ในที่สุดวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2551 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็ไม่ปรากฏตัว ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อให้การต่อศาลนัดสุดท้ายในคดีการซื้อที่ดินรัชดาฯ ของคุณหญิงพจมาน ชินวัตร จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
ในแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ได้ส่งมาให้สื่อสารมวลชนไทยในรูปของ โทรสาร และอินเทอร์เน็ตแล้ว สรุปใจความสาระได้ดังนี้
หนึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างว่ามีการสืบทอดระบบเผด็จการในการจัดการเมืองไทยในระบอบประชาธิปไตย
สอง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวโจมตีกระบวนการยุติธรรมโดยตรง อ้างว่า มีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ไม่คำนึงถึงระบบกฎหมาย การสอบสวนดำเนินคดีตามหลักนิติธรรมสากล กระบวนการยุติธรรมใช้ระบบ 2 มาตรฐาน ทำให้ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระบวนการยุติธรรมของประเทศและองค์กรที่เกี่ยวข้องที่มีเกียรติต้องเสื่อมลง เพราะถูกนำมาใช้ทางการเมืองจนขาดความเป็นกลาง
สาม พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างว่า การใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยไม่มีความปลอดภัย และต้องใช้รถยนต์กันกระสุน
สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้ข้ออ้างข้างต้นเพื่อ “หนีการพิจารณาคดีในชั้นศาล” นั้น หากถูกนำไปแปลเป็นภาษาต่างชาติแล้ว ก็ย่อมต้องส่งผลทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเสียหายได้
เรามาลองดูตรรกะที่น่าตลกขบขันของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทีละข้อกันบ้าง
พรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นแกนนนำในการจัดตั้งรัฐบาลในขณะนี้ก็สืบทอดต่อมาจากพรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ถูกตุลาการรัฐธรรมนูญยุบพรรคไปเพราะกระทำผิดต่อกฎหมายเลือกตั้ง เป็นปรปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้นก็สมควรจะตั้งคำถามว่า พรรคการเมืองใดกันแน่ที่สืบทอดระบบเผด็จการในการจัดการเมืองไทยในระบอบประชาธิปไตย?
การโกงกินทุจริตคอร์รัปชันและการโกงการเลือกตั้ง ตลอดจนการบริหารจัดการที่เป็นเผด็จการรัฐสภา ถึงขั้นพร้อมยกมือให้นักการเมืองทุกคนที่เป็นพวกของตนไม่ว่าจะดีหรือชั่ว ออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของตัวเองและพวกพ้อง สิ่งเหล่านี้ควรจะต้องถูกเรียกว่าเป็น “ระบอบเผด็จการในการจัดการเมืองไทยในระบอบประชาธิปไตย” ใช่หรือไม่?
แม้แต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ที่มาจากการลงประชามติความเห็นชอบของประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ในประเทศกว่า 14 ล้าน 7 แสนคนแท้ๆ ยังมาถูกละเมิดและวางแผนโดยนักการเมืองที่จะทำการ แก้ไขหรือล้มล้างรัฐธรรมนูญ เพียงเพื่อทำให้ตัวเองไม่ต้องถูกลงโทษด้วยกระบวนการยุติธรรม อย่างนี้สมควรหรือที่จะต้องเรียกว่าเป็น “เผด็จการฉ้อฉลที่สวมเสื้อคลุมประชาธิปไตย” ใช่หรือไม่?
พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องหนีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยอ้างว่ามีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม แล้วใครกันที่โยกย้ายข้าราชการในกรมสอบสวนคดีพิเศษหลายสิบคนที่เกี่ยวข้องในคดีการปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นในเอสซีแอทเสทให้พ้นจากการสอบสวนคดีนี้ แล้วให้คนที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับครอบครัวตัวเองมานั่งในตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษแทน การกระทำดังที่ว่านั้นมิใช่เป็นการทำไปเพื่อช่วยคดีความให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวหรอกหรือ?
