"พิภพ" ชี้พันธมิตรฯ ไม่หลงเล่นเกมลวงจากรัฐบาลหุ่นเชิด ที่หวังสร้างเครดิตให้ตัวเอง ยืนยันปักหลักชุมนุมไม่ถอย พร้อมย้ำจุดยืนต่อสู้เพื่อความถูกต้องชอบธรรม เปลี่ยนการเมืองให้เป็นปกติ ปลอดการซื้อสิทธิ-ขายเสียง จวกบทบาท "หญิงอ้อ" บทบาททางการเมืองสูง แต่ล้วนไร้ประโนชน์ต่อสังคม เผยมุมมองสื่อต่างชาติ ยกศาลเป็นผู้เล่นใหม่กำหนดอนาคต หลังได้รับแรงกดดันจากพันธมิตรฯ กระตุ้นตุลาการภิวัตน์ ทำนายอายุรัฐบาลอยู่ไม่ยืด
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายพิภพ ธงไชย ปราศรัย
วันนี้ (8 ส.ค.) เวลาประมาณ 20.50 น. นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขึ้นกล่าวปราศัยบนเวทีสะพานมัฆวานว่า ขณะนี้การเมืองเคลื่อนคล้อยและยันกันอยู่ สื่อบางฉบับออกมาบอกว่า รัฐบาลเล่นเกมเพื่อให้พันธมิตรอ่อนแรง โดยการแกล้งเสนอกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญมาตร 63 เกี่ยวกับการชุมนุม โดยการเสนอกฎหมายสุดกู่ขึ้นมาแบบนี้ จะต้องมีคนค้าน พอมีคนค้านแล้วก็จะถอนออก ซึ่งจะยกมาเป็นเหตุผลบอกว่า รัฐบาลรับฟังเสียงประชาชนแล้ว แต่พันธมิตรทำไมไม่ยอมถอย ซึ่งเรื่องนี้ พัมธมิตรไม่ถอยแน่นอน เพราะรัฐบาลไม่เคยแสดงท่าทีเลยว่าจะไม่แก้รัฐธรรมนูญแม้แต่มาตรเดียว ดังนั้น เราไม่ตกหลุมตื้นๆ กับเกมการมืองง่ายๆ ของรัฐบาลแน่นอน
แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลยังมีเกมการเมืองอีกหลายอัน โดยเฉพาะ 116 วันในพระราชพิธี 12 สิงหาคมถึง 5 ธันวาคม ซึ่งรัฐบาลใช้เรื่องนี้ให้การชุมนุมของพันธมิตรขาดความชอบธรรม แต่เราจะทำให้เกิดความชอบธรรมด้วยการร่วมฉลอง และอลังการไม่แพ้รัฐบาล เพราะสิ่งที่เราต่อสู้มาทั้งหมด ก็เพื่อรักษาสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชน โดยเฉพาะสถาบันกษัตริย์ที่มีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ดังนั้น การชุมนุมของเราเพื่อรักษาสถาบันแสดงไว้ซึ่งความ จงรักภัคดี ฉะนั้นไม่มีทางที่รัฐบาลจะใช้เลห์ทำให้ความภักดีของเราเสื่อมคลายไป
นายพิภพกล่าวว่า การต่อสู้ในเรื่องความถูกต้องชอบธรรม เป็นเรื่องหนึ่งที่ถ้าเราทำได้ จะทำให้การเมืองเป็นปกติ ไม่มีคอร์รัปชัน มีความซื่อสัตย์สุจริต ใช้ธรรมมะเป็นตัวนำ มีการกระจายรายได้ แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ให้คนจนมีชีวิตดีขึ้น ชนชั้นกลางมีชีวิตดีขึ้น ถ้าสังคมมั่นคง ราชบัลลังค์มั่นคง เพราะถ้าสังคมวุ่นวายก็มีปัญหาว่าอะไรจะเกิดขึ้น อะไรจะสูญหาย ดังนั้น การที่เราทำให้สังคมดีขึ้น ก็คือทำให้การเมืองดีขึ้น ในทางพุทธถือว่าเป็นการปฏิบัติบูชา เพื่อให้สถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ยั่งยืน เมื่อประชาชนอยู่ดีกินดี ความมั่นคงก็จะเกิดขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ อยากจะเรียนไปยังพี่น้อง สื่อ สังคม และประชาชันทั้งประเทศว่า การกระทำของเราเกี่ยวข้องกับสังคม ประชาชนทั้งประเทศ การทำให้สถาบันอยู่ได้ สังคมต้องปกติ มีความเหลื่อมล้ำน้อย ซึ่งจะเกิดขึนได้ การเมืองต้องปกติด้วย
