"เชษฐ์ สไมล์ บัฟฟาโล่" กระโดดขึ้นเวทีพันธมิตรฯ แต่งเพลงถล่มรัฐบาล จวก เป็นรัฐบาลที่ทำให้บ้านเมืองร้อนเป็นไฟ ประชาชนเผชิญปัญหาข้าวยากหมากแพงไม่เหลียวแล มัวแต่จะแก้รัฐธรรมนูญ บอก ถ้าทำงานไม่ได้ก็ควรลาออกไป
ทำเอาหนุ่ม "เชษฐ์ วรเชษฐ์ เอมเปีย" อดีตมือกลอง วงสไมล์ บัฟฟาโล่ (SMILE BUFFALO) ถึงกับอดรนทนไม่ไหว ต้องออกมาแสดงพลังร่วมกับผู้ชุมนุมพันธมิตรฯ หลังจากเห็นชาวบ้านต้องไปเก็บเมล็ดข้าวที่หล่นในนาข้าวกิน เนื่องจากเกิดวิกฤตข้าวยากหมากแพง จนไม่มีเงินซื้อข้าวสารกรอกหม้อ อัตคัดจนน่าหดหู่
แต่รัฐบาลภายใต้การบริหารของ "นายกฯสมัคร สุนทรเวช" กลับปล่อยให้บ้านเมืองต้องเผชิญความวิบัติ แทนที่จะเร่งแก้ปัญหาปากท้องของประชาชนก่อน กลับไปง่วนอยู่กับการแก้รัฐธรรมนูญ งานนี้หนุ่มเชษฐก็เลยเดือดปุดๆ ออกมาฉะแหลก พร้อมยังบอกอีกว่า ถ้าจะเป็นอะไรไปเพราะช่วยบ้านเมืองก็จะยอม
“จริงๆ ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ขึ้นนะครับ วันนี้เป็นวันที่ 2 แล้ว เมื่อวันที่ 26 ผมก็มา แต่เมื่อวันที่ 27 ไม่ได้มาเพราะเป็นวันเกิดผมเลยต้องกลับไปหาแม่ ผมต้องไปไหว้แม่ และวันนี้ที่มาอีกครั้งหนึ่งเพราะสัญญาไว้ว่าจะมาอีกครั้ง แล้วที่ผมมาก็ตัดสินใจดีแล้ว เพราะว่าเรื่องข้าว ผมจะพูดประเด็นนี้อย่างเดียวเลย เพราะข้าวมันเป็นสิ่งที่เราต้องกิน และตอนนี้ประชาชนทั่วไป ไม่ว่าจะบ้านผมที่ชลบุรี (อำเภอพนัสนิคม) หรือคนกรุงเทพเดือดร้อนหมด ผมอยู่ชุมชน แล้วผมจะเห็นเขาอดอยากมาก ก็เลยคิดว่าเอ๊ะทำไมเราไม่ทำอะไรสักอย่าง”
“แถวบ้านผมเขาก็รู้จักผมดี ว่าพี่เชษฐ์ๆ แล้วเราเองเราก็น่าจะช่วยเหลือเขาได้บ้าง ก็เลยคิดในใจว่าเอาล่ะ ผมต้องขึ้นเวทีนี้แล้ว เพราะว่ามันอึดอัดมานานมาก แล้วก็คุยกับเพื่อนทุกวัน คุยอยู่แต่กับเรื่องนี้เรื่องเดียว แล้วมันก็วุ่นวายมามากแล้ว ก็เลยคิดว่าถ้าเราได้เป็นหนึ่งเฟืองในการหมุน หรือว่ามดหนึ่ง ตัวที่มาร่วมพลังก็น่าจะดีครับ”
“2 ปีที่แล้วไม่ได้มา คราวที่แล้วไม่ได้มาเพราะว่าครั้งที่แล้วข้าวยังไม่ถึงขนาดนี้ แต่ที่ผมมาคือเรื่องข้าว เรื่องนี้ที่ผมเจ็บปวด มันเหมือนว่าเราเห็นชาวบ้านอดอยาก ชาวบ้านเก็บขยะกิน มันก็เกินไปแล้วนะ มันไม่ไหว เราดูแล้วเราน่าจะมีพาวเวอร์อะไรสักอย่าง ที่จะช่วยเขาได้ เราอาจจะเป็นแรงน้อยนิด แต่เราก็ด้วยใจ แล้วเราก็เป็นประชาธิปไตยที่เรามีสิทธิ์ออกเสียงได้ด้วย”
