นายพีระพันธ์ สารีรัฐวิภาค ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่าตนในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมเงา มอบหมายให้นายธนา ชีรวินิจ เลขานุการยุติธรรมเงา รวบรวมข้อมูลหลักฐาน เกี่ยวกับปัญหาปราสาทเขาพระวิหาร พร้อมทั้งเรียกประชุมคณะทำงานชุดใหญ่ของกระทรวงยุติธรรมเงา ในสัปดาห์หน้า เพื่อพิจารณาดำเนินคดีอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119 และ มาตรา 120 กับนายนพดล ปัทมะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และบุคคลที่เกี่ยวข้อง ในหมวดว่าด้วยความมั่นคงของรัฐ ซึ่งโทษสูงสุดคือ การจำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต รวมทั้งดำเนินการถอดถอนนายนพดล ออกจำตำแหน่งนายนพดล ออกจากรมว.ต่างประเทศด้วย
นายพีระพันธ์ กล่าวว่า เมื่อได้ข้อสรุปในส่วนคณะทำงานแล้ว จะมีการเสนอที่ประใหญ่พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อพิจารณา แต่จากหลักฐานที่ได้รวบรวมได้ที่ผ่านมา รวมทั้งข้อมูลต่างๆ ที่ใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และพฤกรรมของ นายนพดล ตนมั่นใจว่า จะมีน้ำหนักเพียงพอในการดำเนินคดีได้
นายพีระพันธุ์ กล่าวว่าจากการติดตามกรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร ของกัมพูชาพบว่ามีความผิดปกติในหลายส่วน ซึ่งอาจเชื่อมโยงไปถึงการนำไปสู่ การดำเนินการแล้วทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบในการเจรจาและยอมรับแผนที่ ของทางกัมพูชาและส่งผลกระทบต่ออำนาจอธิปไตยและดินแดนของประเทศ ขณะเดียวกันก็ได้รับรายงานว่าอาจจะมีบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาเดินทางไปกับคณะของกระทรวงการต่างประเทศด้วย ซึ่งในสัปดาห์หน้าจะเดินหน้าตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดต่อไป
แย้มมีคนภายนอกร่วมไปเจรจาเขมรด้วย
นายพีระพันธ์ ยืนยันว่า การเรียกร้องกรณีเขาพระวิหาร ไม่ต้องการใช้เป็น เครื่องมือทางการเมือง แต่พฤติกรรมของนายนพดล ไม่ได้รับรู้สำนึก และไม่สำเนียก ในสิ่งที่สังคมเรียกร้อง แต่กลับพยายามออกมาพูดว่า ได้พยายามแก้ปัญหาต่างๆ แต่พฤติกรรม ที่ผ่านมาไม่ได้ยืนยันคำพูดในส่วนนี้เลย นอกจากเราจะดำเนินคดีกับนายนพดลแล้ว ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับขบวนการที่ทำให้ประเทศต้องเสียสิทธิ์ ในเขาพระวิหารจะต้องถูกดำเนินคดี ไม่ว่าจะเป็น ภาคการเมือง ข้าราชการประจำ หรือแม้แต่บริษัทเอกชน ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครถูกดำเนินคดี ในข้อหานี้เลย ซึ่งนายนพดล จะโดนเป็นคนแรก
ผมได้รับรายงานมาว่าในคณะที่ร่วมเดินทางไปเจรจากับกัมพูชาและกรรมการมรดกโลกมีบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาครัฐเดินทางไปด้วย โดยได้รับแจ้งว่า อาจจะเป็นกลุ่มที่มีผลประโยชน์ในทางธุรกิจกับทางฝ่ายโน้นหรือบุคคลใกล้ชิดนักการเมืองที่คอยช่วยเหลือในทางธุรกิจ จึงจำเป็นจะต้องตรวจสอบ หากพบว่ามีจริง นายนพดลจะต้องชี้แจงว่าคนเหล่านี้เกี่ยวข้องอะไรและร่วมเดินทางไปทำไม
อย่างไรก็ตาม กรณีที่มีผู้สื่อข่าวอ้างว่านายพีระพันธุ์ระบุว่ามีน้องชายนายนพดล เดินทางไปกับคณะเจรจากับกัมพูชาด้วยนั้น นายพีระพันธุ์กล่าวว่าไม่ได้แถลงข่าวเช่นนั้น เพียงแต่กล่าวกับผู้สื่อข่าวบางคนว่าในสัปดาห์หน้าจะเริ่มการตรวจสอบอย่างจริงจังว่าที่ได้รับรายงานมานั้นข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ซึ่งความคืบหน้าจะแจ้งให้สาธารณชนทราบต่อไป