"ปัจจุบันการเมืองไม่ปกติ เราจะต้องต่อสู้ให้การเมืองปกติ ทำให้ที่มาของการเลือกตั้งปกติ ไม่มีการซื้อสิทธิขายเสียง การตรวจสอบสามารทำได้ ธรรมภิบาลทำได้ การ แข่งขันทางธุรกิจหากทำให้ยุธิธรรมเกิดขึ้นๆได้ นักลงทุนต่างประเทศก็จะเข้ามา แต่ถ้าเราทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ เขาก็จะเข้ามาแบบฉกฉวย โอกาสเอาเปรียบเราเพราะมีจุดอ่อน ให้เงินนักการเมืองสามารถประมูลงานได้ และก็เกิดการทุจริตขึ้นมา ซึ่งลักษณะแบบนี้ถือว่าการเมืองไม่ปกติ การลงทุนไม่ปกติ ภาษีของประชาชนแทนที่จะได้ใช้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยก็ต้องเสียไป บางประเทศเรียกว่า มาดามเปอร์เซนต์ เช่นในอินโดนีเซีย สำหรับบ้านเรา เราจะเรียกผู้หญิงที่มีบทบาทอยู่เบื้องหลังนายกฯ กี่เปอร์เซนต์ดี"นายพิภพกล่าว
นายพิภพกล่าวว่า นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยมีนายกฯ แล้วมีภรรยามายืนอยู่ข้างหลังและมีบทบาทอย่างมากทางการเมืองมาก ซึ่งในประวัติศาสตร์ไม่มีใครมีบทบาทมากเท่าคุณหญิงพจมาน ชินวัตรมาก่อน อย่างไรก็ตาม บทบาททางการเมืองไม่เป็นเท่าที่เห็นอยู่ ไม่ได้ก่อประโยชน์ต่อสังคม ไทยเลย แต่ก่อให้เกิดลักษณะไม่เป็นธรรมาภิบาล เอาเปรียบเรื่องการเสียภาษีจนถูกศาลตัดสินจำคุก 3 ปี ฉะนั้น ในอนาคตหากผู้หญิง หรือภรรยานายกฯ จะมีบทบาททางการเมือง ต้องดูว่าจะมีบทบาททางไหน ซึ่ง ในสหรัฐ ภรรยาผู้นำมักจะมีบทบาท ไปทางสังคมสงเคราะ แพทย์ สาธารณสุข และเด็กมากกว่า แต่สำหรับภรรยาอดีตนายกทักษิณ ไม่มีบทบาทนี้เลยในช่วง 5 ปีที่เป็นผู้นำ
"คำว่า ปกติ คือ มีความถูกต้อง นี่เป็นหลักธรรมทุกศาสนา ที่บรรจุไว้ในพระไตรปิฏก ซึ่งพระพุทธองค์ทรงตรัสว่า ถ้าถือศีล 5 ได้สังคมก็จะเป็นปกติ มีชีวิตปกติ ถ้านักการเมืองถือศีล 5 ได้ การเมืองก็เป็นปกติ ซึ่งทั้งหมดคือความพยายามของเราที่จะทำเรื่องนี้ให้เกิดขึ้น"
นายพิภพกล่าวได้ยกตัวอย่าง ความเห็นของสื่อต่างประเทศที่มองการเมืองในประเทศไทยว่า ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ ไทม์ก็ดี บีบีซีเวิล์ดิก็ดี เห็นคล้อยในทางเดียวกันว่า กรณีดังกล่าวนั่นคือกรณีอันเนื่องมาจากคำพิพากษา มองว่าเป็นการย้ายเวทีประมือมาอยู่ในเวทีของกระบวนการยุติธรรม เป็นการรุกเชิงตุลาการต่ออดีตนายกทักษิณและพวกพ้อง หลังจากถูกโค่นอำนาจจากการรัฐประหารในปี 2006
โดยในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ผู้สนับุสนัน และฝ่ายตรงข้าม พันตูในเกมแห่งอำนาจ โดยมีศาลเป็นผู้เล่นใหม่ที่มีบทบาทมากขึ้น ซึ่งในทางปฏิบัติเราเห็นความอ่อนแอของฝ่ายค้าน เพราะคดีในศาลต่างหากที่ทำให้รัฐสนตรี 2 คนออกไปจากตำแหน่ง ซึ่งกำลังพุ่งเป้าที่นายกสมัคร กระทั้งสุดท้ายถึงขั้นยุบพรรครัฐบาลอีกครั้งหนึ่ง ความเห็นนี้ เป็นมุมองของสื่อต่างประเทศ ที่ตรงกับเรา ตุลาการภิวัฒน์ แต่ต่างชาติมองว่า เป็นการย้ายเวทีในกระบวนการยุติธรรมแทน นั่นคือ ทำให้อำนาจตุลาการ ซึ่งเป็นอำนาจหนึ่งในศาลมีความหมายในการดำรงความถูกต้องของสังคมให้เป็นปกติ และความเหนื่อยยากของเราที่ผ่านมา ได้ส่งผลให้ตุลาการ มีความหมายขึ้นมาในการตรวจสอบทางการเมือง สามารถคานอำนาจฝ่ายบริหาร และนิติบัญญัติ องค์กรอิสระเช่นกัน