“คนเราก็ต้องมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย แน่นอน แต่ว่าตอนนี้เรามาทำเพื่อประชาธิปไตย แล้วก็มาช่วยเป็นพลังในการที่จะทำให้ทุกคนมีข้าวกินที่ราคาถูก ถ้าเกิดว่าจะต้องบาดเจ็บหรือว่าโดนใครดักตี ผมก็ยอม ไม่เป็นไร เราถือว่าเรามาช่วยเขาแล้ว ถ้าเขาตีเราก็ต้องยอมไม่เป็นไร ถือว่าก็ไม่ห่วงตัวเองแล้วครับ”
“ครอบครัวก็เป็นห่วงครับ พี่สาวก็ไม่อยากให้มา พ่อแม่ก็ไม่อยากให้มา แต่ว่าเขาก็รู้ว่าผมเป็นประเภทใจมาแล้วก็คือต้องมาให้ได้ เขาก็เลยเข้าใจ ก็บอกว่าเออ ถ้ามาก็ดูแลตัวเองดีๆ ตอนนี้แม่ผมก็นอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลด้วย แต่ว่าเราก็แข็งแรงในเรื่องของจิตใจ เขาจึงยอมให้มา”
“ตอนนี้ไปไหนมาไหนก็ลำบากหน่อย สมมติว่าเราจะขึ้นแท็กซี่ก็หมดสิทธิ์ เมื่อวันก่อนเจอ หลังจากวันนั้นที่ผมมา เวลาผมโบกแท็กซี่เขาก็ไม่รับ คนไหนที่เขารู้เขาก็ไม่รับ ไปไหนเราก็ต้องเอารถไปเอง เพราะว่าอย่าลืมว่าเราทำตรงนี้ในกลุ่มเขาทางโน้นก็ต้องไม่ชอบอยู่แล้วแน่นอน แต่ผมไม่ได้รุนแรงนะ ผมเป็นคนที่มาพูดต่อสู้ในเรื่องข้าว จุดประสงค์ของผมมาพูดเรื่องข้าว ข้าวมันแพงเท่านั้นเอง ไม่ได้หาเรื่องไปท้าต่อยกับฝั่งโน้น ผมไม่ได้แบ่งพวก ผมถือว่าทุกคนเป็นประชาชนทั่วไป เพียงแต่ความคิดไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง”
“ถึงจะเสี่ยงมันก็เปลี่ยนใจไม่ทันแล้ว มันหมดสิทธิ์แล้ว (หัวเราะ) มาแล้วก็ต้องมาเลย ผมเรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ท่านรองอธิการบดีเก่าคือท่านอาจารย์สุภา ท่านโทรศัพท์มาหาผม ท่านบอกว่าทำถูกแล้ว ทำไปเลย ทำในสิ่งที่ถูกทำไปเลยทำไป แล้วก็จะมีเพื่อนๆ ผมเป็นกำลังใจ แล้วก็มีอาจารย์ นักวิชาการต่างๆ เป็นกำลังใจให้ ก็บอกว่าไม่ต้องกลัวใคร เพราะเราทำในสิ่งที่ดี ทำในสิ่งที่ถูกต้อง”
“ก่อนจะมาชุมนุมผมปรึกษาผู้ใหญ่หลายท่าน ตั้งแต่ที่มหาวิทยาลัย ท่านอธิการบดี ท่านรองอธิการบดี เพื่อนๆ แล้วก็ผู้ใหญ่ในวงการนี้ เมื่อกี้เจอกับน้าหงา คาราวาน น้าหงา เป็นคนที่ผมนับถือมากๆ นับถือมานานแล้ว งาน 60 ปีเขาผมก็ไป แล้วผมก็ติดตามเขามานาน เพียงแต่ว่าผมไม่ได้มายุ่งกับเขา เพราะว่าตอนนั้นข้าวก็ยังไม่ถึงขนาดนี้ แต่ตอนนี้เห็นประชาชนเก็บข้าวกินแล้วมันทุเรศ ทั้งที่เมืองเราเป็นอู่ข้าวอู่น้ำ แต่เราต้องมาเก็บข้าวที่เม็ดหล่นในนากิน ดูมันน่าเกลียด ทุเรศเกินไป”
“เรื่องข้าวที่เราทุกคนต้องกินทุกวัน ต้องแก้ด่วนเลยครับ ข้าวนี่สำคัญมากเลย ลองคิดสิครับ ว่าเรามัวแต่ไปทำอย่างอื่น กว่าจะไปทำอะไรต่างๆ ยิ่งไปทำหลายเรื่องที่ต้องใช้งบประมาณอีกเป็นพันล้าน จะมาทำประชามติอะไรกัน เสียงบประมาณเปล่าๆ แทนที่เราจะเอาเงินมาแก้ มาช่วยเหลือปัญหาตรงนี้ดีกว่ามั้ย ไม่ใช่จะแก้รัฐธรรมนูญอย่างเดียว”
