อดีตแกนนำ นปก. เรียกคะแนนสงสารให้ “นายใหญ่” ผ่านจอ แจงเหตุต้องเผ่นไปอังกฤษ เพื่อสร้างสันติสุขให้ชาติ แต่กลับเยาะเย้ยถากถาง ชี้สถานภาพ “แม้ว” ยังไม่ได้เป็นผู้ลี้ภัย แค่คนไปต่างประเทศ แล้วไม่ได้รายงานตัวต่อศาล ทำขู่ “สนธิ” เย้ย “แม้ว” บนเวทีพันธมิตรฯ ระวังกรรมตามสนอง
วันนี้ (12 ส.ค.) รายการเพื่อนพ้องน้องพี่ พีทีวีภาคพิเศษ ออกอากาศทางโทรทัศน์ดาวเทียมเอ็มวี 5 ดำเนินรายการโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 6 พรรคพลังประชาชน และ นายก่อแก้ว พิกุลทอง หนึ่งในผู้บริหารสถานีโทรทัศน์พีทีวี
แม้ว่าวันนี้จะเป็นวันฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ซึ่งรายการโทรทัศน์ส่วนใหญ่จะงดพูดคุยประเด็นทางการเมือง รวมถึงการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยก็เปลี่ยนมาเป็นกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติทั้งหมด แต่รายการของพีทีวีฯ ก็ยังคงเน้นไปที่การแก้ตัวให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่หลบหนีไปยังประเทศอังกฤษ โดยไม่มารายงานตัวต่อศาลฎีกาในคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ ตามกำหนดในวันที่ 11 ส.ค. โดยนายจตุพร หนึ่งในผู้ดำเนินรายการ ได้กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ในขณะนี้ทุกอย่างมีเหตุผลรองรับอยู่แล้ว และ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็กระทำการเช่นนี้เพื่อหวังให้ประเทศชาติสงบสุข แต่กลับถูกกลุ่มพันธมิตรฯ เยาะเย้ย ถากถาง เช่น กรณีที่วานนี้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล หนึ่งในแกนนำพันธมิตรฯ หัวเราะเยาะเหมือนคนเสียสติ เพราะดีใจที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ออกจากประเทศไป ซึ่งตนเชื่อว่าคนไทยทุกคนที่เห็นภาพเมื่อวานนี้ ก็คงรับไม่ได้เหมือนกับตน เพราะการกระทำดังกล่าวถือเป็นการเหยียบย่ำซ้ำเติมผู้อื่น ซึ่งพฤติกรรมดังกล่าวคงไม่มีคนไทยคนไหนชอบ ดังนั้นจากนี้ตนจะรอดูว่า หากวันใดที่นายสนธิ ถูกตัดสินลงโทษตามกระบวนการศาลบ้าง วันนั้น นายสนธิจะทำหน้าอย่างไร แล้วจะมีใครรอซ้ำเติมบ้างหรือเปล่า
อย่างไรก็ตาม การปราศรัยบนเวทีของนายสนธิ วานนี้ ไม่ได้กล่าวว่าดีใจที พ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางออกนอกประเทศเลย มีแต่จะเรียกร้องให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาต่อสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรม ซึ่งไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาอย่างไร ก็พร้อมยอมรับในคำตัดสินของศาลเสมอ เพียงแต่ขอให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาต่อสู้ตามกระบวนการไม่ใช่หนีหายไปอย่างนี้ และสะท้อนว่าสิ่งที่คนใกล้ชิด พ.ต.ท.ทักษิณ เคยบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่หนีนั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น
