“อภิสิทธิ์” จี้ “รัฐบาลหุ่นเชิด” ลาออกทั้งคณะ พร้อมประกาศให้แถลงการณ์ร่วมเขมรขึ้นทะเบียน “เขาพระวิหาร” เป็นมรดกโลกตกเป็นโมฆะ เหตุเพราะรัฐบาลละเมิดกฎหมาย พร้อมยก “อนุสัญญากรุงเวียนนา” ข้อ 46 ระบุชัดให้ยึดรัฐธรรมนูญเป็นสำคัญ
วานนี้ (14 ก.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีความคืบหน้าในการหาทางแก้ไขประเด็นปมปัญหาของปราสาทพระวิหารว่า วันนี้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และรัฐบาล ต้องเลิกคิดถึงเรื่องการที่จะปกป้องตัวเอง แต่ต้องคิดถึงการปกป้องประโยชน์ของประเทศชาติ โดยเฉพาะแถลงการณ์ร่วมฯ ซึ่งนายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ ไปลงนามโดยความเห็นชอบของรัฐบาลไทย ซึ่งวันนี้ไม่ถือว่าไม่ผูกพัน และใช้ไม่ได้ เพราะตามมติของศาลรัฐธรรมนูญนั้น คือผลที่เป็นเรื่องภายในของประเทศ แต่ว่าถ้ายังมีการนำไปอ้างอิงในระดับระหว่างประเทศอีก ความเสียหายที่จะตามมาจะมีมากมายมหาศาล แม้แต่คนในรัฐบาลก็ไม่กล้าปฏิเสธ รวมไปถึงคนที่ทำงานด้านมรดกโลก เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง และคนในกระทรวงต่างประเทศบางส่วน
“สิ่งที่ผมได้เรียกร้องรัฐบาลไปนั้น ขณะนี้รัฐบาลยังไม่ได้ทำเลย คือ จะทำอย่างไรให้ทั่วโลกยอมรับว่าแถลงการณ์ร่วมนี้ใช้ไม่ได้ ซึ่งตามอนุสัญญากรุงเวียนนาข้อ 46 มีการกำหนดแนวทางอยู่ว่า โดยปกติแล้ว รัฐต่างๆ เวลาไปลงนามในหนังสือสัญญาใดๆ ไม่สามารถอ้างเหตุของการทำผิดกฎหมายภายในประเทศไปลบล้างข้อผูกมัดได้ ส่วนเงื่อนไขของการยกเว้น คือ 1.การละเมิดกฎหมายดังกล่าวเป็นการละเมิดกฎหมายที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะถือว่ารัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า 2.การละเมิดกฎหมายดังกล่าว ถือเป็นการละเมิดที่เห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งตรงนี้ศาลรัฐธรรมนูญอาจจะทำความชัดเจนมาแล้วระดับหนึ่ง แต่ตนคิดว่า ตรงนี้รัฐบาลต้องกลับไปคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะทำให้แถลงการณ์ร่วมไม่เป็นผล โดยเป็นไปตามเลื่อนไขของอนุสัญญากรุงเวียนนา และตนเห็นว่ากระบวนการที่ฝ่ายค้านยื่นถอดถอน ก็จะเป็นการช่วยเพิ่มน้ำหนักให้เห็นว่าแถลงการณ์ร่วมนี้ใช้ไม่ได้ เพราะรัฐไปละเมิดกฎหมายที่มีความสำคัญอย่างชัดเจน
“พรรคกำลังเดินหน้าตรวจสอบนายกฯ ต่อไป ก็เพราะต้องการรักษาผลประโยชน์ของประเทศ ซึ่งขณะนี้เรื่องที่เกี่ยวกับการถอดถอนนายสมัคร ก็จะดำเนินการต่อไป โดยอาจจะใช้เวลาสักระยะหนึ่ง เพราะเอกสารที่ได้ขอไปยังไม่ได้กลับมาส่วนหนึ่ง และยังมีเอกสารเพิ่มเติมเข้ามา ซึ่งจะเป็นการเพิ่มน้ำหนักชี้ให้เห็นถึงการจงใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ และนอกจากการแจ้งให้เรื่องของแถลงการณ์ร่วมใช้ไม่ได้ในระดับสากลแล้ว รัฐบาลต้องเร่งหาทางออกในเรื่องที่จะปฏิบัติตามมติของคณะกรรมการมรดกโลก หรือไม่กรรมการทั้ง 7 ชาติ ก็ต้องเชิญตัวแทนของประเทศไทยเข้าไปชี้แจงเรื่องที่กัมพูชาจะต้องส่งแผนที่ที่จัดทำขึ้นฝ่ายเดียวไปให้กรรมการมรดกโลกภายใน ก.พ.2552” นายอภิสิทธิ์ ระบุ
