ค่ำวันศุกร์ที่ 6 มิถุนายน นี้ ผมจะไปพูดบนเวทีพันธมิตรฯ ซึ่งปักหลักชุมนุมคัดค้านรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวชมาครบ 13 วัน เริ่มด้วยการต่อต้านประเด็นที่รัฐบาลและหรือพรรคพลังประชาชนจะดันทุรังแก้รัฐธรรมนูญ เพื่อช่วยให้พ.ต.ท.ทักษิณ พ้นจากความผิดทั้งปวง
สิ่งที่สังคมไทยมิได้สำเหนียกก็คือ รัฐบาลหรือพรรคประชาชน แท้ที่จริงก็คือพรรคหรือพวกเดียวกัน ที่ได้เที่ยวสร้างความกลับกลอกและสับสนให้กับสังคมว่า การแก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของรัฐสภา รัฐบาลไม่เกี่ยว
ครั้นมีการโจมตีมากขึ้น ก็เกิดความสับสนรวนเร มีผู้เสนอญัตติทั้งผู้ที่เป็นสมาชิกวุฒิสภา และเป็น ส.ส.ของพรรคพลังประชาชนพากันถอนชื่อ จนกระทั่งญัตติขอแก้รัฐธรรมนูญตกไป บ้างก็อ้างว่ายังไม่ตก เป็นการสร้างภาพลวงตา หรืออาศัยเทคนิคเกี่ยวกับระเบียบข้อบังคับการเสนอญัตติมาลวงให้พันธมิตรฯ ตายใจ ซ้ำร้ายถ้าหากเทคนิคที่ซ่อนเงื่อนเอาไว้นั้นเกิดไม่เป็นผล สมาชิกพรรคพลังประชาชนที่สำรองไว้ในนามเพื่อนเนวินก็ลงชื่อเตรียมไว้พร้อมแล้วร้อยกว่าคน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า (1) ระเบียบข้อบังคับและพฤติกรรมในสภานิติบัญญัติของเราเหลวไหลเละเทะ ไร้มาตรฐาน เชื่อถืออะไรก็มิได้ (2) รัฐบาลและพรรคพลังประชาชนนี้ ถ้าไม่ทุกคน ก็ส่วนใหญ่เป็นพวกที่ขดในข้องอในกระดูก กลับกลอกยอกย้อน เชื่อถืออะไรไม่ได้ยิ่งเข้าไปอีก และ (3) พรรคหรือคนพวกนี้ มิได้มีลักษณะเป็นพรรค แต่เป็นแก๊งถึงจะมิใช่ก็เกือบจะเหมือนอั้งยี่ ที่มีระบบควบคุมกันแบบ “รวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสหัวหน้า” (หรือท่านรองฯ) ลดหลั่นกันไป
ในขณะเดียวกัน พันธมิตรฯ ซึ่งต่อมสำนึกรู้ช้า แต่ก็โชคดีที่มีองค์ความรู้และความเพียรอยู่มาก เพราะรู้สึกรับผิดชอบว่าตนต้องออกหน้าในการต่อสู้เพื่อชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ (และรัฐธรรมนูญ) ก็แสดงความรู้ทันว่าจะไม่สนใจกับข้อเรียกร้องที่นำมาพบความกลับกลอกเรื่องแก้หรือไม่แก้รัฐธรรมนูญอีกต่อไปแล้ว แต่ขอเพิ่มการเรียกร้องขึ้นไปการขับไล่ให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลออกจากตำแหน่งไปเลยทีเดียว โดยไม่ได้อธิบายให้สังคมเข้าใจว่า ถ้านายสมัครออกไปแล้วอะไรจะเกิดขึ้น ดีหรือเลวต่อการต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างไร
ฝ่ายนายกรัฐมนตรีก็ออกมาขู่ว่าจะย่อยสลายการชุมนุม โดยจะต้องใช้กำลังก็จะไม่รู้สึกผิดอะไร
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ทำให้สังคมเกิดความอึดอัดระคนตื่นเต้นไปทั่วกัน ต่างก็คอยพึ่งโหรกันทั้งนั้นว่า คราวนี้จะนองเลือดหรือจะปฏิวัติ หรือทั้งสองอย่าง ส่วนประชาชนหรือประเทศชาติจะเดือดร้อนอย่างไร ไม่สู้จะมีใครตั้งสมาธิหรือใช้ปัญญาคิดให้แตกทั้งสองข้าง
