏว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน ในฐานะหัวหน้าคณะรัฐมนตรีและในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชาชน ร่วมกับกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยจำนวน 111 คน รวมกันหรือแยกกัน ได้ใช้สิทธิเสรีภาพและอำนาจหน้าที่มิชอบ รวมทั้งกระทำการอันไม่ชอบ ไม่นำพาต่อคำสั่งห้ามตามคำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญ และขัดต่อบทบัญญัติมาตรา 68 แห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ต่างกรรมต่างวาระก่อให้เกิดการกระทำที่ล้วนแล้วแต่มีความสอดคล้อง เกี่ยวเนื่อง เชื่อมโยง และส่งเสริมให้เกิดผล โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเปลี่ยนแปลงและล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ
นอกจากนั้น หลังจากพรรคไทยรักไทย ถูกยุบกลุ่มองค์กรสมาชิกเดิมของพรรคไทยรักไทย ได้มีการจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ชื่อพรรคพลังประชาชน ผู้ร่วมก่อตั้งประกอบด้วย อดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทยเดิมทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นนายทะเบียนพรรค สมาชิกพรรค สำนักงานใหญ่ และสำนักงานสาขาของพรรคโดยมีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นแกนนำในการรวบรวมจัดตั้งพรรคพลังประชาชน ได้รับการสนับสนุนทางด้านการเงินและอุปกรณ์สิ่งของต่างๆ จากแกนนำคนสำคัญของพรรคไทยรักไทยเดิม มีการถ่ายโอนความเป็นพรรคไทยรักไทยทุกอย่างมายังพรรคพลังประชาชนที่ได้สร้างขึ้นมาใหม่นอกเหนือไปจากครรลองที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ อันทำให้เห็นได้ว่าเป็นการ
กระทำที่ขัดต่อคำพิพากษาของศาลดังกล่าว ในลักษณะกระทำการเป็นตัวแทนผู้ที่ถูกจัดตั้งพรรคพลังประชาชนจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายรัฐธรรมนูญ และคำสั่งศาล อันมีเจตนารมณ์เพื่อสร้างความบริสุทธิ์ให้เกิดขึ้นในทางการเมือง กลุ่มการเมืองพรรคไทยรักไทยเดิมเหล่านี้ จึงไม่อาจจัดตั้งพรรคพลังประชาชนขึ้นมาได้ เป็นพรรคการเมืองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ แต่กลับปรากฏว่า กลุ่มการเมืองเหล่านี้ที่รวมตัวกันใหม่อีกครั้ง ภายใต้ชื่อพรรคพลังประชาชน ไม่นำพาต่อการกระทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญและคำสั่งศาลดังกล่าว โดยลงสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จนได้รับการเลือกตั้งเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ในสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) บาคน เพียงเพื่อแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ที่ถูกหยิบยื่นให้ จัดตั้งรัฐบาลโดยการนำของนายสมัคร สุนทรเวช เมื่อที่มาของการจัดตั้งรัฐบาลขัดต่อกฎหมายดังกล่าวตั้งแต่เริ่มต้น จึงมีผลเป็นโมฆะ ข้อเท็จจริงดังกล่าว ได้รับการสนับสนุนและวินิจฉัย จากคณะกรรมการเลือกตั้งโดยอนุคณะกรรมการเลือกตั้ง (อนุฯ กกต.) สรุปว่า พรรคพลังประชาชนเป็นพรรคที่ถูกตั้งขึ้นมาโดยกลุ่มการเมืองเก่าของพรรคไทยรักไทย หลีกเลี่ยงข้อจำกัดห้ามตามคำพิพากษาของตุลาการรัฐธรรมนูญ และกฎหมายรัฐธรรมนูญ มีลักษณะเป็นตัวแทน (พรรคหุ่นเชิด) หรือ Nominee ของพรรคไทยรักไทยและพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายบัญญัติลงโทษการกระทำผิดในลักษณะการกระทำการเป็น Nominee ไว้อย่างชัดเจน จึงยังไม่อาจลงโทษพรรคพลังประชาชนได้รายละเอียดเป็นไปตามการสรุปสำนวนของคณะอนุกกต.เรื่องการกล่าวหากรณีการกระทำการเป็น Nominee ของพรรคพลังประชาชน ซึ่งความจริงแล้ว จากพฤติกรรมอันเกี่ยวกับที่มาของพรรคพลังประชาชน จะเห็นได้ว่า เกิดจากการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและคำสั่งศาล บิดเบือน หลีกเลี่ยงเพื่อมิให้คำตัดสินของศาลมีผลบังคับ อันเป็นความผิดตามมาตรา 68 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยแล้ว