แม้แต่ข้าราชการตำรวจทุกตำแหน่งที่ช่วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในการสืบสวนสอบสวนคดีการทุจริตในท้องถิ่นหรือการโกงการเลือกตั้งของคนในพรรคพลังประชาชนต่างก็ได้ถูกโยกย้ายจนหมดสิ้น สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่เรียกว่าเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมแล้วจะให้เรียกว่าอะไร? และฝ่ายใดกันแน่ที่สมควรถูกประณามว่าเป็นฝ่ายแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม
ฝ่ายใดกันแน่ที่ได้ใช้อำนาจรัฐโยกย้ายข้าราชการแล้วใช้ข้าราชการของตัวเองไปคุกคามการทำงานขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ทั้ง คตส. ป.ป.ช. หรือ กกต.
ระบบ 2 มาตรฐานที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้เป็นข้ออ้างในการหนีศาลนั้นจริงหรือ เอาเฉพาะการปฏิบัติในคดีความดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ของนายจักรภพ เพ็ญแขที่ตำรวจดำเนินคดีความไปอย่างล่าช้านั้น ช่างมีความแตกต่างกับกรณีการใส่ความแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ออกมาปกป้องราชบัลลังก์ว่ากลายเป็นเป็นผู้ไขข่าวดูหมิ่นสถาบันพะมหากษัตริย์ไปได้อย่างไร? ฝ่ายใดกันแน่ที่ใช้ 2 มาตรฐาน
หรือจะให้ชัดไปกว่านั้นก็คือเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงให้ความสำคัญและเร่งรีบดำเนินการฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาทต่อคนที่ตรวจสอบ พ.ต.ท.ทักษิณเสียยิ่งกว่า คนที่ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์แต่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ จริงหรือไม่?
พ.ต.ท.ทักษิณ และพวกมักจะกล่าวหาองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญอยู่เสมอว่า เกิดขึ้นมาจากช่วงรัฐบาลที่มาจากรัฐประหารจึงไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งเป็นตรรกะที่ไม่ได้เรื่อง
เพราะถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเองจริง จะไปกลัวอะไรที่จะต้องพิสูจน์ตัวเองในชั้นศาลสถิตยุติธรรม ซึ่งไม่ได้เป็นองค์กรที่เกิดขึ้นมาจากรัฐประหารหรือมาจากผู้มีอำนาจทางการเมือง แต่เป็นการทำหน้าที่พิจารณาคดีความในพระปรมาภิไธย
เหมือนกับแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แม้ไม่จะรู้ดีว่าเจ้าหน้าที่รัฐและเจ้าหน้าที่ตำรวจกลั่นแกล้งฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามกับรัฐบาลอยู่เสมอ แต่ก็พร้อมที่จะต่อสู้ต่อไปในกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาลทุกคดี ไม่เห็นจะต้องหลบหนีแต่ประการใด
เว้นแต่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะทำตัวเป็นขี้แพ้ชวนตี ไม่ยอมรับและดูหมิ่นการทำงานของศาลที่ทำหน้าที่ในพระปรมาภิไธย!
สิ่งเหล่านี้ไม่ควรจะเป็นข้ออ้างได้เลยเพราะการกลับมาก้มลงกราบผืนแผ่นดินที่สนามบินสุวรรณภูมิของพ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ก็เพราะต้องการพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรมไม่ใช่หรอกหรือ จึงได้แสดงความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมที่ถูกขนาบสองข้างด้วยกลไกรัฐบาลและรัฐสภาอยู่ในอำนาจของพรรคพลังประชาชนซึ่งสนับสนุนตัวเองมาโดยตลอด
แล้วกระบวนการยุติธรรมแบบไหนกันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะให้ความเชื่อถือได้?
กระบวนการยุติธรรมประเภทที่นักการเมืองออกกฎหมายกีดกัน ขัดขวาง ศาลมาตัดสินนักการเมืองที่ขี้โกง ขี้ฉ้อ ขายชาติ จึงจะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ มีความพอใจ ใช่หรือไม่?