ครั้นเวลาเนิ่นนานไป ความเครียดก็เกิดขึ้นกับคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่าย ตลอดจนคนดู และกองเชียร์ของแต่ละข้าง
ผมเองเห็นด้วยว่าพันธมิตรฯ มีสิทธิชุมนุมประท้วงต่อไปได้ แม้ข้อเรียกร้องที่มีเพิ่มเข้ามาก็ยังมีเหตุผลฟังขึ้น
ในฐานะผู้จงรักภักดีและถือเป็นหน้าที่จะต้องพิทักษ์สถาบันกษัตริย์และการปกครองระบอบประชาธิปไตย พันธมิตรฯ ถือว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลตลอดจนหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบ พากันละเลยหน้าที่ สมคบ ยุยงส่งเสริมให้สมาชิกชั้นแนวหน้าในรัฐบาลและในพรรคของตน กระทำตนเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันกษัตริย์และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างโจ่งแจ้ง ดังเช่น กรณีของนายจักรภพ เพ็ญแข ที่ไปพูดในสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในเดือนสิงหาคม 2550 และกับบรรดาคนไทยในลอสแองเจลิส ในวันที่ 10 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน
เฉพาะการพูดเป็นภาษาไทย แปลเป็นอย่างอื่นมิได้แค่ 3 ประเด็นหลักๆ คือ (1) การโจมตีหลวงตามหาบัวว่าทะเยอทยานอยากเรียนลัดขึ้นเป็นสังฆราชเพราะสินทรัพย์กว่าสี่แสนล้านของกรมศาสนาฯ (2) ระบบในพระราชสำนัก (ยกเว้นราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่)แวดล้อมไปด้วยข้าราชบริพารที่โกหกตอแหล (3) ระบอบทักษิณเตรียมกำลังไว้ปราบการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 พร้อม ชนิดรบเมื่อไร ชนะเมื่อนั้น แต่เป็นการเตรียมเพื่อปราบพล.อ.เปรม ต่อเมื่อนายสุรเกียรติ์มากระซิบจึงทราบว่าจะต้องต่อสู้กับผู้ที่สูงกว่าพล.อ.เปรม ซึ่งไม่ได้เตรียมมา จึง “ไม่รู้แล้วรู้รอดไปเสียที” ทั้ง 3 ข้อนี้ ในสายตาของบทบัญญัติกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ถ้านายจักรภพไม่หนี ก็จะต้องติดคุกแน่ๆ
การที่นายจักรภพแสดงความรับผิดชอบแค่ลาออกโดยมีเงื่อนเวลาถ่วงไว้ซะอีก ซ้ำแทนที่จะสำนึกขอโทษกล่าวความเสียใจหรือสัญญาว่าจะเข็ดหลาบ กลับแสดงความอวดดีว่าเป็นการลาออกตามยุทธวิธีแบบ “ยอมให้กินเบี้ย เพื่อรักษาขุน” และประกาศว่าจะต่อสู้ต่อไปอย่างไม่ลดละ จนกระทั่งประสบชัยชนะขั้นสุดท้าย
เยี่ยงนี้ไม่เปิดโอกาสจะต้องให้แปลภาษาหรือความหมายใดๆ อีก นอกจากจะถือว่า การกระทำและเจตนาของนายจักรภพ คือความต่อเนื่องอย่างไม่ขาดสายของระบบพฤติกรรมหรือการกระทำของพรรคพลังประชาชนที่เริ่มมาตั้งแต่สมัยยังใช้ชื่อว่าพรรคไทยรักไทย ซึ่งต้องคำพิพากษาให้ยุบพรรคเพราะมีพฤติกรรมเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พร้อมทั้งตัดสิทธิทางการเมืองของบรรดาผู้บริหารพรรคมิให้ใช้สิทธิทางการเมืองอันได้แก่การลงคะแนนเลือกตั้ง สมัครรับเลือกตั้งหรือดำรงตำแหน่งการเมืองใดๆ รวมทั้งกระทำการ (ในคำพิพากษา) ที่เป็นการฉ้อและเพื่อให้คำพิพากษาของศาลดังกล่าวหมดความหมาย