“จะอยากไปแก้ทำไม โอ้โห..มันเสียเวลามากเลย ตอนนี้เราต้องรู้ว่าเราต้องทำอะไรจุดไหนก่อน ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ จะไปแก้รัฐธรรมนูญ มันไม่ใช่ว่าเลวร้ายถึงขนาดต้องแก้รัฐธรรมนูญ บ้านเมืองเราไม่ได้ถึงขนาดนั้น ยังใช้ได้รัฐธรรมนูญต่างๆ ก็คือดีอยู่แล้ว อยู่ได้ ไม่มีปัญหา แต่เราแก้จุดนี้ก่อนสิ ไม่ใช่อยู่ๆ จะไปแก้จุดนั้นก่อน มันไม่ใช่ ทำไมไม่เอาความเป็นอยู่ของประชาชนก่อน”
“ต้องออกตัวก่อน ว่าผมเองไม่รู้การเมืองเลย เรามีแต่ใจที่เป็นห่วงบ้านเมือง ในเมื่อในความรู้สึกเรา ในเมื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ต้องช่วยเหลือประชาชนสิ ไม่ใช่ว่ามาช่วยตัวเอง มันทำไม่ถูกต้อง ตรงนี้ที่มันน้อยใจ คนให้ท่านมาเป็นตัวแทนแล้ว ต้องช่วยเหลือเราสิ แต่ท่านไม่ช่วยเหลือเราเลย ประชาชนก็ลำบาก ท่านต้องช่วย ท่านไม่ช่วยไม่ได้”
กลัวจะบานปลายจนเกิดเหตุการณ์แบบพฤษภาทมิฬ เพราะดูแล้วว่าท่าทีของอีกฝ่าย ออกแนวทนทานเหลือเกิน...
“กลัวจะบานปลายอย่างนั้นมากๆ กลัวจะหยุดไม่อยู่แล้วมันจะเสียหายกันหมด แล้วฝรั่งก็จะมองเราแย่ มันจะดูเหมือนว่าเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ไม่จบสิ้น มันน่าจะเจริญได้แล้ว ประเทศไทยเรามีอะไรดีๆ วัฒนธรรม มีศีลธรรม มีคุณธรรม มีศาสนาที่ดีต่างๆ ครบถ้วนอยู่แล้ว ไม่น่าจะมาเป็นอย่างนี้ครับ”
“มันจบยาก เพราะตอนนี้ไม่มีกระแสที่เขาจะช่วย หรือจะยอมทั้งสิ้น เขาก็ไม่ยอม ก็ต้องยาว ผมกลัวจะมีเสียเลือดเสียเนื้ออย่างเดียว สิ่งนี้ภาวนาอย่าให้เกิด อยากให้มันจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งทุกคน มีความสุข มีความสบาย ทุกอย่างก็ดี บ้านเมืองสงบ สบายใจ เป็นไท คำว่าไทยแลนด์”
“ผมเคยนั่งคุยกับแท็กซี่แต่ว่าเขาจำผมไม่ได้อยู่ครั้งหนึ่ง แต่ตอนนี้นั่งไม่ได้แล้ว แต่ผมเข้าใจเลยว่าเขาเข้าใจแบบนี้ๆ คนฝั่งเขาเข้าใจแบบนี้หมดเลย รู้ว่าจริงๆ ความคิดของเขาแค่มาทำดีด้วย มาให้เงินเขาก็รักคนนั้นแล้ว เพราะทำให้มีเงินใช้ คิดกันได้แค่นี้จริงๆ ผมเรียนบริหารธุรกิจการตลาด ผมคุยกับนักวิชาการ กับด็อกเตอร์ และศาสตราจารย์ต่างๆ ทำให้เรารู้เบื้องลึกอะไรต่างๆ มากมาย มันไม่ใช่ตรงนั้นที่ประชาชนเข้าใจแค่ผิวเผิน มันมีอะไรอีกเยอะแยะมากที่เรารู้แล้วเราไม่สามารถอธิบายกับเขา เพราะกลัวจะมากระทืบเรา (หัวเราะ)”
ทางออกที่จะทำให้ประชานตาสว่างก็คือการศึกษา การได้รับข้อมูลที่ถูกต้องจริงใจ กอรปกับจิตวิญาณของคนถ่ายทอดต้องมีศีลธรรมด้วย