ผู้ดำเนินรายการทั้ง 4 กล่าวต่อว่า จนถึงตอนนี้ พวกตนอยากจะขอให้ประชาชนทุกคนเข้าใจตรงกันด้วยว่า สถานะของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในวันนี้ยังไม่ได้ลี้ภัยทางการเมืองอย่างที่สื่อหลายฉบับนำเสนอ เพราะยังไม่มีการยื่นเรื่องอย่างเป็นทางการต่อรัฐบาลอังกฤษ ดังนั้นตอนนี้จึงเป็นแค่ คนๆ หนึ่งที่ไปต่างประเทศ โดยไม่ได้กลับมารายงานตัวต่อศาลเท่านั้น
อีกทั้งการเดินทางไปอังกฤษของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น ไม่ได้มองถึงแค่เรื่องการพิจารณาคดีที่ มี 2 มาตรฐานเท่านั้น แต่เหตุผลใหญ่ ๆ ก็คือมีเรื่องของความไม่ปลอดภัยเข้ามาเกี่ยวข้อง เห็นได้จากข่าวการหายไปของปืนซุ่มยิงของกองทัพ ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ทราบได้ว่าหายไปไหน ใครขโมยไปเพื่อจุดประสงค์อะไร จึงทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ หวาดระแวง ว่าปืนดังกล่าวอาจจะนำมาลอบสังหารตนเองก็ได้ เมื่อรวมกับกรณีการลอบวางระเบิดที่ ถ.จรัญสนิทวงศ์ ใกล้กับบ้านของ พ.ต.ท.ทักษิณอีก
กระบอกเสียง พ.ต.ท.ทักษิณกล่าวด้วยว่า พวกตนเชื่อว่าการเดินทางไปประเทศอังกฤษของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในวันนี้ นอกจากจะมีเหตุผลต่างๆ ดังที่กล่าวไปแล้ว แต่อีกเหตุผลก็คือ หวังให้ความวุ่นวายทางการเมืองยุติลง แต่ก็เป็นที่น่าเสียใจ เพราะจนถึงวันนี้กลุ่มพันธมิตรฯ ก็ยังไม่ยอมเลิกการชุมนุม ทั้งนี้ก็เพราะกลุ่มพันธมิตรฯ ยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ของตัวเอง นั่นคือ ได้รัฐบาลที่ตนเองชื่นชอบ ที่สามารถควบคุม และหาประโยชน์จากรัฐบาลชุดนั้นๆ ได้
ทำให้จนถึงวันนี้แม้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะยอมถอยออกไปอยู่ต่างประเทศ เพื่อหวังให้ประเทศชาติสงบแล้ว แต่กลุ่มพันธมิตรฯ ก็ยังไม่ยุติการสร้างความปั่นป่วนให้กับบ้านเมืองอยู่ดี จึงเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจรัฐบาลมาก ที่ถึงแม้จะพยายามทำโครงการ 116 วันจากวันแม่ ถึงวันพ่อ เพื่อหวังสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในชาติ แต่ก็คงเป็นไปได้ยากตราบใดที่กลุ่มพันธมิตรฯ ยังไม่ยอมลดละ กระทำการตามอำเภอใจของตัวเองอยู่อย่างนี้
ทั้งนี้เห็นได้ชัดว่า ผู้ดำเนินรายการจงใจบิดเบือนข้อมูลอย่างเห็นได้ชัด เพราะการชุมนุมของพันธมิตรฯ นั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากความพยายามจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อฟอกความผิดให้กับพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลที่กำลังจะถูกยุบพรรค และต้องการแก้ไขมาตรา 309 เพื่อทำให้ผลงานการทำสำนวนคดีทุจริตของ พ.ต.ท.ทักษิณที่ คตส.ทำไว้เป็นโมฆะ ต่อมาได้เพิ่มมาตรา 190 เข้าไปอยู่ในมาตราที่จะแก้ไข เพราะ ครม.ทั้งคณะกำลังถูกดำเนินคดีกรณีลงมติรับรองแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชาเรื่องเขาพระวิหารซึ่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำที่ขัดมาตรา 190 ซึ่งจนขณะนี้รัฐบาลยังไม่ได้ประกาศว่าจะเลิกแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่อย่างใด และยังคงมีกำหนดที่จะยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญในวันที่ 18 สิงหาคมนี้