ส่วนท่าทีรัฐบาลกัมพูชาไม่สนใจต่อคำสั่งของศาลปกครองกลางที่ระงับแถลงการณ์ลงนามร่วมไทย-กัมพูชา แต่กลับยึดคำแถลงการณ์โดยย่อเมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ปารีส เป็นหลักนั้น นายพีระพันธ์ กล่าวว่า เป็นปกติที่รัฐบาลกัมพูชาจะคิดในแง่ที่เขาได้ผลประโยชน์เป็นหลัก แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต้องยึดหลักผลประโยชน์ของฝ่ายไทย แต่กลับไปสนับสนุนให้เขาได้ประโยขน์ โดยไม่คิดว่าไทยจะได้ประโยช์อะไรบ้างเลย ซึ่งกระบวนการทั้งหมดมีการวางแผนเป็นขั้นตอนเหมือนลับ ลวง พราง ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ที่พยายามใช้กฎหมายปิดปากคนไทย แต่รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยกลับไม่ใช้กฎหมายที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายไทย เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง
เตรียแก้กม.ให้ปฎิบัติตามนโยบายหลักปท.
นายพีระพันธ์ กล่าวด้วยว่า ในสมัยประชุมสภาสมัยนิติบัญัติ พรรคจะยื่นแก้ไขร่างกฎหมายบริหารราชการแผ่นดิน โดยกำหนดให้คณะรัฐมนตรีทุกชุดนับจากนี้ รวมถึง ข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม ต้องปฏิบัติตามนโยบายหลักของประเทศที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศและประชาชน อย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ปัญหาในการบริหารประเทศ และมีการโยนการรับผิดชอบไปให้รัฐบาลชุดอื่นเหมือนเช่นเดียวกับกรณีเขาพระวิหาร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 119 บัญญัติว่า ผู้ใดกระทำการใด ๆ เพื่อราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรตกไปอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไป ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือ จำคุกตลอดชีวิต และมาตรา 120 ผู้ใดคบคิดกับบุคคลซึ่งการกระทำการเพื่อประโยชน์รัฐต่างประเทศ ด้วยความประสงค์ที่จะก่อให้เกิดการดำเนินการรบต่อรัฐ หรือในทางอื่นที่เป็นปรปักษ์ต่อรัฐ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 10 -20 ปี
โต้สมัครใส่ร้ายปชป.ปุกปั่น
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ออกมาระบุในรายการ สนทนาประสาสมัคร ว่ามีการ นำเรื่องปราสาทพระวิหารมาถล่มในสภา จนก่อให้เกิดการปุกปั่น ยุยง เพื่อหวังผลทางการเมืองว่า เรื่องนี้ทุกภาคส่วนของสังคมให้ความสำคัญ ไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์นำไปถล่มหรือหวังผลทางการเมืองแต่อย่างใด เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่พรรคประชาธิปัตย์จะอภิปรายในสภา แต่ที่สังคมให้ความสนใจเพราะการดำเนินการของรัฐบาลมีวาระซ่อนเร้น มีการดำเนินการอย่างไม่ชอบมาพากล จะเห็นได้ว่าการอภิปรายของพรรคประกอบด้วยเหตุผลที่ชัดเจน และมีข้อมูลที่สามารถพิสูจน์ได้ ดังนั้นนายกรัฐมนตรี อย่านำเรื่องนี้มาบิดเบือน กล่าวไส่ร้ายพรรคการเมืองที่ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง และต้องขอบคุณพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้นำข้อมูลมาให้รับทราบ มากกว่าการออกมา กล่าวตำหนิติเตือน
นายองอาจ กล่าวว่า การดำเนินการของรัฐบาลเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 โดยมีความพยายามบิดเบือนว่าการลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ไม่น่าจะเข้าข่ายตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เพราะสิ่งที่รัฐมนตรีต่างประเทศกล่าว อ้างว่าไม่ใช่สนธิสัญญา แม้ว่าในรัฐธรรมนูญจะไม่มีคำว่าสนธิสัญญา แต่หลายข้อ มีความชัดเจนว่าหนังสือสัญญาได ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอาณาเขต หรือกระทบอธิปไตยของไทย ตามกฎหมายระหว่างประเทศ จะต้องได้รับการเห็นชอบจากสภา และในมาตรานี้ระบุชัดเจนว่า การทำสัญญาใดๆ จะต้องไม่กระทบต่อเศรษฐกิจ สังคมของประเทศ เพราะนี่คือเจตนาของรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหมือนกับการไปเซ็นสัญญาลงนามในเขตการค้าเสรี หรือ เอฟทีเอ
