xs
xsm
sm
md
lg

บังอาจ! “พนง.ลูกกรอก” เพ็ดทูล รัฐบาลไม่ต้องขอรัฐสภา ยกพระวิหารให้เขมร

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

สุวัตร อภัยภักดิ์
“ทนายกู้ชาติ” แฉลูกกรอกเลวสุดขั้วชั่วสุดขีด ปล่อยสมุน “อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ” กราบบังคมทูลฯความเท็จ กรณี “เหล่” ดอดลงนามยกเขาพระวิหารให้เขมร ยังกล้าพูดไม่ต้องผ่านความเห็นชอบรัฐสภา และไทยไม่ได้เสียดินแดนอะไรเลย ขณะเดียวกัน ชำแหละแถลงการณ์ร่วมซ้ำ แกล้งโง่ยอมรับแผนจัดการพื้นที่ร่วม เท่ากับยอมถูกเฉือนเนื้อให้เขมรเพิ่มอีกรอบฟรีๆ ในอีก 2 ปีข้างหน้า

 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ปราศรัย 

วันนี้ (15 ก.ค.) เมื่อเวลา 19.30 น. นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวบนเวทีพันธมิตรฯ สะพานมัฆวานรังสรรค์ โดยได้ยกเอกสารสำเนาแถลงการณ์ที่นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ ไปลงนามไว้กับกัมพูชาขึ้นมาจับโกหกนายนพดล

นายสุวัตร กล่าวว่า จะบอกว่า พวกตาเขหลอกอะไรเราไว้ ไม่พูดความจริงให้เรารู้ ตอนตนฟ้องคดีไป ก็ไม่รู้ว่ามีแถลงการณ์ร่วมฉบับนี้ ข้างบนเขียนว่า joint communique หรือแถลงการณ์ร่วม 22 พ.ค.ลงเวลา 11.35 pm. เอกสารชิ้นนี้ นายนพดลไปเซ็นไว้ตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.แล้ว แล้วบอกว่าไปเพื่อไปรักษาดินแดน ไม่ได้เสียดินแดนอะไรเลย ถ้าไปทำความดี ก็ควรจะเปิดเผยให้ประชาชนรู้ แต่หลักฐานนี้เขียนไว้ว่า “ลับมาก” ไม่รู้ไปทำความดีประสาอะไร คนที่ไปทำอะไรลับๆ มันไม่ได้ทำความดีหรอก ไปทำความชั่ว นี่คือสิ่งที่เขาทำไว้

นายสุวัตร กล่าวว่า เมื่อเขาไปลงนามแล้วเมื่อ 22 พ.ค.2551 คนไทยไม่มีใครรู้เรื่อง ต่อมาเอาเข้า ครม.รับรองสิ่งที่ไปลงนามไว้แล้ว โดย ครม.ได้ประชุมปรึกษาเมื่อวันที่ 27 พ.ค.2551 ลงมติเห็นชอบในหลักการตามที่กระทรวงต่างประเทศเสนอ รับรองสิ่งที่ นายนพดล ทำไปแล้ว ไม่มีใครรู้เรื่องเลย

“เอกสารอีกชิ้นเรียกว่า แถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ดูตอนท้ายภาษาอังกฤษ “นายซกอาน เซ็นที่พนมเปญ 18 june 2008” หรือ 18 มิ.ย.2551 “นายนพดล 18 june 2008” หรือ 18 มิ.ย.2551 พยานอีกคนเซ็นที่ปารีส 18 june 2008” หรือ 18 มิ.ย.2551 อยู่กันสามประเทศ เซ็นได้ยังไงเวลาเดียวกัน เซ็นกันได้ยังไง ไปสอบถาม บอกว่าเซ็นทางอิเล็กทรอนิกส์” นายสุวัตร กล่าว

จากนั้น นายสุวัตรได้อ่านความในแถลงการณ์ร่วมฉบับแปลเป็นภาษาไทย พร้อมกับอธิบายว่าได้เสียดินแดนอะไรไปบ้างว่า ข้อหนึ่ง ราชอาณาจักรไทย สนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารในบัญชีมรดกโลก ซึ่งเสนอโดยรัฐบาลกัมพูชา ตามที่จะมีขึ้นในการประชุมสมัย 32 ของคณะกรรมการมรดกโลกที่แคนาดาในเดือน ก.ค.2008 เขตพื้นที่ของปราสาทพระวิหารปรากฏตามที่ระบุไว้ ในบริเวณ N1 ในแผนที่แนบท้าย ที่จัดทำขึ้นโดยรัฐบาลกัมพูชา แผนที่ดังกล่าวให้รวมเขต พื้นที่กันชน ด้านตะวันออกและด้านใต้ของปราสาท ตามที่ระบุไว้ในเครื่องหมาย N2