“มันอยู่ที่การศึกษาครับ ทีนี้คนของเราที่จะเป็นสื่อการศึกษามันต้องเป็นคนของเราด้วย ไม่ใช่เป็นคนของรัฐบาล เพราะไม่อย่างนั้นก็จะโน้มน้าวกันไปด้านเดียว ต้องเป็นนักวิชาการที่ดี ที่ให้การศึกษาทั่วไปทุกที่ แต่เราไม่สามารถจับได้ อย่างกกต.ของเรามันไม่มีอะไรเลย มันเป็นของเขาหมด แล้วก็มาให้ความรู้กับชาวบ้านกับตาสีตาสา ประชาชนก็ซึมซับไปแบบนั้น เราก็หมดสิทธิ์ที่จะเข้าไปอธิบายได้”
“ก็มีอยู่อย่างเดียวคือศีลธรรม ให้นึกถึงศีลธรรม จริยธรรม คุณธรรมและศีล 5 แค่บุคคลธรรมดาทั่วไปมีศีล 5 มีการเสียสละและมีการศึกษา การศึกษาสำคัญมาก ถึงบอกว่าคนที่มีการศึกษาเขาจะรู้ แต่พอดีเราไม่ได้พูด ไม่ใช่ดูถูกว่าเขาไม่มีการศึกษานะ แต่ต้องโทษคนที่ไปบอก หรือให้ความรู้เขาแบบนี้ คนที่เข้าไปบอกเขานั่นแหละเป็นคนที่เห็นแก่ตัวเอง เขาล้างสมองหมดทั่วประเทศ เขาเข้าถึงหมด”
“ความรู้เรื่องกระบวนการการเมืองที่กว้างๆ ตรงนี้แหละที่เราขาด มันต้องเสริมตรงนี้ควบคู่ไปกับหลักทางศาสนา ศีลธรรมต่างๆ ตรงนี้น่าจะช่วยได้เยอะครับ มีหลายๆ ศิลปินนะครับที่ออกมาทำตรงนี้ แต่มองแล้วเหมือนไม่เห็นค่า จริงๆ แล้วมีคุณค่ามาก เพราะจะทำให้ประชาชนได้รู้และตาสว่าง และก็ทำเพื่อประชาชนจริงๆ เขาเสียสละ ตรงนี้เป็นสิ่งที่น่านับถือมาก ศิลปิน กวีต่างๆ และผู้ที่รักประชาธิปไตยทุกคน”
“แต่คนที่ไม่แสดงออกก็เยอะมาก เพื่อนผมเนี่ยเยอะมาก เพื่อนผมส่วนมากก็จะด่าอยู่บ้าน ไม่มีใครกล้าออกหน้า หนึ่งกลัวเสียภาพ สองกลัวจะเล่นคอนเสิร์ตไม่ได้ สามกลัวบริษัทจะไล่ออก จริงๆ แล้วเราทำในสิ่งที่ถูกต้อง เราทำไปเถอะ เราต้องมีเหตุผลของเราได้บ้าง ไม่ใช่เป็นคนของประชาชนแค่ให้คนมากรี๊ดกร้าด ให้คนซื้อเทป เพื่อมีสิ่งแลกเปลี่ยนอย่างเดียว ตรงนี้มันไม่ใช่สิ่งแลกเปลี่ยน แถมยังเสียทุกอย่างด้วย ผมก็เสียประโยชน์ส่วนตัว เสียเรื่องงานต่างๆ สองคือเสียเรื่องเราจะไปไหนมาไหน ความเป็นธรรมชาติมันจะน้อยลงไป ต้องหลบๆ ซ่อนๆ บ้าง”
วอนถึงรัฐบาล อย่าเอาแต่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง จนไม่เห็นใจประชาชนตาดำๆ ที่กากบาทเลือกเข้ามา แต่ถ้าทำให้บ้านเมืองดีไม่ได้ก็ลาออกไปซะ
“ผมก็เป็นประชาชนคนหนึ่งนะครับ รัฐบาลชุดนี้ก็เป็นรัฐบาลที่ว่ามุ่งเน้นอย่างเดียวจนเกินไป มุ่งเน้นที่จะแก้รัฐธรรมนูญอย่างเดียว โดยที่ว่าไม่ได้มองจุดอื่นเลย ยังไม่มองถึงรอบข้างทั่วๆ ไป คือเลยกลายเป็นว่าเข้ามาเพื่อทำจุดนี้จุดเดียว ในภาพสายตาประชาชนที่เขามองมันก็เลยเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่ผมคนเดียว มันหลายคนครับ เยอะมาก ก็ครึ่งค่อนประเทศที่คิดแบบนี้ แต่เขาไม่มีโอกาสมาแสดงออก”