การกระทำของนายจักรภพและพวกพ้องรวมทั้งลูกจ้างคือนายสมัคร ก็คือการกระทำสมรู้ร่วมคิด จัดให้ สมคบหรือสนับสนุนการกระทำอันเป็นการ “ฉ้อฉล” ตามที่ศาลห้ามไว้นั่นเอง
ผมนี้มหัศจรรย์ใจเป็นยิ่งนักที่สังคมไทย วงวิชาการไทย สื่อไทย ตลอดจนนักการเมืองไทยขาดต่อมรับรู้และไม่เข้าใจว่า พรรคพลังประชาชนนี้เป็นพรรคนอกกฎหมาย ผิดกฎหมายหรือไม่มีสภาพเป็นพรรคการเมืองที่ถูกต้องมาแต่ต้น เพราะเป็นความต่อเนื่องและเป็นส่วนหนึ่งของความฉ้อฉลตามที่ศาลได้พิพากษาไว้แล้ว นอกจากนั้นการกระทำของบุคคลในพรรคนี้ เยี่ยงเดียวกับนายจักรภพ เพ็ญแข นับตั้งแต่อดีตหัวหน้าพรรคและผู้บริหารจำนวนมากลงมาถึงลูกพรรคธรรมดา ทั้งในและนอกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งที่กระทำในต่างประเทศ ในชนบทบ้านนอก ในเขตเทศบาล ในหน้าหนังสือ พิมพ์และสื่อต่างๆ ตลอดจนเว็บไซต์จำนวนมหาศาลเป็นการกระทำความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์และการปกครองระบอบประชาธิปไตยตามมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ
ผมเศร้าใจที่เหตุไฉนพันธมิตรฯ เองก็ดี ข้าราชการหรือผู้ใดที่พบเห็นก็ดี ไม่พากันกล่าวโทษฟ้องร้องให้มีการดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา ให้นำผู้กระทำผิดทั้งพรรคมาลงโทษ
กลับปล่อยให้ลอยชายพากัน “ฉ้อฉล” เข้ามายึดอำนาจรัฐเป็นรัฐบาล ทั้งๆ ที่มีข้อหาผิดกฎหมายเลือกตั้งกฎหมายพรรคกันอีกหลายคน หลายมาตรา หากไม่มีการใช้ช่องว่าง เกียร์ว่าง หรือความเฉยเมย สร้างเงื่อนไขเงื่อนเวลาให้เป็นประโยชน์แก่ผู้กระทำผิด ป่านนี้ประเทศไทยก็จะไม่ต้องแบกภาระของการมีรัฐบาลนอกกฎหมายมาจนกระทั่งทุกวันนี้
และขณะนี้ รัฐบาลนอกกฎหมายก็กำลังจะจ้องฆ่าประชาธิปไตยและผู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับตน และจะเป็นต้นเหตุให้เกิดการนองเลือดครั้งใหญ่ การสถาปนารัฐตำรวจ และระบบเผด็จการพลเรือน ที่อาศัยการเลือกตั้งบังหน้า
เรื่องทั้งหมดและรายละเอียดคำพิพากษาและการวิเคราะห์ความผิดกฎหมายของพรรคพลังประชาชน ผมได้เขียนไว้ในบทความหลายบท และรวมกันเป็นหนังสือเล่มชื่อ “พระราชอำนาจจากพระโอษฐ์ในหลวง” และ “เลือกตั้งน้ำเน่า เราจะพากันไปตาย”
คุณอุดร ตันติสุนทร พิมพ์แจกฟรี จำนวน 1 หมื่นเล่ม หมดไปแล้วตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2550 ก่อนการเลือกตั้ง
แต่จนกระทั่งบัดนี้ คนไทยส่วนมากรวมทั้งพันธมิตรฯ ก็ยังไม่รู้ว่าเรามีรัฐบาลนอกกฎหมายมา 3-4 เดือนแล้วเพิ่งจะตื่นมาโห่ร้องขับไล่กัน