กระบวนการยุติธรรมประเภทที่ไม่ยอมรับสินบนที่เป็นเงินใส่ถุงขนม 2 ล้านบาท ที่คณะทนายของพ.ต.ท.ทักษิณ ถูกจำคุกไปแล้ว คือกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ให้ความเป็นธรรมในสายตาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช่หรือไม่?
ส่วนการอ้างความไม่ปลอดภัยนั้นยิ่งเป็นเรื่องตลกสิ้นดี เพราะตำรวจจำนวนมากต้องไปอารักขา พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวอย่างหนาแน่น ที่สำคัญเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านั้นก็อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณอีกด้วย
จะว่าไปแล้วคนที่มาชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่างหากที่สมควรจะพูดว่าไม่มีความปลอดภัยจากฝ่ายที่สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ
เพราะถ้าไม่เชื่อก็ขอให้ลองไปถามประชาชนที่เขาถูกอันธพาลสัตว์นรกของรัฐบาลเข้าทำร้ายและพยามฆ่าต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจในหลายจังหวัดอย่างโหดเหี้ยม จึงต้องถาม พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าใครกันแน่ที่สมควรจะต้องเป็นฝ่ายที่บอกว่าไม่ได้รับการคุ้มครองความปลอดภัย?
ดังนั้นการหลบหนีคดีอาญา ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ครั้งนี้ อาจจะไม่ง่าย และไม่สบายเหมือนกับเมื่อ พ.ศ. 2549 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยใช้ช่องว่างช่วงการรัฐประหารหลบหนีลี้ภัยอยู่ที่ประเทศอังกฤษอย่างสบาย
เพราะในเวลานี้ พ.ต.ท.ทักษิณ คงหมดสิทธิที่จะมาอ้างว่าประเทศไม่เป็นประชาธิปไตยแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการเลือกตั้งก็ได้พรรคการเมืองที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ อีกเสียด้วย
เหมือนกรรมตามทันเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยใช้มุกขายให้โลกตะวันตกเข้าใจว่าประเทศไทยมีการเลือกตั้งแปลว่าเป็นประชาธิปไตยแล้วฉันใด การถูกลงโทษโดยกระบวนการยุติธรรมภายหลังจากที่มีการเลือกตั้งก็ย่อมเป็นสิ่งที่มีความชอบธรรมแล้วฉันนั้น
วันนี้ สถานภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงไม่ใช่ผู้ลี้ภัยทางการเมือง แต่เป็น “อาชญากรผู้หลบหนีคดีความ”
ในฐานะเป็นอาชญากรหลบหนีคดีและหมายจับของศาล กระทรวงการต่างประเทศจึงต้องไม่ใช่เพียงแค่ยกเลิกหนังสือเดินทางเล่มแดงเท่านั้น แต่จะต้องยกเลิกพาสปอร์ตทุกประเภทเสียด้วยโดยเร็ว
แม้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะได้เขียนแถลงการณ์มาด้วยความคาดหวังอะไรบางอย่างในการเปลี่ยนแปลงประเทศเพื่อให้ตัวเองนั้นกลับมา แต่สำหรับ “การหลบหนีคดี” ในทางการเมืองย่อมเท่ากับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้พ่ายแพ้อย่างหมดรูป เพราะเสมือนยอมรับว่าตัวเองจะพ่ายแพ้คดีความในกระบวนการยุติธรรมจนอาจถึงขั้นต้อง “ติดคุก” ใช่หรือไม่?
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ทิ้งท้ายในแถลงการณ์ของตัวเองว่า “เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ผมจะแถลงความจริงให้ทุกท่านทราบ วันนี้ยังไม่ใช่วันของผม ขอให้ผู้สนับสนุนอดทนอีกนิดหนึ่งครับ”
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้มีความสำนึกในความผิดของตัวเองแม้แต่น้อย!
