อดีตแกนนำ นปก.ยกขบวนโมเมผ่าน PTV อ้าง ตร.ออกหมายจับ “สมเกียรติ” ใช้บรรทัดฐานเดียวกันกับคดี “จักรภพ” แต่ที่มีหลักฐานทำผิดชัดเจนกว่า – โยนเผือกร้อน เรื่อง กลุ่มใต้ดินภาคใต้ฯ “เชษฐา” ทำคนเดียว รัฐบาลไม่รู้ไม่เห็น
วานนี้ (17 ก.ค.) รายการเพื่อนพ้องน้องพี่ พีทีวีภาคพิเศษ ออกอากาศผ่านทางดาวเทียมของช่องเอ็มวีทีวี ดำเนินรายการโดย 4 อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) คือ นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นายจักรภพ เพ็ญแข อดีต รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 6 พรรคพลังประชาชน
เนื้อหาในรายการ ผู้ดำเนินรายการได้กล่าวถึงกรณีที่สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 แพร่ภาพการประกาศหยุดยิงของกลุ่ม “ใต้ดินรวมภาคใต้ของประเทศไทย” ที่มี พล.อ.เชษฐา ฐานะจาโร หัวหน้าพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา อดีต ผบ.ทบ.และอดีต รมว.กลาโหม เป็นผู้ประสานงาน ว่า ถือเป็นเรื่องที่ดี ที่ พล.อ.เชษฐา มีความพยามจะทำเพื่อแก้ไขปัญหาให้พี่น้องชายแดนใต้ ถึงแม้อาจจะยังไม่แน่ใจได้ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ก็ไม่อยากให้ประชาชนมองในแง่ร้ายเสียหมด เพราะอย่างน้อยก็เป็นความตั้งใจจริงของ พล.อ.เชษฐา ที่ต้องการทำเพื่อประเทศชาติ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่าเรื่องนี้เป็นการดำเนินการโดยส่วนตัว ไม่ได้เกี่ยวกับหน่วยราชการหรือรัฐบาลเลย ดังนั้น หากจะได้รับคำชมก็ต้องยกให้เป็นเรื่องของเอกชนไป ไม่เกี่ยวกับรัฐบาล ถึงแม้จะออกอากาศทาง ททบ.5 ที่เป็นสถานีของทหาร แต่ก็ไม่เกี่ยวกัน เพราะ ททบ.5 ก็ทำหน้าที่ไปตามสื่อสารมวลชนที่ควรจะเป็น ไม่ได้เกี่ยวกับกองทัพแต่อย่างใด
นอกจากนี้ ยังกล่าวถึงกรณีที่ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ และหนึ่งในแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ถูกตำรวจออกหมายจับในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ แล้วถูกกลุ่มพันธมิตรฯ ตั้งข้อสงสัยว่า เหตุใดเมื่อครั้ง นายจักรภพ ถูกกล่าวหาคดีหมิ่นฯ เช่นกันกลับถูกแค่หมายเรียก แต่ทำไม นายสมเกียรติ จึงถูกออกหมายจับ และดำเนินคดีรวดเร็วกว่านายจักรภพ จึงตั้งข้อสงสัยว่า ตำรวจใช้บรรทัดฐานไม่เหมือนกันนั้น นายวีระ กล่าวว่า สาเหตุที่ดำเนินการไม่เหมือนกันก็เนื่องจาก สิ่งที่ นายสมเกียรติ พูดหมิ่นฯ นั้น ได้พูดเป็นภาษาไทยบนเวทีพันธมิตรฯ ซึ่งตำรวจก็เห็นว่ามีหลักฐานแน่ชัดแล้วก็ดำเนินการได้ทันที แต่ในกรณี นายจักรภพ นั้น ได้พูดมานานแล้ว และพูดเป็นภาษาอังกฤษ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ตำรวจจะต้องใช้ระยะเวลาการดำเนินงานมากกว่าในการรวบรวมหลักฐานข้อมูล