ความจริงไม่ต้องขับไล่หรอก หากบ้านนี้เมืองนี้กฎหมายเป็นใหญ่ ไม่ใช่บุคคลเป็นใหญ่ ไม่ปล่อยให้มีการหักดิบกฎหมาย ป่านนี้ไปนานแล้วทั้งพรรคทั้งรัฐบาล ดีไม่ดีอดีตนายกรัฐมนตรีสองคนอาจจะเข้าไปสนทนากันในคุกเรียบร้อยแล้วเสียด้วยซ้ำไป
สิ่งที่สังคมไทยมิได้สำเหนียกก็คือ รัฐบาลหรือพรรคประชาชน แท้ที่จริงก็คือพรรคหรือพวกเดียวกัน ที่ได้เที่ยวสร้างความกลับกลอกและสับสนให้กับสังคมว่า การแก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องของรัฐสภา รัฐบาลไม่เกี่ยว
ครั้นมีการโจมตีมากขึ้น ก็เกิดความสับสนรวนเร มีผู้เสนอญัตติทั้งผู้ที่เป็นสมาชิกวุฒิสภา และเป็น ส.ส.ของพรรคพลังประชาชนพากันถอนชื่อ จนกระทั่งญัตติขอแก้รัฐธรรมนูญตกไป บ้างก็อ้างว่ายังไม่ตก เป็นการสร้างภาพลวงตา หรืออาศัยเทคนิคเกี่ยวกับระเบียบข้อบังคับการเสนอญัตติมาลวงให้พันธมิตรฯ ตายใจ ซ้ำร้ายถ้าหากเทคนิคที่ซ่อนเงื่อนเอาไว้นั้นเกิดไม่เป็นผล สมาชิกพรรคพลังประชาชนที่สำรองไว้ในนามเพื่อนเนวินก็ลงชื่อเตรียมไว้พร้อมแล้วร้อยกว่าคน
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า (1) ระเบียบข้อบังคับและพฤติกรรมในสภานิติบัญญัติของเราเหลวไหลเละเทะ ไร้มาตรฐาน เชื่อถืออะไรก็มิได้ (2) รัฐบาลและพรรคพลังประชาชนนี้ ถ้าไม่ทุกคน ก็ส่วนใหญ่เป็นพวกที่ขดในข้องอในกระดูก กลับกลอกยอกย้อน เชื่อถืออะไรไม่ได้ยิ่งเข้าไปอีก และ (3) พรรคหรือคนพวกนี้ มิได้มีลักษณะเป็นพรรค แต่เป็นแก๊งถึงจะมิใช่ก็เกือบจะเหมือนอั้งยี่ ที่มีระบบควบคุมกันแบบ “รวมศูนย์-รวบอำนาจ-เป็นทาสหัวหน้า” (หรือท่านรองฯ) ลดหลั่นกันไป
ในขณะเดียวกัน พันธมิตรฯ ซึ่งต่อมสำนึกรู้ช้า แต่ก็โชคดีที่มีองค์ความรู้และความเพียรอยู่มาก เพราะรู้สึกรับผิดชอบว่าตนต้องออกหน้าในการต่อสู้เพื่อชาติ-ศาสนา-พระมหากษัตริย์ (และรัฐธรรมนูญ) ก็แสดงความรู้ทันว่าจะไม่สนใจกับข้อเรียกร้องที่นำมาพบความกลับกลอกเรื่องแก้หรือไม่แก้รัฐธรรมนูญอีกต่อไปแล้ว แต่ขอเพิ่มการเรียกร้องขึ้นไปการขับไล่ให้นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลออกจากตำแหน่งไปเลยทีเดียว โดยไม่ได้อธิบายให้สังคมเข้าใจว่า ถ้านายสมัครออกไปแล้วอะไรจะเกิดขึ้น ดีหรือเลวต่อการต่อสู้เพื่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างไร
ฝ่ายนายกรัฐมนตรีก็ออกมาขู่ว่าจะย่อยสลายการชุมนุม โดยจะต้องใช้กำลังก็จะไม่รู้สึกผิดอะไร
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ทำให้สังคมเกิดความอึดอัดระคนตื่นเต้นไปทั่วกัน ต่างก็คอยพึ่งโหรกันทั้งนั้นว่า คราวนี้จะนองเลือดหรือจะปฏิวัติ หรือทั้งสองอย่าง ส่วนประชาชนหรือประเทศชาติจะเดือดร้อนอย่างไร ไม่สู้จะมีใครตั้งสมาธิหรือใช้ปัญญาคิดให้แตกทั้งสองข้าง
ครั้นเวลาเนิ่นนานไป ความเครียดก็เกิดขึ้นกับคู่ต่อสู้ทั้งสองฝ่าย ตลอดจนคนดู และกองเชียร์ของแต่ละข้าง
ผมเองเห็นด้วยว่าพันธมิตรฯ มีสิทธิชุมนุมประท้วงต่อไปได้ แม้ข้อเรียกร้องที่มีเพิ่มเข้ามาก็ยังมีเหตุผลฟังขึ้น
ในฐานะผู้จงรักภักดีและถือเป็นหน้าที่จะต้องพิทักษ์สถาบันกษัตริย์และการปกครองระบอบประชาธิปไตย พันธมิตรฯ ถือว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลตลอดจนหน่วยงานที่ต้องรับผิดชอบ พากันละเลยหน้าที่ สมคบ ยุยงส่งเสริมให้สมาชิกชั้นแนวหน้าในรัฐบาลและในพรรคของตน กระทำตนเป็นปฏิปักษ์กับสถาบันกษัตริย์และระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างโจ่งแจ้ง ดังเช่น กรณีของนายจักรภพ เพ็ญแข ที่ไปพูดในสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศในเดือนสิงหาคม 2550 และกับบรรดาคนไทยในลอสแองเจลิส ในวันที่ 10 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน
เฉพาะการพูดเป็นภาษาไทย แปลเป็นอย่างอื่นมิได้แค่ 3 ประเด็นหลักๆ คือ (1) การโจมตีหลวงตามหาบัวว่าทะเยอทยานอยากเรียนลัดขึ้นเป็นสังฆราชเพราะสินทรัพย์กว่าสี่แสนล้านของกรมศาสนาฯ (2) ระบบในพระราชสำนัก (ยกเว้นราชวงศ์ชั้นผู้ใหญ่)แวดล้อมไปด้วยข้าราชบริพารที่โกหกตอแหล (3) ระบอบทักษิณเตรียมกำลังไว้ปราบการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 พร้อม ชนิดรบเมื่อไร ชนะเมื่อนั้น แต่เป็นการเตรียมเพื่อปราบพล.อ.เปรม ต่อเมื่อนายสุรเกียรติ์มากระซิบจึงทราบว่าจะต้องต่อสู้กับผู้ที่สูงกว่าพล.อ.เปรม ซึ่งไม่ได้เตรียมมา จึง “ไม่รู้แล้วรู้รอดไปเสียที” ทั้ง 3 ข้อนี้ ในสายตาของบทบัญญัติกฎหมายที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ถ้านายจักรภพไม่หนี ก็จะต้องติดคุกแน่ๆ
การที่นายจักรภพแสดงความรับผิดชอบแค่ลาออกโดยมีเงื่อนเวลาถ่วงไว้ซะอีก ซ้ำแทนที่จะสำนึกขอโทษกล่าวความเสียใจหรือสัญญาว่าจะเข็ดหลาบ กลับแสดงความอวดดีว่าเป็นการลาออกตามยุทธวิธีแบบ “ยอมให้กินเบี้ย เพื่อรักษาขุน” และประกาศว่าจะต่อสู้ต่อไปอย่างไม่ลดละ จนกระทั่งประสบชัยชนะขั้นสุดท้าย
เยี่ยงนี้ไม่เปิดโอกาสจะต้องให้แปลภาษาหรือความหมายใดๆ อีก นอกจากจะถือว่า การกระทำและเจตนาของนายจักรภพ คือความต่อเนื่องอย่างไม่ขาดสายของระบบพฤติกรรมหรือการกระทำของพรรคพลังประชาชนที่เริ่มมาตั้งแต่สมัยยังใช้ชื่อว่าพรรคไทยรักไทย ซึ่งต้องคำพิพากษาให้ยุบพรรคเพราะมีพฤติกรรมเป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พร้อมทั้งตัดสิทธิทางการเมืองของบรรดาผู้บริหารพรรคมิให้ใช้สิทธิทางการเมืองอันได้แก่การลงคะแนนเลือกตั้ง สมัครรับเลือกตั้งหรือดำรงตำแหน่งการเมืองใดๆ รวมทั้งกระทำการ (ในคำพิพากษา) ที่เป็นการฉ้อและเพื่อให้คำพิพากษาของศาลดังกล่าวหมดความหมาย
การกระทำของนายจักรภพและพวกพ้องรวมทั้งลูกจ้างคือนายสมัคร ก็คือการกระทำสมรู้ร่วมคิด จัดให้ สมคบหรือสนับสนุนการกระทำอันเป็นการ “ฉ้อฉล” ตามที่ศาลห้ามไว้นั่นเอง
ผมนี้มหัศจรรย์ใจเป็นยิ่งนักที่สังคมไทย วงวิชาการไทย สื่อไทย ตลอดจนนักการเมืองไทยขาดต่อมรับรู้และไม่เข้าใจว่า พรรคพลังประชาชนนี้เป็นพรรคนอกกฎหมาย ผิดกฎหมายหรือไม่มีสภาพเป็นพรรคการเมืองที่ถูกต้องมาแต่ต้น เพราะเป็นความต่อเนื่องและเป็นส่วนหนึ่งของความฉ้อฉลตามที่ศาลได้พิพากษาไว้แล้ว นอกจากนั้นการกระทำของบุคคลในพรรคนี้ เยี่ยงเดียวกับนายจักรภพ เพ็ญแข นับตั้งแต่อดีตหัวหน้าพรรคและผู้บริหารจำนวนมากลงมาถึงลูกพรรคธรรมดา ทั้งในและนอกสภาผู้แทนราษฎร ทั้งที่กระทำในต่างประเทศ ในชนบทบ้านนอก ในเขตเทศบาล ในหน้าหนังสือ พิมพ์และสื่อต่างๆ ตลอดจนเว็บไซต์จำนวนมหาศาลเป็นการกระทำความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์และการปกครองระบอบประชาธิปไตยตามมาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ
ผมเศร้าใจที่เหตุไฉนพันธมิตรฯ เองก็ดี ข้าราชการหรือผู้ใดที่พบเห็นก็ดี ไม่พากันกล่าวโทษฟ้องร้องให้มีการดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา ให้นำผู้กระทำผิดทั้งพรรคมาลงโทษ
กลับปล่อยให้ลอยชายพากัน “ฉ้อฉล” เข้ามายึดอำนาจรัฐเป็นรัฐบาล ทั้งๆ ที่มีข้อหาผิดกฎหมายเลือกตั้งกฎหมายพรรคกันอีกหลายคน หลายมาตรา หากไม่มีการใช้ช่องว่าง เกียร์ว่าง หรือความเฉยเมย สร้างเงื่อนไขเงื่อนเวลาให้เป็นประโยชน์แก่ผู้กระทำผิด ป่านนี้ประเทศไทยก็จะไม่ต้องแบกภาระของการมีรัฐบาลนอกกฎหมายมาจนกระทั่งทุกวันนี้
และขณะนี้ รัฐบาลนอกกฎหมายก็กำลังจะจ้องฆ่าประชาธิปไตยและผู้ที่เป็นปฏิปักษ์กับตน และจะเป็นต้นเหตุให้เกิดการนองเลือดครั้งใหญ่ การสถาปนารัฐตำรวจ และระบบเผด็จการพลเรือน ที่อาศัยการเลือกตั้งบังหน้า
เรื่องทั้งหมดและรายละเอียดคำพิพากษาและการวิเคราะห์ความผิดกฎหมายของพรรคพลังประชาชน ผมได้เขียนไว้ในบทความหลายบท และรวมกันเป็นหนังสือเล่มชื่อ “พระราชอำนาจจากพระโอษฐ์ในหลวง” และ “เลือกตั้งน้ำเน่า เราจะพากันไปตาย”
คุณอุดร ตันติสุนทร พิมพ์แจกฟรี จำนวน 1 หมื่นเล่ม หมดไปแล้วตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2550 ก่อนการเลือกตั้ง
แต่จนกระทั่งบัดนี้ คนไทยส่วนมากรวมทั้งพันธมิตรฯ ก็ยังไม่รู้ว่าเรามีรัฐบาลนอกกฎหมายมา 3-4 เดือนแล้วเพิ่งจะตื่นมาโห่ร้องขับไล่กัน
ความจริงไม่ต้องขับไล่หรอก หากบ้านนี้เมืองนี้กฎหมายเป็นใหญ่ ไม่ใช่บุคคลเป็นใหญ่ ไม่ปล่อยให้มีการหักดิบกฎหมาย ป่านนี้ไปนานแล้วทั้งพรรคทั้งรัฐบาล ดีไม่ดีอดีตนายกรัฐมนตรีสองคนอาจจะเข้าไปสนทนากันในคุกเรียบร้อยแล้วเสียด้วยซ้ำไป