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้คิดเลิกลา และยังคิดกลับมามีวันของตัวเอง และยังขอให้ผู้สนับสนุนอดทนรออีกไม่นาน
จะรอนานหรือไม่นาน หรือจะต้องรอตลอดไปก็สุดแท้แต่ แต่ปรากฏการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในปี 2551 ที่มีลักษณะมุ่งมั่น อดทน เสียสละ และกล้าหาญได้สร้างหลักประกันสำคัญให้กับประเทศขึ้นมาแล้ว 2 ประการ
ประการแรก ประชาชนที่สนับสนุนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะไม่มีทางที่จะอยู่นิ่งเฉย ถ้ามีการรัฐประหารเพื่อฟอกความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวเป็นอันขาด
ประการที่สอง ผู้จงรักภักดีต่อชาติและพระมหากษัตริย์จำนวนมาก ได้ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทย มิให้อริราชศัตรูมาทำลายเหมือนกับที่เกิดขึ้นในประเทศเนปาลเป็นอันขาด
ดังนั้นใครก็ตามที่กำลังจะล้มระบบเพื่อฟอกความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ พึงจะต้องตัวระวังตัวเองเอาไว้ให้ดี !
สุดท้ายนี้อดไม่ได้จริงๆ ที่ต้องหยิบแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรในช่วงเกือบท้าย ที่เขียนเรียกคะแนนเหมือนพระเอกลิเกว่า “ถึงแม้ผมไม่ใช่คนดีสมบูรณ์แบบ แต่ผมขอยืนยันว่า ผมไม่ได้เลวอย่างที่ถูกกล่าวหา”
โถ! อ่านดูแล้วน่าสงสาร “อาชญากรหนีศาล” คนนี้จริงๆ!
ในแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ได้ส่งมาให้สื่อสารมวลชนไทยในรูปของ โทรสาร และอินเทอร์เน็ตแล้ว สรุปใจความสาระได้ดังนี้
หนึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างว่ามีการสืบทอดระบบเผด็จการในการจัดการเมืองไทยในระบอบประชาธิปไตย
สอง พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวโจมตีกระบวนการยุติธรรมโดยตรง อ้างว่า มีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ไม่คำนึงถึงระบบกฎหมาย การสอบสวนดำเนินคดีตามหลักนิติธรรมสากล กระบวนการยุติธรรมใช้ระบบ 2 มาตรฐาน ทำให้ไม่ได้รับความเป็นธรรม กระบวนการยุติธรรมของประเทศและองค์กรที่เกี่ยวข้องที่มีเกียรติต้องเสื่อมลง เพราะถูกนำมาใช้ทางการเมืองจนขาดความเป็นกลาง
สาม พ.ต.ท.ทักษิณ อ้างว่า การใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยไม่มีความปลอดภัย และต้องใช้รถยนต์กันกระสุน
สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้ข้ออ้างข้างต้นเพื่อ “หนีการพิจารณาคดีในชั้นศาล” นั้น หากถูกนำไปแปลเป็นภาษาต่างชาติแล้ว ก็ย่อมต้องส่งผลทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเสียหายได้
เรามาลองดูตรรกะที่น่าตลกขบขันของ พ.ต.ท.ทักษิณ ทีละข้อกันบ้าง
พรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นแกนนนำในการจัดตั้งรัฐบาลในขณะนี้ก็สืบทอดต่อมาจากพรรคไทยรักไทย ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่ถูกตุลาการรัฐธรรมนูญยุบพรรคไปเพราะกระทำผิดต่อกฎหมายเลือกตั้ง เป็นปรปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ดังนั้นก็สมควรจะตั้งคำถามว่า พรรคการเมืองใดกันแน่ที่สืบทอดระบบเผด็จการในการจัดการเมืองไทยในระบอบประชาธิปไตย?