ดังนั้นจึงต้องผ่านความเห็นชอบของสภาก่อน เพราะที่ผ่านมาการลงนาม เอฟทีเอ ไม่ได้ผ่านกระบวนการรัฐสภา ดังนั้นรัฐธรรมนูญใหม่จึงต้องหาทางป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติในอนาคต
ตั้ง4คำถามให้รัฐบาลตอบ
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้มีหลานคำถามที่ต้องการรอคำตอบ จากรัฐบาล แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับความชัดเจนคือ 1.ทำไมรัฐบาลจึงรีบเออออ ห่อหมก ให้มีการลงนามในแถลงการณ์ร่วมเพื่อให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเพียงฝ่ายเดียว ในช่วงเดียวกับที่มีการออกมาระบุจากคนกัมพูชาว่า อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยจะเข้าไปลงทุนในกัมพูชา
2.ทำไมรัฐบาลปิดบังเอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหาร ซึ่งขณะนี้เริ่มมีเอกสารใหม่ๆ ทยอยออกมาตลอดเวลา โดยเฉพาะการลงนามของ รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยที่สนับสนุนกัมพูชา ที่กรุงปราริส ในวันที่ 22 พ.ค.ก่อนที่จะมีการขอมติคณะรัฐมนตรีในช่วงกลางเดือนมิ.ย.และตรงกับข้อสังเกตที่ผู้นำฝ่ายค้าน ออกมาเปิดเผยว่าเป็นช่วงเดียวกันกับที่ต้องมีการเสนอเอกสารทั้งหมดให้ คณะกรรมการมรดกโลกพิจารณา ล่วงหน้าก่อน 6 สัปดาห์
3. ทำไมรัฐบาลรีบร้อนลงนามในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ก่อนที่จะมีการ ขอมติครม.จนเป็นเหตุให้กัมพูชาแนบเอกสารฉบับดังกล่าวเพื่อประกอบการพิจารณา ของคณะกรรมการมรดกโลก และ 4.ทำไมรัฐบาลโดยรัฐมนตรีต่างประเทศ เพิ่งออกมาระบุว่า รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี ให้การสนับสนุน อย่างแข็งขัน ในการขึ้นทะเบียนเข้าพระวิหาร ตั้งแต่การประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 31 ที่ประเทศนิวซีแลนด์ หรือ เพื่อต้องการโยนบทผู้ร้ายให้ผู้อื่นหรือไม่ ซึ่งความจริง รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ สนับสนุนอย่างแข็งขันที่จะให้ประเทศไทยและกัมพูชา ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกัน แต่รัฐบาลชุดนี้ไม่ดำเนินการตาม กลับไปลงนามยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งทั้งหมดนี้รัฐบาล ไม่สามารถตอบคำถามได้แม้แต่ข้อเดียว
ณัฐวุฒิปัดนพดลโบ้ยรัฐบาลขิงแก่
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีนายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศออกมาระบุว่ารัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี สนับสนุนการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารว่า ไม่ได้เป็นการ โบ้ยความผิด แต่เป็นการเล่าข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นให้ประชาชนได้รับฟังอย่างทุกแง่ ทุกมุม ไม่เช่นนั้นประชาชนก็จะไม่ทราบรายละเอียด เรื่องนี้ถ้ามีการกล่าวหา หรือพูดไม่จริง ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน ศาลยุติธรรมเป็นผู้วินิจฉัย ทั้งนี้เชื่อว่า นายนพดล ไม่ได้พูดลอยๆหรือปราศจากข้อมูลหากสื่อมวลชนต้องการข้อมูลรัฐบาลก็พร้อมที่จะเปิดเผย