นอกจากนี้ ต่างชาติยังมองว่าการชุมนุมของพันธมิตรที่ปักหลังอยู่ข้างถนนหลายสัปดาห์ต่อเนื่องกัน ทำให้แรงกดดันจากศาลต่อรัฐบาลเข้มขึ้นมากขึ้น นักวิเคราะห์บางรายบอกว่า รัฐบาลต้องล่มสลายแน่ ขึ้นอยู่กับว่าเมื่อใดเท่านั้น ขณะเดียวกัน เขายังระบุต่อว่า แม้ฝ่ายค้านจะออกมาทำนายเชื่อว่ารัฐบาลจะอยู่ได้ไม่นาน แต่คำพิพากษาคดีคุณหญิงพจมาน ก็สร้างความประหลาดใจพอสมควร เพราะที่ผ่านมาในอดีต คนที่มีทรัพย์สิน มีอำนาจ มักได้รับการลงโทษสถานเบาจากศาล เพราะเกรงอำนาจของคนเหล่านั้น
หนังสือพิมพ์ไทม์ ยังระบุต่อว่า ก่อนรัฐประหารในปี 2006 คดีทางการเมืองของอดีตนายกทักษิณ เทียบจะไม่สามารถเบียดเข้ามาในกระบวนการยุติธรรมของไทยได้เลย แต่เมื่อเร็วๆนี้ ศาลได้ตัดสินจำคุกทนาย ในคดีให้สินบนศาลด้วยใส่ถุงขนมให้เป็นของขวัญ ที่ชัดเจนคือ บีบีซี ยกอดีตเปรียบเทียบอย่างชัดเจนที่สุดว่า ครั้งที่ทักษิณขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดนั้น ดูเหมือนว่าเป็นคนที่ไม่มีใครสามารถแตะต้องได้เลยทีเดียว แต่มาวันนี้ เราแตะต้องเขาได้แล้ว และอาจจะพลักเข้าคุกได้ด้วยถ้าผิดโดยคำพิพากษา
นอกจากนั้น ไทม์ยังระบุอีกว่า ไม่กี่เดือนหลักจากขึ้นดำรงตำแหน่งของอดีตนายกทักษิณ การตัดสินให้พ้นความผิดในคดีปกปิดทรัพย์สิน ในเรื่องชุกหุ้น แม้หลักฐานไม่สามารถโต้แย้งได้เลยก็ตาม บรรดาผู้วิจารณาออกมาให้ความเห็นว่า นั้นคือตัวอย่างแรกของการมีอำนาจล้นเหนือภูเขา จนสามารถทะยานข้ามระบบตรวจสอบ และถ่วงดุลที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนุญปี 2540 ได้ ซึ่งครั้งนี้ ทักษิณพยายามเดิมพันด้วยวิธีการเดียวกัน เมื่อเดินทางกลับจากหลี้ภัยอย่างมีชัยชนะ หลังจากพรรคพลังประชาชนได้เป็นรัฐบาล เขาจำเป็นต้องเดิมพันว่าจะสามารถชนะข้อกล่าวหาทั้งหลายทั้งปวงได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะคำนวนผิด เพราะศาลได้แสดงให้เห็นถึงความแข็งกร้าวที่ผิดปกติไปจากเดิม นั่นคือ กระบวนการยุติธรรม หรือ ตุลาการภิวัตน์ทำงาน
"ผมเคยบอกเอาไว้ว่า ช่วงที่ทักษิณได้ชัยชนะในคดีซุกหุ้นในครั้งนั้น ทำให้ทักษิณเป็นอินทรีติดปีก บินเหนือสังคมไทยโดยไม่สามรถแตะต้องได้ แต่วันนี้ เราสอยลงมาได้แล้ว เป็นการยืนยันว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรม จากคนที่แกร่งที่สุด จนกระบวนการยุติธรรมแตะต้องไม่ได้ แต่วันนี้เราแตะต้องเขาได้แล้ว และเอาเขาลงมาจากฟ้า มาสู้กระบวนการยุติธรรมเพื่อตรวจสอบ จากการพิจารณาของ คตส. ว่าผิดจริงหรือไม่ ซึ่งหากคดีเข้าสู่ศาลเมื่อไหร่เราจะรอดูวันนั้น ซึ่งข้อสังเกตของสื่อต่างประเทศ ทำให้เรามีกำลังใจมากขึ้น ฉะนั้นเราจะยืนหยัดต่อไป จนกว่าจะได้ชัยชนะ"นายพิภพกล่าว