การโกงกินทุจริตคอร์รัปชันและการโกงการเลือกตั้ง ตลอดจนการบริหารจัดการที่เป็นเผด็จการรัฐสภา ถึงขั้นพร้อมยกมือให้นักการเมืองทุกคนที่เป็นพวกของตนไม่ว่าจะดีหรือชั่ว ออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของตัวเองและพวกพ้อง สิ่งเหล่านี้ควรจะต้องถูกเรียกว่าเป็น “ระบอบเผด็จการในการจัดการเมืองไทยในระบอบประชาธิปไตย” ใช่หรือไม่?
แม้แต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ที่มาจากการลงประชามติความเห็นชอบของประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่ในประเทศกว่า 14 ล้าน 7 แสนคนแท้ๆ ยังมาถูกละเมิดและวางแผนโดยนักการเมืองที่จะทำการ แก้ไขหรือล้มล้างรัฐธรรมนูญ เพียงเพื่อทำให้ตัวเองไม่ต้องถูกลงโทษด้วยกระบวนการยุติธรรม อย่างนี้สมควรหรือที่จะต้องเรียกว่าเป็น “เผด็จการฉ้อฉลที่สวมเสื้อคลุมประชาธิปไตย” ใช่หรือไม่?
พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องหนีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยอ้างว่ามีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม แล้วใครกันที่โยกย้ายข้าราชการในกรมสอบสวนคดีพิเศษหลายสิบคนที่เกี่ยวข้องในคดีการปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้นในเอสซีแอทเสทให้พ้นจากการสอบสวนคดีนี้ แล้วให้คนที่มีความใกล้ชิดสนิทสนมกับครอบครัวตัวเองมานั่งในตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษแทน การกระทำดังที่ว่านั้นมิใช่เป็นการทำไปเพื่อช่วยคดีความให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวหรอกหรือ?
แม้แต่ข้าราชการตำรวจทุกตำแหน่งที่ช่วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในการสืบสวนสอบสวนคดีการทุจริตในท้องถิ่นหรือการโกงการเลือกตั้งของคนในพรรคพลังประชาชนต่างก็ได้ถูกโยกย้ายจนหมดสิ้น สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่เรียกว่าเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมแล้วจะให้เรียกว่าอะไร? และฝ่ายใดกันแน่ที่สมควรถูกประณามว่าเป็นฝ่ายแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม
ฝ่ายใดกันแน่ที่ได้ใช้อำนาจรัฐโยกย้ายข้าราชการแล้วใช้ข้าราชการของตัวเองไปคุกคามการทำงานขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ ทั้ง คตส. ป.ป.ช. หรือ กกต.
ระบบ 2 มาตรฐานที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้เป็นข้ออ้างในการหนีศาลนั้นจริงหรือ เอาเฉพาะการปฏิบัติในคดีความดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ของนายจักรภพ เพ็ญแขที่ตำรวจดำเนินคดีความไปอย่างล่าช้านั้น ช่างมีความแตกต่างกับกรณีการใส่ความแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ออกมาปกป้องราชบัลลังก์ว่ากลายเป็นเป็นผู้ไขข่าวดูหมิ่นสถาบันพะมหากษัตริย์ไปได้อย่างไร? ฝ่ายใดกันแน่ที่ใช้ 2 มาตรฐาน
หรือจะให้ชัดไปกว่านั้นก็คือเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับสูงให้ความสำคัญและเร่งรีบดำเนินการฟ้องร้องคดีหมิ่นประมาทต่อคนที่ตรวจสอบ พ.ต.ท.ทักษิณเสียยิ่งกว่า คนที่ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์แต่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ จริงหรือไม่?
พ.ต.ท.ทักษิณ และพวกมักจะกล่าวหาองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญอยู่เสมอว่า เกิดขึ้นมาจากช่วงรัฐบาลที่มาจากรัฐประหารจึงไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งเป็นตรรกะที่ไม่ได้เรื่อง
เพราะถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเองจริง จะไปกลัวอะไรที่จะต้องพิสูจน์ตัวเองในชั้นศาลสถิตยุติธรรม ซึ่งไม่ได้เป็นองค์กรที่เกิดขึ้นมาจากรัฐประหารหรือมาจากผู้มีอำนาจทางการเมือง แต่เป็นการทำหน้าที่พิจารณาคดีความในพระปรมาภิไธย
เหมือนกับแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แม้ไม่จะรู้ดีว่าเจ้าหน้าที่รัฐและเจ้าหน้าที่ตำรวจกลั่นแกล้งฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามกับรัฐบาลอยู่เสมอ แต่ก็พร้อมที่จะต่อสู้ต่อไปในกระบวนการยุติธรรมในชั้นศาลทุกคดี ไม่เห็นจะต้องหลบหนีแต่ประการใด
เว้นแต่ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะทำตัวเป็นขี้แพ้ชวนตี ไม่ยอมรับและดูหมิ่นการทำงานของศาลที่ทำหน้าที่ในพระปรมาภิไธย!
สิ่งเหล่านี้ไม่ควรจะเป็นข้ออ้างได้เลยเพราะการกลับมาก้มลงกราบผืนแผ่นดินที่สนามบินสุวรรณภูมิของพ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ก็เพราะต้องการพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรมไม่ใช่หรอกหรือ จึงได้แสดงความเชื่อมั่นต่อกระบวนการยุติธรรมที่ถูกขนาบสองข้างด้วยกลไกรัฐบาลและรัฐสภาอยู่ในอำนาจของพรรคพลังประชาชนซึ่งสนับสนุนตัวเองมาโดยตลอด
แล้วกระบวนการยุติธรรมแบบไหนกันที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะให้ความเชื่อถือได้?
กระบวนการยุติธรรมประเภทที่นักการเมืองออกกฎหมายกีดกัน ขัดขวาง ศาลมาตัดสินนักการเมืองที่ขี้โกง ขี้ฉ้อ ขายชาติ จึงจะทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ มีความพอใจ ใช่หรือไม่?
กระบวนการยุติธรรมประเภทที่ไม่ยอมรับสินบนที่เป็นเงินใส่ถุงขนม 2 ล้านบาท ที่คณะทนายของพ.ต.ท.ทักษิณ ถูกจำคุกไปแล้ว คือกระบวนการยุติธรรมที่ไม่ให้ความเป็นธรรมในสายตาของ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช่หรือไม่?
ส่วนการอ้างความไม่ปลอดภัยนั้นยิ่งเป็นเรื่องตลกสิ้นดี เพราะตำรวจจำนวนมากต้องไปอารักขา พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวอย่างหนาแน่น ที่สำคัญเจ้าหน้าที่รัฐเหล่านั้นก็อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณอีกด้วย
จะว่าไปแล้วคนที่มาชุมนุมกับพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยต่างหากที่สมควรจะพูดว่าไม่มีความปลอดภัยจากฝ่ายที่สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ
เพราะถ้าไม่เชื่อก็ขอให้ลองไปถามประชาชนที่เขาถูกอันธพาลสัตว์นรกของรัฐบาลเข้าทำร้ายและพยามฆ่าต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจในหลายจังหวัดอย่างโหดเหี้ยม จึงต้องถาม พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าใครกันแน่ที่สมควรจะต้องเป็นฝ่ายที่บอกว่าไม่ได้รับการคุ้มครองความปลอดภัย?