นายสุวัตร ชี้แผนที่ดังกล่าวที่แนบในแถลงการณ์ พร้อมกล่าวว่า แผนที่นี้จัดทำโดยเขมรฝ่ายเดียว แล้วไปแนบในแถลงการณ์ร่วม มันปล่อยให้เขมรลงชื่อฝ่ายเดียว ไม่ลงนามกำกับด้วยแล้วถ้าเขาเปลี่ยนแผ่นจะเอาอะไรไปเถียงว่าไม่ใช่ ในแผนที่ก็ไปยอมรับว่า N1, N2 เป็นของเขมร ซึ่งแผนที่นี้มีแต่เส้นความสูง ไม่มีบอเดอร์ไลน์ ไม่มีเขตแดน คุณจะเอาอะไรมาเถียงถ้าเกิดกรณีพิพาท ฉะนั้น เรายอมรับแผนที่แนบท้ายที่รัฐบาลกัมพูชาจัดทำขึ้นฝ่ายเดียว โดยให้รวมเขตกันชน ทางด้านตะวันออกและด้านใต้ของปราสาททางเครื่องหมาย N1, N2 แสดงว่าสองจุดนั้นไปหมดแล้ว

นายสุวัตร อ่านแถลงการณ์ดังกล่าวว่า ข้อสอง ในบรรยากาศแห่งความปรารถนาดี และประนีประนอม ราชอาณาจักรกัมพูชายอมรับให้ปราสาทพระวิหารถูกเสนอขึ้นทะเบียนในบัญชีมรดกโลก โดยในขั้นตอนนี้ยังไม่รวมถึงพื้นที่กันชน ด้านเหนือ และด้านตะวันตกของปราสาท เห็นความโง่หรือยัง ณ วันนี้ยังไม่ยอม เดี๋ยวปี 2010 อะไรจะเกิดขึ้น นี่คือความฉลาดของฝรั่งนักล่าอาณานิคม แล้วควายไทยไม่รู้อ่านไม่ออก หรือแกล้งโง่ ดังนั้น ในขั้นนี้เอา N1 N2 ไว้ก่อน แล้ว N3 มันหมายตาไว้ในอนาคต

ข้อสาม แผนที่แนบท้ายที่ระบุไว้ในย่อหน้าหนึ่งขั้นต้น ให้ใช้แทนแผนที่เดิม เกี่ยวกับและรวมถึง สกอร์ลา ไดเรกเตอร์ โพลา โซเนคเดอ พระวิหาร และรวมถึงแผนผัง หรือแผนที่อ้างอิงทั้งหมดที่ระบุถึงเขตพื้นที่สำคัญ คอร์โซน และเขตอื่นๆ โซแนค เขตพื้นทีอื่นในปราสาทเขาพระวิหารที่ปรากฏในคำร้องขอขึ้นทะเบียนของกัมพูชา

“แถลงการณ์นี้ทำเป็นภาษาอังกฤษแล้วซ่อนภาษาฝรั่งเศสไว้ด้วย ตรงนี้ในแผนที่ ถามสิมันอยู่ตรงไหน ไม่ระบุไว้ในนี้เลย แล้วมันจะเป็นควายไปเซ็นกับเขาได้ยังไง เซ็นไปโดยไม่มีระบุอยู่ในนี้เลย” นายสุวัตร กล่าว

ข้อสี่ ในระหว่างรอผลปฏิบัติงานของคณะกรรมการร่วม JBC เพื่อกำหนดอาณาเขตเกี่ยวกับพื้นที่รอบปราสาทด้านทิศเหนือและทิศตะวันตก ซึ่งระบุโดยเครื่องหมาย N3 ในย่อหน้าหนึ่งข้างต้น ให้มีการจัดเตรียมแผนการจัดพื้นที่ดังกล่าวโดยวิธีการประสานกันระหว่างรัฐบาลกัมพูชา และรัฐบาลไทย อย่างสอดคล้องกับมาตรฐานระหว่างประเทศ ด้านการอนุรักษ์ เพื่อที่จะธำรงไว้ซึ่งคุณค่าโดยโดดเด่นเป็นสากลของทรัพย์สินนี้

“แผนจัดการดังกล่าวจะรวมไว้ในแผนการจัดการสุดท้ายสำหรับองค์ปราสาทและพื้นที่รอบปราสาทนั้น ซึ่งจะต้องนำเสนอต่อศูนย์กลางมรดกโลก ก่อนวันที่ 1 ก.พ. 2010 แปลว่าอีก 2 ปีมันจะเอาแล้วมันบอกไม่เสียดินแดน เพื่อนำเข้าพิจารณาของคณะกรรมการมรดกโลก ในปี 2010 แล้วยังมีหน้ามาบอกว่าไม่เสียดินแดน” นายสุวัตร อ่านแถลงการณ์ที่แปลเป็นไทย พร้อมแสดงความคิดเห็น