การกระทำทางการเมืองของพรรคหุ่นเชิด หรือพรรคพลังประชาชน ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติ หรือระบอบการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากฏัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการธำรงรักษาไว้ ซึ่งเอกราชและความมั่นคงของชาติ โดยความเสียหายเกิดขึ้นหลายประการ ยากที่จะบรรยายให้หมดครบถ้วน ข้าพเจ้าขอเรียนให้ท่านทราบในเฉพาะบางกรณีดังนี้
1. วิธีการอันฉ้อฉล เพื่อให้เจตนารมณ์ของกฎหมายย่อมตกเป็นอันไร้ผลนั้น ได้ถูกนำมาใช้อย่างเปิดเผย ต่อเนื่องทุกวิถีทางโดยกรรมการบริหารของพรรคไทยรักไทย ซึ่งมีอำนาจครอบงำเหนือพรรคพลังประชาชนอย่างเบ็ดเสร็จเป็นการกระทำเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศนอกเหนือไปจากครรลองที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ และบั่นทอนทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากฏัตริย์เป็นประมุขอย่างชัดแจ้ง ตามประจักษ์พยานที่เห็นได้จากกิจกรรม การเคลื่อนไหว การส่งเอกสาร วิดีทัศน์ หรือเว็บไซต์ต่าง ๆ ซึ่งมีอยู่มากมายหลายแสนชิ้น นับเป็นการกระทำผิดอย่างต่อเนื่องและรุนแรงยิ่งกว่าในวันที่คำวินิจฉัยยุบพรรคไทยรักไทยเป็นต้นมา เป็นการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ซึ่งมุ่งหมายที่จะธำรงไว้ซึ่งระบอบประชาธิปไตยและอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย
2. บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 กำหนดไว้ว่า การเทิดทูนพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและเป็นมิ่งขวัญของชาติเป็นสิ่งสำคัญยิ่งเหนือสิ่งใดแต่นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาลของนายสมัคร สุนทรเวช กลับมีการพูดจา ปาฐกถา อันเป็นการจาบจ้วงองค์พระมหากษัตริย์ในการพูดที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) ซึ่งคำปาฐกถาดังกล่าวก่อให้เกิดความไม่พอใจและถูกต่อต้านจากเหล่าประชาชนผู้มีความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ จนกระทั่งนายจักรภพ เพ็ญแข ต้องยอมที่จะออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีฯ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีในข้อหาดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อองค์พระมหากษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 แต่ปรากฏว่า นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี กลับปล่อยปละละเลยให้มีการโฆษณาเผยแพร่ข้อความอันเป็นการจาบจ้วงและดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันในเว็บไซต์ของรัฐบาลไทยที่ www.thaigov.go.th ซึ่งเท่ากับรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี เป็นผู้ให้การสนับสนุนในการเผยแพร่ถ้อยคำปาฐกถาอันมิบังควรดังกล่าว รายละเอียดปรากฏตามเว็บไซต์ของรัฐบาลไทยที่แนบมาท้ายนี้ยิ่งไปกว่านั้น นายจักรภพ เพ็ญแข ยังได้เคยพูดปาฐกถาในประเทศสหรัฐอเมริกาในทำนองไม่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อีกด้วย แต่รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ก็ยังมิได้กระทำการใดๆ เกี่ยวกับความผิดดังกล่าวจนกระทั่งบัดนี้
3. รัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช ได้ทำการกลั่นแกล้ง โยกย้าย ผู้ที่ไม่ยอมเข้าเป็นพวกพ้องของตนอย่างไม่เป็นธรรม ทำให้ข้าราชการต่างๆ เสียขวัญและกำลังใจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจะโย้กย้ายกลุ่มพวกของตนให้เข้าสู่อำนาจ เข้ามารับใช้ตนในทางการเมือง เป็นการสร้างรัฐตำรวจขึ้นใหม่ในสังคมไทย เพื่อวางรากฐานแห่งอำนาจของตนและพรรคพวกต่อไปในอนาคต
4. มีกรณีการพยายามให้สินบนคณะตุลาการต่างๆ อย่างเช่น กรณีศาลฎีกา โดยนำเงินจำนวน 2 ล้านบาทไปมอบให้ไว้กับเจ้าหน้าที่ศาล เพื่อที่จะแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม และช่วยเหลือกลุ่มพวกพ้องของตนที่ถูกดำเนินคดีให้พ้นผิด อันเป็นการกระทำที่เป็นการบ่อนทำลายประชาธิปไตยเพื่อประโยชน์พวกพ้อง และทำลายความน่าเชื่อถือในระบบศาลยุติธรรม ซึ่งขณะนี้ศาลฎีกาอยู่ระหว่างการสืบสวนสอบสวนถึงเบื้องหลังและตัวผู้บงการสั่งการ แล้วนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษ
5. มีกระบวนการครอบงำคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อให้ทำการช่วยเหลือให้กลุ่มพวกพ้องของตนหลุดพ้นจากความผิดในเรื่องซื้อสิทธิขายเสียง ในการได่รับการเลือกตั้งให้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร มีการให้ผลประโยชน์กับเจ้าหนี้ในคณะกรรมการการเลือกตั้งบางคน จนทำให้กลุ่มประชาชนส่วนใหญ่เกิดความไม่พอใจและเดินขบวนขับไล่กรรมการการเลือกตั้งบางคนที่มีความประพฤติส่อไปในทางไม่สุจริต
6.มีความพยายามที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 เพื่อช่วยเหลือให้พวกพ้องตนเองพ้นผิดซึ่งขณะนี้พรรคพลังประชาชนกระทำการให้มีการเกิดประชุมสภาผู้แทนสมัยวิสามัญ โดยมีวัตถุประสงค์แอบแฝงที่เห็นได้อย่างชัดแจ้ง คือ การยื่นญัญติขอแก้ไขรัฐธรรนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 เพื่อแก้ไขให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกรรมการบริหารคนอื่นๆของพรรคไทยรักไทยพ้นผิดจากข้อกล่าวหาตามกฏหมายต่างๆ รวมทั้งการตัดสิทธิทางการเมือง ย่อมเป็นข้อเท็จจริงอันมิอาจปฏิเสธได้ว่า เป็นการรวมกลุ่มกระทำการอันมิชอบด้วยกฏหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศนอกเหนือไปจากครรลองที่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรนูญ นั่นเอง
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ข้าพเจ้าจึงขอเสนอเรื่องให้ท่านตรวจสอบข้อเท็จจริงและยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการว่า พรรคพลังประชาชนมีที่มาอันไม่ชอบด้วยกฏหมาย ไม่สามารถเข้าสมัครรับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ รัฐบาลที่จัดตั้งโดยมีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำจึงสิ้นสภาพไปด้วย เพราะมีที่มาอันไม่ชอบ ไม่อาจกระทำหน้าที่ในฐานะที่เป็นรัฐบาล รัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีได้อีกต่อไป ทั้งนี้ขอให้ท่านรีบดำเนินการโดยด่วนที่สุด เนื่องจากขณะนี้พรรคพลังประชาชนโดยนายสมัคร สุนทรเวช ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ได้สร้างความเสียหายต่างๆให้เกิดขึ้นกับประเทศชาติอีกมากมาย และมีการกระทำให้เกิดความเสียหายต่อเนื่องเพิ่มมากยิ่งขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อย่างเช่นการเผยแพร่ถ้อยคำพูดของนายจักรภพ เพ็ญแข ต่อสาธารณชนผ่านทางเว็บไซต์ของรัฐบาล ทั้งๆ ที่ถ้อยคำพูดดังกล่าวไม่ควรจะถูกถ่ายทอดแพร่หลายต่อไปในวงกว้าง หากละเลยปล่อยให้รัฐบาลนี้บริหารประเทศชาติบ้านเมืองต่อไป โดยทำให้กระบวนการตรวจสอบช้าเนิ่นนานไป ก็อาจยากเกินกว่าที่จะเยียวยาแก้ไขได้ หรือ อย่างกรณีมีการรังแกกลั่นแกล้งโยกย้ายข้าราชการประจำต่างๆ มีการกลั่นแกล้งขอออกหมายจับข้าราชการที่ไม่อยู่ในกลุ่มพวกพ้องของตนแต่กระทำตัวเป็นกลางทำงานเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ โดยขอให้ท่านรีบดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงซึ่งเป็นที่รู้กันอยู่ไปแล้ว โดยรีบยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้ นายสมัคร สุนทรเวช กับพวกพ้องและพรรคพลังประชาชน ยุติการกระทำที่ไม่ชอบดังกล่าวข้างตน และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ยุบพรรคพลังประชาชน รวมทั้งตัดสิทธิทางการเมืองผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งกรรมการบริหารพรรคพลังประชาชน ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอีกตลอดจนดำเนินคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับบุคคลดังกล่าวทั้งหมดด้วย ตามกฏหมายต่างๆ และตามมาตรา 68 มาตรา 69 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550
ขอแสดงความนับถือ
(พลตำรวจเอก เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส)