“สามเกลอหัวกลม” โจมตี ป.ป.ช.ซ้ำซาก ผ่าน NBT ไม่หยุดหย่อน อ้างทุกเรื่องที่พูดคือความจริง ท้า หากไม่จริง ให้ ป.ป.ช.มาชี้แจงในรายการได้เลย - โวยอีก ตร.ออกหมายจับ “นายใหญ่” ทำเกินกว่าเหตุ อ้างเคยเป็นถึงอดีตนายก ควรเกียรติกันบ้าง
วานนี้ (15 ส.ค.) รายการความจริงวันนี้ ทางสถานีโทรทัศน์ NBT ดำเนินรายการโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย โดยมีผู้ร่วมรายการขาประจำ คือ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 6 พรรคพลังประชาชน เช่นเคย
เมื่อเริ่มดำเนินรายการ ผู้ดำเนินรายการได้กล่าวว่า หลังจากพวกตนลองสอบถามความคิดเห็นของประชาชนว่าต้องการให้ “รายการความจริงวันนี้” ออกอากาศต่อไปหรือไม่ ผลปรากฏว่า มีผู้ชมทางบ้านส่ง SMS มาเป็นจำนวนมากว่า ต้องการให้มีรายการความจริงวันนี้ต่อไป แต่รายการในวันนี้พวกตนอยากจะสอบถามผู้ชมรายการอีกประเด็นหนึ่งก็คือ “เห็นด้วยให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดนี้ซึ่งไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ทำงานต่อไปหรือไม่”
จากนั้นจึงได้กล่าวถึงกรณีที่กองทะเบียนประวัติอาชญากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ออกประกาศกองทะเบียนประวัติอาชญา เพื่อออกประกาศสืบจับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภรรยา ว่า พวกตนอยากจะขอท้วงติงสำนักงานตำรวจแห่งชาติว่าจริงอยู่ที่การกระทำดังกล่าวสำนักงานตำรวจ ทำตามหน้าที่ แต่มันดูจะมากเกินไปหน่อยสำหรับ การกระทำต่ออดีตนายกรัฐมนตรี ผู้เคยสร้างผลงานที่ประทับจิตประทับใจให้ประชาชนมาเป็นจำนวนมาก อีกทั้งการไปประเทศอังกฤษ ครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่ได้หายไปเฉย ๆ มีการออกแถลงการณ์ บอกถึงสาเหตุและมีการแจ้งที่อยู่อย่างชัดเจน ไม่เห็นจะมีเหตุผลสมควรที่จะต้องออกหมายจับเช่นนี้เลย ดังนั้นพวกตนจึงมองว่าการกระทำของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในครั้งนี้เป็นการ ประจาน พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อความสะใจเท่านั้น
ผู้ดำเนินรายการ กล่าวด้วยว่า สาเหตุที่พวกตนต้องกล่าวเรื่องนี้ในรายการนั้น ก็เป็นเพราะต้องการเรียกร้องความยุติธรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่งซึ่งควรจะได้รับความยุติธรรมเท่านั้น เพราะเหตุผลในแถลงการณ์ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้แจ้งไว้ก็ปรากฎชัดอยู่แล้วว่า ที่ต้องไปประเทศอังกฤษ โดยไม่มารายงานตัวต่อศาลก็เพราะไม่ไว้วางใจในขบวนการตัดสินคดีที่มีอำนาจเผด็จการซ่อนอยู่ ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง ที่ก่อนหน้ารัฐบาลชุดปัจจุบันเข้ามาดำรงตำแหน่ง ได้เคยเกิดเหตุการณ์รัฐประหารเผด็จการขึ้น และแม้ขณะนี้จะผ่านพ้นช่วงรัฐประหารไปแล้ว แต่อำนาจเผด็จการ ก็ยังผลิดอกออกผลมาถึงปัจจุบัน
ทั้งนี้ ประเด็นการไม่เห็นด้วยกับการออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้น ผู้ดำเนินรายการทั้ง 3 คน ได้กล่าวไว้ในรายการเพื่อนพ้องน้องพี่ พีทีวีภาคพิเศษ ออกอากาศทาง โทรทัศน์ดาวเทียมเอ็มวี 5 ในช่วงเย็นวันเดียวกัน นับเป็นการกระบวนการที่จะสร้างความชอบธรรมให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างเต็มที่
ต่อมา ผู้ดำเนินรายการ ได้กล่าวหาคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ว่ามีความไม่ชอบมาพากลเช่นเคย โดยได้กล่าวถึงข้อมูลเดิมๆ ที่ผู้ดำเนินรายการทั้ง 3 ได้กล่าวมาแทบทุกครั้งที่ดำเนินรายการดังกล่าว ตั้งแต่กรณีการมีที่มาอย่างไม่ถูกต้อง นั่นคือไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง
ส่วนกรณีที่ ป.ป.ช.อ้างว่าสำนักราชเลขาธิการฯ เคยทำหนังสือตอบกลับมาว่า ป.ป.ช.สามารถทำงานได้เพราะได้รับการแต่งตั้งจากหัวหน้าคณะรัฐประหาร ซึ่งมีอำนาจเป็นองค์รัฐฎาธิปัตย์ว่า หนังสือดังกล่าวเป็นเพียงการตีความข้อกฏหมายของตัวเลขาฯ สำนักราชเลขาธิการ เท่านั้น ซึ่งการตีความข้อกฎหมายสามารถเห็นต่างกันได้ แต่ความเห็นดังกล่าวก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกฎหมายว่า ป.ป.ช.ต้องได้รับการโปรดเกล้าฯ ได้ดังนั้น ป.ป.ช.จึงไม่มีสิทธิ์รับเงินเดือน และทำหน้าที่ตั้งแต่ต้น อีกทั้งการกระทำของ ป.ป.ช.ยังถือเป็นการล่วงเกินพระราชอำนาจ ที่บังอาจทำงานโดยไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ
รวมไปถึงตั้งข้อสังเกตว่า ป.ป.ช.เลือกปฏิบัติ เพราะทำคดีทุจริตของ พ.ต.ท.ทักษิณ รวดเร็วมาก แต่กลับทำคดีทุจริตการซื้อขายสินทรัพย์ของ ปรส.ที่มี นายชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์ ช้าเหลือเกิน
นอกจากนี้ ผู้ดำเนินรายการยังกล่าวถึงกรณีที่ในหนังสือปกขาวชี้แจงที่มาของ ป.ป.ช. ระบุว่า หลังจากที่ ป.ป.ช.ได้รับโอนคดีทุจริตคดีสำคัญๆ มาจาก คตส.ก็ถูกกลุ่มบุคคลจ้องโจมตีนั้น ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใดเพราะพวกตนได้ทักท้วงเรื่องดังกล่าวมาตั้งแต่ เมื่อครั้งพวกตนอยู่ในกลุ่ม แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ หรือ นปก.ก็ได้ปราศรัยที่สนามหลวง มาก่อนแล้ว แต่ที่ไม่โด่งดังก็เนื่องจากขณะนั้นพวกตนยังไม่มีสื่ออย่างรายการวันนี้ เป็นช่องทางสื่อสารให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลต่างหาก ทั้งนี้พวกตนยืนยันได้ว่าเรื่องที่กล่าวคือเรื่องจริง ที่พวกตนได้รับข้อมูลมา และหากมีเรื่องใดที่ไม่เป็นความจริง ก็ขอเรียกร้องไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช.ทั้ง 9 คน ติดต่อมาได้เลย เพราะพวกตนพร้อมที่จะให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.มาชี้แจงในรายการได้เสมอ
อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า การเปิดประเด็นโจมตี ป.ป.ช.ในข้อหาที่ว่าไม่ผ่านการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนั้น เพิ่งจะเริ่มเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา โดยนายสมัครได้พูดในรายการ"สนทนาประสาสมัคร"เป็นครั้งแรก เมื่อวันอาทิตย์ที่ 13 ก.ค.51 ภายหลังจากที่ ป.ป.ช.รับคำร้องของพันธมิตรฯ ให้ดำเนินคดีเอาผิดกับ ครม.ทั้งคณะ ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ ข้าราชการกระทรวงกลาโหมที่เกี่ยวข้อง รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กรณีออกแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ มตรา 190 เพราะไม่ผ่านความเห็นชอบของสภาก่อน ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยออกมาแล้ว
ส่วนก่อนหน้านี้ ที่ผู้ดำเนินรายการอ้างว่า พวกตนเคยต่อต้าน ป.ป.ช.ตั้งแต่สมัยที่เคลื่อนไหวในนาม นปก.นั้น หากย้อนดูตามข่าวที่ปรากฏจะพบว่าไม่มีประเด็นเรื่องการไม่ผ่านการโปรดเกล้าแต่อย่างใด โดยประเด็นใหญ่ๆ ที่ นปก.เคลื่อนไหวคือการต่อต้าน คมช.และผลงานของคมช.ในการแต่งตั้งองค์กรอิสระต่างๆ ในภาพรวมมากกว่าที่จะหยิบประเด็นย่อยขึ้นมาโจมตี
ในช่วงท้ายรายการนายณัฐวุฒิ ได้กล่าวว่า มีคนติดต่อสอบถามมายังตนฝากให้ตั้งคำถามไปยัง กกต.ว่า เมื่อครั้งเลือกตั้งนายก อบจ.ของจังหวัดสตูล ครั้งที่ผ่านมาได้มีผู้ร้องเรียนไปยัง กกต.ว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ทำหนังสือลงลายมือชื่อ ยืนยันไปยัง กกต.ว่า นายธานินท์ ใจสมุทร เป็นผู้สมัครในนามพรรคประชาธิปัตย์ แต่แท้จริงแล้ว นายธานินท์ ได้ขาดสมาชิกภาพจากพรรคนานแล้ว เนื่องจากเคยถูกให้ใบแดง จึงต้องยุติการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า นายอภิสิทธิ์ ได้แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อ กกต. จึงอยากถามไปยัง กกต.ว่าตกลงแล้วผลการตรวจสอบคดีดังกล่าวคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว และตัว นายภิสิทธิ์ เอง กระทำความผิดเข้าข่าย รธน.มาตรา 237 จนอาจนำไปสู่การยุบพรรคหรือไม่หรือไม่