ดังนั้นการหลบหนีคดีอาญา ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ครั้งนี้ อาจจะไม่ง่าย และไม่สบายเหมือนกับเมื่อ พ.ศ. 2549 ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยใช้ช่องว่างช่วงการรัฐประหารหลบหนีลี้ภัยอยู่ที่ประเทศอังกฤษอย่างสบาย
เพราะในเวลานี้ พ.ต.ท.ทักษิณ คงหมดสิทธิที่จะมาอ้างว่าประเทศไม่เป็นประชาธิปไตยแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการเลือกตั้งก็ได้พรรคการเมืองที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ อีกเสียด้วย
เหมือนกรรมตามทันเพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยใช้มุกขายให้โลกตะวันตกเข้าใจว่าประเทศไทยมีการเลือกตั้งแปลว่าเป็นประชาธิปไตยแล้วฉันใด การถูกลงโทษโดยกระบวนการยุติธรรมภายหลังจากที่มีการเลือกตั้งก็ย่อมเป็นสิ่งที่มีความชอบธรรมแล้วฉันนั้น
วันนี้ สถานภาพของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงไม่ใช่ผู้ลี้ภัยทางการเมือง แต่เป็น “อาชญากรผู้หลบหนีคดีความ”
ในฐานะเป็นอาชญากรหลบหนีคดีและหมายจับของศาล กระทรวงการต่างประเทศจึงต้องไม่ใช่เพียงแค่ยกเลิกหนังสือเดินทางเล่มแดงเท่านั้น แต่จะต้องยกเลิกพาสปอร์ตทุกประเภทเสียด้วยโดยเร็ว
แม้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะได้เขียนแถลงการณ์มาด้วยความคาดหวังอะไรบางอย่างในการเปลี่ยนแปลงประเทศเพื่อให้ตัวเองนั้นกลับมา แต่สำหรับ “การหลบหนีคดี” ในทางการเมืองย่อมเท่ากับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้พ่ายแพ้อย่างหมดรูป เพราะเสมือนยอมรับว่าตัวเองจะพ่ายแพ้คดีความในกระบวนการยุติธรรมจนอาจถึงขั้นต้อง “ติดคุก” ใช่หรือไม่?
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ทิ้งท้ายในแถลงการณ์ของตัวเองว่า “เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ผมจะแถลงความจริงให้ทุกท่านทราบ วันนี้ยังไม่ใช่วันของผม ขอให้ผู้สนับสนุนอดทนอีกนิดหนึ่งครับ”
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้มีความสำนึกในความผิดของตัวเองแม้แต่น้อย!
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้คิดเลิกลา และยังคิดกลับมามีวันของตัวเอง และยังขอให้ผู้สนับสนุนอดทนรออีกไม่นาน
จะรอนานหรือไม่นาน หรือจะต้องรอตลอดไปก็สุดแท้แต่ แต่ปรากฏการณ์ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในปี 2551 ที่มีลักษณะมุ่งมั่น อดทน เสียสละ และกล้าหาญได้สร้างหลักประกันสำคัญให้กับประเทศขึ้นมาแล้ว 2 ประการ
ประการแรก ประชาชนที่สนับสนุนพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะไม่มีทางที่จะอยู่นิ่งเฉย ถ้ามีการรัฐประหารเพื่อฟอกความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และครอบครัวเป็นอันขาด
ประการที่สอง ผู้จงรักภักดีต่อชาติและพระมหากษัตริย์จำนวนมาก ได้ลุกขึ้นต่อสู้เพื่อพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทย มิให้อริราชศัตรูมาทำลายเหมือนกับที่เกิดขึ้นในประเทศเนปาลเป็นอันขาด
ดังนั้นใครก็ตามที่กำลังจะล้มระบบเพื่อฟอกความผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ พึงจะต้องตัวระวังตัวเองเอาไว้ให้ดี !
สุดท้ายนี้อดไม่ได้จริงๆ ที่ต้องหยิบแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรในช่วงเกือบท้าย ที่เขียนเรียกคะแนนเหมือนพระเอกลิเกว่า “ถึงแม้ผมไม่ใช่คนดีสมบูรณ์แบบ แต่ผมขอยืนยันว่า ผมไม่ได้เลวอย่างที่ถูกกล่าวหา”
โถ! อ่านดูแล้วน่าสงสาร “อาชญากรหนีศาล” คนนี้จริงๆ!