นายพีระพันธ์ กล่าวว่า เมื่อได้ข้อสรุปในส่วนคณะทำงานแล้ว จะมีการเสนอที่ประใหญ่พรรคประชาธิปัตย์ เพื่อพิจารณา แต่จากหลักฐานที่ได้รวบรวมได้ที่ผ่านมา รวมทั้งข้อมูลต่างๆ ที่ใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และพฤกรรมของ นายนพดล ตนมั่นใจว่า จะมีน้ำหนักเพียงพอในการดำเนินคดีได้
นายพีระพันธุ์ กล่าวว่าจากการติดตามกรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร ของกัมพูชาพบว่ามีความผิดปกติในหลายส่วน ซึ่งอาจเชื่อมโยงไปถึงการนำไปสู่ การดำเนินการแล้วทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบในการเจรจาและยอมรับแผนที่ ของทางกัมพูชาและส่งผลกระทบต่ออำนาจอธิปไตยและดินแดนของประเทศ ขณะเดียวกันก็ได้รับรายงานว่าอาจจะมีบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเจรจาเดินทางไปกับคณะของกระทรวงการต่างประเทศด้วย ซึ่งในสัปดาห์หน้าจะเดินหน้าตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดต่อไป
แย้มมีคนภายนอกร่วมไปเจรจาเขมรด้วย
นายพีระพันธ์ ยืนยันว่า การเรียกร้องกรณีเขาพระวิหาร ไม่ต้องการใช้เป็น เครื่องมือทางการเมือง แต่พฤติกรรมของนายนพดล ไม่ได้รับรู้สำนึก และไม่สำเนียก ในสิ่งที่สังคมเรียกร้อง แต่กลับพยายามออกมาพูดว่า ได้พยายามแก้ปัญหาต่างๆ แต่พฤติกรรม ที่ผ่านมาไม่ได้ยืนยันคำพูดในส่วนนี้เลย นอกจากเราจะดำเนินคดีกับนายนพดลแล้ว ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับขบวนการที่ทำให้ประเทศต้องเสียสิทธิ์ ในเขาพระวิหารจะต้องถูกดำเนินคดี ไม่ว่าจะเป็น ภาคการเมือง ข้าราชการประจำ หรือแม้แต่บริษัทเอกชน ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครถูกดำเนินคดี ในข้อหานี้เลย ซึ่งนายนพดล จะโดนเป็นคนแรก
ผมได้รับรายงานมาว่าในคณะที่ร่วมเดินทางไปเจรจากับกัมพูชาและกรรมการมรดกโลกมีบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับภาครัฐเดินทางไปด้วย โดยได้รับแจ้งว่า อาจจะเป็นกลุ่มที่มีผลประโยชน์ในทางธุรกิจกับทางฝ่ายโน้นหรือบุคคลใกล้ชิดนักการเมืองที่คอยช่วยเหลือในทางธุรกิจ จึงจำเป็นจะต้องตรวจสอบ หากพบว่ามีจริง นายนพดลจะต้องชี้แจงว่าคนเหล่านี้เกี่ยวข้องอะไรและร่วมเดินทางไปทำไม
อย่างไรก็ตาม กรณีที่มีผู้สื่อข่าวอ้างว่านายพีระพันธุ์ระบุว่ามีน้องชายนายนพดล เดินทางไปกับคณะเจรจากับกัมพูชาด้วยนั้น นายพีระพันธุ์กล่าวว่าไม่ได้แถลงข่าวเช่นนั้น เพียงแต่กล่าวกับผู้สื่อข่าวบางคนว่าในสัปดาห์หน้าจะเริ่มการตรวจสอบอย่างจริงจังว่าที่ได้รับรายงานมานั้นข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ซึ่งความคืบหน้าจะแจ้งให้สาธารณชนทราบต่อไป
ส่วนท่าทีรัฐบาลกัมพูชาไม่สนใจต่อคำสั่งของศาลปกครองกลางที่ระงับแถลงการณ์ลงนามร่วมไทย-กัมพูชา แต่กลับยึดคำแถลงการณ์โดยย่อเมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ปารีส เป็นหลักนั้น นายพีระพันธ์ กล่าวว่า เป็นปกติที่รัฐบาลกัมพูชาจะคิดในแง่ที่เขาได้ผลประโยชน์เป็นหลัก แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ต้องยึดหลักผลประโยชน์ของฝ่ายไทย แต่กลับไปสนับสนุนให้เขาได้ประโยขน์ โดยไม่คิดว่าไทยจะได้ประโยช์อะไรบ้างเลย ซึ่งกระบวนการทั้งหมดมีการวางแผนเป็นขั้นตอนเหมือนลับ ลวง พราง ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ที่พยายามใช้กฎหมายปิดปากคนไทย แต่รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยกลับไม่ใช้กฎหมายที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายไทย เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง
เตรียแก้กม.ให้ปฎิบัติตามนโยบายหลักปท.