นายสุวัตร กล่าวต่อว่า ใน ข้อห้า การขึ้นทะเบียนจะเป็นไปโดยไม่กระทบกระเทือนต่อสิทธิของราชอาณาจักรกัมพูชาและราชอาณาจักรไทย ในการกำหนดเขตแดนของคณะกรรมการร่วมเพื่อกำหนดเขตแดน JBC เขียนเสียโก้เลย ก็ล่อไปแล้วข้อหนึ่ง-สาม แล้วมาเขียนทำไม ส่วน ข้อหก ราชอาณาจักรกัมพูชาและราชอาณาจักรไทย ขอแสดงความขอบคุณอย่างลึกซึ้งต่อ ผอ.ยูเนสโก สำหรับความช่วยเหลือในการอำนวยความสะดวก ถามว่า ประเทศไทยได้อะไร ไปขอบคุณเขาทำไม ขอบคุณเขาอย่างลึกซึ้งที่เขาเอาไป คุณทำได้อย่างไร

นอกจากนั้น นายสุวัตรยังเปิดเผยถึงหนังสือที่ นายกฤต ไกรจิตติ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ ส่งไปถึงราชเลขาธิการ ลงวันที่ 20 มิ.ย.2551 กราบบังคับทูลฯเรื่องดังกล่าว โดยได้รายงานข้อความที่เป็นเท็จต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

นายสุวัตร ได้อ่านส่วนหนึ่งของรายงานระบุว่า ในรายงาน ข้อ 8.1 แผนที่แสดงขอบเขตปราสาทเขาพระวิหารฉบับใหม่ ที่กัมพูชาเสนอมาตามข้อ 3 ไม่มีส่วนใดล้ำเข้ามาเกินกว่าเส้นเขตแดนในบริเวณปราสาทเขาพระวิหารตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 10 ก.ค.2505 และเป็นไปตามผลการหารือระหว่างกัมพูชา-ไทย ที่กรุงปารีส เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2551 ก็หมายความว่า อธิบดีกรมสนธิสัญญาฯ รายงานเท็จไปว่าไม่ได้เสียดินแดนอะไรเลย

8.2.ไทยสามารถสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ในลักษณะนี้ได้เนื่องจากฝ่ายไทยจะสามารถรักษาสิทธิทางเขตแดนไว้ได้อย่าง ไม่มีผลกระทบต่อสิทธิของแต่ละฝ่ายในการสำรวจและจัดทำหลักเขตแนวร่วมกันของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการสำรวจและการจัดทำหลักเขตแดนทางบกร่วมฉบับ 2543 ในบริเวณดังกล่าวในอนาคต

8.4.1 การสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียน จะเป็นการทำให้ไทยเสียดินแดนหรือไม่ ดังนั้น การที่กัมพูชานำปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งอยู่ในดินแดนและอธิปไตยของกัมพูชาไปขึ้นทะเบียนจึงไม่มีผลกระทบต่อสิทธิเหนือดินแดนของไทยแต่อย่างใด

8.4.2 แถลงการณ์ร่วมเป็นหนังสือสนธิสัญญาจะต้องได้รับความยินยอมจากรัฐสภาก่อนตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรคสอง หรือไม่ นายกฤต ตอบว่า รัฐบาลจึงสามารถลงนามในแถลงการณ์ร่วมได้โดยไม่ต้องขอความยิมยอมจากรัฐสภาก่อนตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 วรรคสอง

“มันโกหกไหม ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินมาแล้วยังไง เวลาคนที่มันกราบบังคมทูลฯความเท็จต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะต้องทำยังไง” นายสุวัตร กล่าว

นายสุวัตร กล่าวต่อว่า ประเด็นต่อมาการสนับสนุนให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเป็นการสละสิทธิ์ที่ไทยเคยสงวนสิทธิ์ไว้ในคำพิพากษาหรือไม่ มันบอกเราเสียดินแดนไปนานแล้วเกิน 10 ปี เอาคืนไม่ได้แล้ว ส่วนข้อ 8.4.4 สำหรับการทำแผนที่บริหารจัดการอนุรักษ์เขตปราสาทร่วมกันตามข้อกำหนดของยูเนสโก ก็คือ จะจัดทำร่วมกันอีก 2 ปี ก็คือ อีก 2 ปี จะต้องเสียดินแดนร่วม

ทั้งนี้ นายสุวัตร กล่าวว่า การที่พันธมิตรฯ ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อ ป.ป.ช.ไว้ ให้เอา ครม.ทั้งคณะ และเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศบางส่วนให้รับโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119 และ 120 ซึ่งมีโทษจำคุกตลอดชีวิตกับประหารชีวิต คำถามอยู่ที่ว่าจะให้รับโทษยังไง

“แล้วคนเลวสามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ เราจะไว้ใจให้ไปแบ่งเขตแดนต่อไปอีกไหมคนโง่แบบนี้ แล้วรัฐบาลนี้จะให้มันอยู่ต่อไปอีกดีไหม กระทรวงต่างประเทศจะเอายังไงกับมัน ดังนั้นต้องออกมากันทุกวันทุกคน อย่ากลัวที่ต้องสู้นาน นี่คือวีรกรรมสำคัญ” นายสุวัตร กล่าวทิ้งท้าย






นายกฤต ไกรจิตติ อธิบดีกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงการต่างประเทศ
กำลังโหลดความคิดเห็น