“เปลี่ยนรัฐบาลชุดใหม่ไปเลย น่าจะดีที่สุดครับ (ยิ้ม) ถ้าเกิดเราได้เปลี่ยนรัฐบาล ถ้าเขามีความพร้อมมากกว่า พร้อมที่จะมาแก้ความจนของเรา ถ้าไม่พร้อมที่จะแก้ความจน เราอดทนไหวเหรอ ที่เห็นเขากินข้าวกินขยะ เก็บขยะมากิน ถ้าแก้ไม่ได้ ช่วยไม่ได้ ก็ควรจะให้คนอื่นมาดูแลแทน ซึ่งผมถือว่าเขาเท่ห์ เขาเจ๋งมาก ประชาชนเลือกมา แต่ถ้าไม่พร้อม ทำไม่ได้ก็ต้องเสียสละ เขาเรียกว่าสปิริต และให้โอกาสผู้ที่พร้อมและมีความรู้มากๆ เข้ามาแทนเรา คนจะมองว่าเขาสุดยอด เท่ห์มาก ถ้าเขาสละตรงนี้ได้ เขาคือสุดยอด ผมเองก็นับถือมากๆ แต่มันก็เป็นเรื่องยาก ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ต้องมานั่งอยู่ตรงนี้”
“ถามว่าชัยชนะจะเป็นของเรามั้ย ผมคิดว่าตอนนี้ยังเรื่อยๆ ครับ พลังตอนนี้ของเรามันยังไม่เพียงพอ พลังชาวบ้านยังไม่เยอะพอที่จะสู้เขาได้ ฝั่งเรามันฝั่งคนน้อย ผมกลัวมันจะบานปลาย อยากให้จบ ทุกคนอยากจบทั้งนั้น แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน”
นอกจากจะขึ้นเวทีพันธมิตรฯ แล้ว ยังแต่งเพลงเสียดสีรัฐบาลไว้อย่างแสบสันต์ งานนี้ก็เลยแอบปอดว่าจะถูกคนในเนื้อเพลงตามมาเช็คบิลล์!! แต่อย่างไรก็ตาม มือกลองสุดซ่าบอกอย่างชัดถ้อยชัดคำว่า ถึงจะกลัวตายแต่ไม่มีทางถอยอย่างแน่นอน
“เพลงที่ร้อง ผมก็ด้นสดๆ บางทีก็ไปเห็นรุ่นพี่ร้องบางทีเราก็จำมา พี่ที่เขาเล่นตามงานบ้าง บางทีก็เติมแต่งเข้าไปบ้าง เล่นเป็นกลอน เป็นแร็พมั่วๆ ไป อาจจะแค่แซวๆ นิดๆ หน่อยๆ แต่ถ้าไม่นิดก็ขออภัยนะครับ ผมทำออกจากความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็นท่านนายกหรือท่านต่างๆ ที่ผมพูดถึง ก็อย่าโกรธผมนะครับ ถ้าจะโกรธแค้นผม คือผมพูดในสิ่งที่ผมเห็น ผมนำสิ่งที่เห็นมาพูดให้ประชาชนฟัง เป็นตัวแทนประชาชน แต่ผมนับถือท่านนะครับ... (หัวเราะ)”
“ต่อไปอาจจะแต่งเพลงมา แต่อาจจะนุ่มนวลกว่านี้หน่อย เพราะเสียวหลังครับ หนาวหลังจริงๆ เลยบอกตรงๆ ใจไม่ดีเลยมาครั้งนี้ (หัวเราะ)”
“ผมกลัวตาย แต่ไม่เคยคิดถอยนะ มันถอยไม่ได้ ก็มันมาขนาดนี้แล้ว ขี่หลังเสือแล้วลงไม่ได้ ลงก็โดน เพราะประชาชนฝั่งเราเป็นฝั่งน้อย พวกเราตัวเล็ก ยังไงก็คุ้มครองเราไม่ได้อยู่แล้ว คงต้องตัวใครตัวมัน เราก็มีแค่สองมือไหว้เท่านั้นแหละ (ยกมือประนม) เราไม่มีอาวุธ เรามีแต่ใจกับสองมือเท่านั้นครับ ยังไงก็อย่ายิงผมนะครับ ผมยังไม่อยากตาย ผมยังไม่มีเมียครับ (หัวเราะ)”