นายพีระพันธ์ กล่าวด้วยว่า ในสมัยประชุมสภาสมัยนิติบัญัติ พรรคจะยื่นแก้ไขร่างกฎหมายบริหารราชการแผ่นดิน โดยกำหนดให้คณะรัฐมนตรีทุกชุดนับจากนี้ รวมถึง ข้าราชการทุกกระทรวง ทบวง กรม ต้องปฏิบัติตามนโยบายหลักของประเทศที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของประเทศและประชาชน อย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้ง ปัญหาในการบริหารประเทศ และมีการโยนการรับผิดชอบไปให้รัฐบาลชุดอื่นเหมือนเช่นเดียวกับกรณีเขาพระวิหาร
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 119 บัญญัติว่า ผู้ใดกระทำการใด ๆ เพื่อราชอาณาจักรหรือส่วนหนึ่งส่วนใดของราชอาณาจักรตกไปอยู่ใต้อำนาจอธิปไตยของรัฐต่างประเทศ หรือเพื่อให้เอกราชของรัฐเสื่อมเสียไป ต้องระวางโทษประหารชีวิต หรือ จำคุกตลอดชีวิต และมาตรา 120 ผู้ใดคบคิดกับบุคคลซึ่งการกระทำการเพื่อประโยชน์รัฐต่างประเทศ ด้วยความประสงค์ที่จะก่อให้เกิดการดำเนินการรบต่อรัฐ หรือในทางอื่นที่เป็นปรปักษ์ต่อรัฐ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 10 -20 ปี
โต้สมัครใส่ร้ายปชป.ปุกปั่น
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี ออกมาระบุในรายการ สนทนาประสาสมัคร ว่ามีการ นำเรื่องปราสาทพระวิหารมาถล่มในสภา จนก่อให้เกิดการปุกปั่น ยุยง เพื่อหวังผลทางการเมืองว่า เรื่องนี้ทุกภาคส่วนของสังคมให้ความสำคัญ ไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์นำไปถล่มหรือหวังผลทางการเมืองแต่อย่างใด เรื่องนี้เกิดขึ้นก่อนที่พรรคประชาธิปัตย์จะอภิปรายในสภา แต่ที่สังคมให้ความสนใจเพราะการดำเนินการของรัฐบาลมีวาระซ่อนเร้น มีการดำเนินการอย่างไม่ชอบมาพากล จะเห็นได้ว่าการอภิปรายของพรรคประกอบด้วยเหตุผลที่ชัดเจน และมีข้อมูลที่สามารถพิสูจน์ได้ ดังนั้นนายกรัฐมนตรี อย่านำเรื่องนี้มาบิดเบือน กล่าวไส่ร้ายพรรคการเมืองที่ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง และต้องขอบคุณพรรคประชาธิปัตย์ที่ได้นำข้อมูลมาให้รับทราบ มากกว่าการออกมา กล่าวตำหนิติเตือน
นายองอาจ กล่าวว่า การดำเนินการของรัฐบาลเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 โดยมีความพยายามบิดเบือนว่าการลงนามในแถลงการณ์ร่วมไทย-กัมพูชา ไม่น่าจะเข้าข่ายตามรัฐธรรมนูญมาตรา 190 เพราะสิ่งที่รัฐมนตรีต่างประเทศกล่าว อ้างว่าไม่ใช่สนธิสัญญา แม้ว่าในรัฐธรรมนูญจะไม่มีคำว่าสนธิสัญญา แต่หลายข้อ มีความชัดเจนว่าหนังสือสัญญาได ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงอาณาเขต หรือกระทบอธิปไตยของไทย ตามกฎหมายระหว่างประเทศ จะต้องได้รับการเห็นชอบจากสภา และในมาตรานี้ระบุชัดเจนว่า การทำสัญญาใดๆ จะต้องไม่กระทบต่อเศรษฐกิจ สังคมของประเทศ เพราะนี่คือเจตนาของรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหมือนกับการไปเซ็นสัญญาลงนามในเขตการค้าเสรี หรือ เอฟทีเอ