อดีตแกนนำ นปก.ยังได้กล่าวตำหนิการกระทำของ พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ ที่ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า การเดินทางไปเรียกร้องสิทธิในเขาพระวิหารเป็นสิทธิส่วนตัวของพันธมิตรฯ ที่สามารถทำได้ ว่า ถือเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เพราะเมื่อ พล.อ.อ.ชลิต เป็นทหารก็ไม่สมควรพูดเช่นนั้น เพราะตัวเองอยู่ในตำแหน่ง ต่างชาติอาจมองแบบเหมารวมว่า กองทัพ มีท่าทีเห็นด้วยกับสิ่งที่พันธมิตรฯ ทำ
ดังนั้น พวกตนจึงตั้งข้อสังเกตว่า ที่ พล.อ.อ.ชลิต ออกมากล่าวเช่นนี้ ก็เนื่องจากเกรงว่าจะถูกกลุ่มพันธมิตรฯ นำเอาไปด่าว่าบนเวทีอีก อย่างที่เคยโดนมาแล้วในอดีต เลยต้องพูดเอาใจกลุ่มพันธมิตรฯ เข้าไว้
ในช่วงท้ายรายการ ผู้ดำเนินรายการได้กล่าวนัดแนะ และประกาศอย่างชัดเจนว่า จะมีการเรียกมวลชนมาชุมนุมเพื่อสนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ภายใต้ชื่อ “รวมพลัง นักประชาธิปไตย แก้ไขรัฐธรรมนูญ” ที่บริเวณท้องสนามหลวงในวันเสาร์ที่ 2 สิงหาคม 2551 ตั้แต่เวลา 5 โมงเย็น เป็นต้นไป โดยผู้ดำเนินรายการนัดแนะว่า ผู้ที่จะไปร่วมชุมนุมควรจะไปถึงประมาณ 3 โมงเย็น เพื่อไปเดินเล่นอยู่แถวบริเวณสนามหลวงก่อน แต่ไม่ควรเดินเล่นไปไกลถึงสะพานมัฆวานรังสรรค์ เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยกลัวจะไปเดินสะดุดปากกลุ่มพันธมิตรฯ เข้า ส่วนการแต่งกายก็สามารถแต่งกายด้วยชุดสีอะไรก็ได้ เพราะพวกตนเป็นกลุ่มประชาธิปไตย ก็คงไม่บังคับเรื่องการแต่งกายอยู่แล้ว
ทั้งนี้ การกลับมาจัดชุมนุมครั้งนี้ นับเป็นการหันกลับมาใช้เกมมวลชนของระบอบทักษิณอีกครั้ง หลังจากที่เคยใช้ในช่วงหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 โดยในครั้งนี้ แม้พรรคพลังประชาชนที่เป้ฯนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะได้เป็นรัฐบาล แต่จากการกระทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตราต่างๆ ทำให้พรรคพลังประชาชนมีสถานะคลอนแคลนอย่างยิ่ง โดยเฉพาะกรณียุบพรรคจากการโดนใบแดงของ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ขณะเดียวกัน คดีความของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ขึ้นสู่ศาลนั้น ก็มีแนวโน้มว่าจะหลุดพ้นจากข้อกล่าวหาได้ยาก ทางออกของเครือข่ายระบอบทักษิณขณะนี้ จึงเหลืออยู่เพียงการรีบเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลบล้างความผิด แต่ก็ถูกกระแสสังคมต่อต้าน เพราะเห็นได้ชัดเจนว่ามาตราที่ต้องการแก้ไขนั้นเป็นมาตราที่พรรคพลังประชาชนได้กระทำความผิดไว้แล้ว เช่น ม.237 ม.190 เป็นต้น ถึงขั้นมีการนำไปเปรียบเทียบว่าเหมือนกับโจรจะขอแก้ไขกฎหมายอาญาเพื่อให้ตัวเองไม่ต้องรับโทษ จึงเหลือช่องทางที่จะสร้างภาพความชอบธรรมให้กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้คือการปลุกระดมมวลชนออกมาสู้