ดังนั้นจึงต้องผ่านความเห็นชอบของสภาก่อน เพราะที่ผ่านมาการลงนาม เอฟทีเอ ไม่ได้ผ่านกระบวนการรัฐสภา ดังนั้นรัฐธรรมนูญใหม่จึงต้องหาทางป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติในอนาคต
ตั้ง4คำถามให้รัฐบาลตอบ
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้มีหลานคำถามที่ต้องการรอคำตอบ จากรัฐบาล แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้รับความชัดเจนคือ 1.ทำไมรัฐบาลจึงรีบเออออ ห่อหมก ให้มีการลงนามในแถลงการณ์ร่วมเพื่อให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเพียงฝ่ายเดียว ในช่วงเดียวกับที่มีการออกมาระบุจากคนกัมพูชาว่า อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยจะเข้าไปลงทุนในกัมพูชา
2.ทำไมรัฐบาลปิดบังเอกสารสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหาร ซึ่งขณะนี้เริ่มมีเอกสารใหม่ๆ ทยอยออกมาตลอดเวลา โดยเฉพาะการลงนามของ รัฐมนตรีต่างประเทศของไทยที่สนับสนุนกัมพูชา ที่กรุงปราริส ในวันที่ 22 พ.ค.ก่อนที่จะมีการขอมติคณะรัฐมนตรีในช่วงกลางเดือนมิ.ย.และตรงกับข้อสังเกตที่ผู้นำฝ่ายค้าน ออกมาเปิดเผยว่าเป็นช่วงเดียวกันกับที่ต้องมีการเสนอเอกสารทั้งหมดให้ คณะกรรมการมรดกโลกพิจารณา ล่วงหน้าก่อน 6 สัปดาห์
3. ทำไมรัฐบาลรีบร้อนลงนามในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ก่อนที่จะมีการ ขอมติครม.จนเป็นเหตุให้กัมพูชาแนบเอกสารฉบับดังกล่าวเพื่อประกอบการพิจารณา ของคณะกรรมการมรดกโลก และ 4.ทำไมรัฐบาลโดยรัฐมนตรีต่างประเทศ เพิ่งออกมาระบุว่า รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี ให้การสนับสนุน อย่างแข็งขัน ในการขึ้นทะเบียนเข้าพระวิหาร ตั้งแต่การประชุมคณะกรรมการมรดกโลก ครั้งที่ 31 ที่ประเทศนิวซีแลนด์ หรือ เพื่อต้องการโยนบทผู้ร้ายให้ผู้อื่นหรือไม่ ซึ่งความจริง รัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ สนับสนุนอย่างแข็งขันที่จะให้ประเทศไทยและกัมพูชา ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกัน แต่รัฐบาลชุดนี้ไม่ดำเนินการตาม กลับไปลงนามยินยอมให้กัมพูชาขึ้นทะเบียนเพียงฝ่ายเดียว ซึ่งทั้งหมดนี้รัฐบาล ไม่สามารถตอบคำถามได้แม้แต่ข้อเดียว
ณัฐวุฒิปัดนพดลโบ้ยรัฐบาลขิงแก่
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์กรณีนายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศออกมาระบุว่ารัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรี สนับสนุนการขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารว่า ไม่ได้เป็นการ โบ้ยความผิด แต่เป็นการเล่าข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นให้ประชาชนได้รับฟังอย่างทุกแง่ ทุกมุม ไม่เช่นนั้นประชาชนก็จะไม่ทราบรายละเอียด เรื่องนี้ถ้ามีการกล่าวหา หรือพูดไม่จริง ประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน ศาลยุติธรรมเป็นผู้วินิจฉัย ทั้งนี้เชื่อว่า นายนพดล ไม่ได้พูดลอยๆหรือปราศจากข้อมูลหากสื่อมวลชนต้องการข้อมูลรัฐบาลก็พร้อมที่จะเปิดเผย