ส่วนการกระทบกระทั่งซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ระหว่างที่มีการทำงานเรื่องนี้นั้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ล้วนแต่เป็นปัญหาทั้งสิ้น ขณะนี้ฝ่ายความมั่นคงก็เริ่มขยับแล้ว แต่ตนได้เรียกร้องมาตลอดว่า รัฐบาลมีหน้าที่ที่จะทำเรื่องนี้อย่างนุ่มนวล และใช้แนวทางทางการทูตเป็นสำคัญ ตนถึงได้บอกว่าใครกันแน่ที่จงใจให้เกิดปัญหาระหว่างประเทศ เพราะฝ่ายค้านเสนอแนะนายกฯ มาเป็นสัปดาห์แล้วว่า ต้องรีบใช้วิธีการทางการทูตแก้ปัญหาเรื่องนี้ แต่กลับเพิกเฉย เพียงเพื่อต้องการปกป้องตัวเองเท่านั้น
เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่กระทรวงต่างประเทศพยายามย้ำว่าได้ส่งไปยังคณะกรรมการมรดกโลก และทำหนังสือถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องแล้ว นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขณะนี้ที่พรรคเห็นอย่างเดียวก็คือ กรรมการมรดกโลกได้เขียนไว้ในข้อมติว่าไม่เอาตรงนั้นมาพิจารณา แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเรื่องที่จะใช้ได้หรือใช้ไม่ได้ ที่สำคัญก็คือ ในส่วนของกัมพูชาต้องพยายามให้แสดงท่าทีออกมาโดยยอมรับแล้วว่าคำแถลงการณ์ร่วมนั้นไม่ได้ผูกมัดไทยอีกต่อไปแล้ว ถ้าตรงนี้ออกมาตนคิดว่าจะเป็นความชัดเจน และสบายใจว่าความเสียหายจากแถลงการณ์ร่วมจะไม่มีอีกต่อไป
ส่วนที่ระบุว่าจะต้องมีการละเมิดอย่างชัดแจ้งตามอนุสัญญากรุงเวียนนานั้น หมายความว่ารัฐบาลต้องออกมารับผิดชอบใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนเอาตามที่ปรากฏในอนุสัญญา ซึ่งความผิดที่ชัดแจ้งก็คือ ความผิดที่รัฐบาล หรือรัฐใดก็ตามที่กระทำตามปกติ และโดยสุจริต ย่อมต้องรู้ว่าเป็นการละเมิด ฉะนั้นต้องขอฝากเป็นการบ้านให้รัฐบาลกลับไปคิด เมื่อถามอีกว่า แสดงว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอาจจะไม่มีผลในเวทีสากลใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในเวทีสากลมีการวินิจฉัยว่าละเมิดกฎหมายภายในประเทศยังไม่เพียงพอ ต้องพิสูจน์ต่อไปว่าเป็นกฎหมายที่มีความสำคัญ และมีการจงใจละเมิด
ต่อข้อถามที่ว่า ถ้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลจะดำเนินการเรื่องนี้อย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าได้เป็นรัฐบาล ตนจะรับผิดชอบโดยการลาออกทั้งคณะตั้งแต่มีมติของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งตนคิดว่าการแสดงออกอย่างนั้น ย่อมมีความชัดเจนมากขึ้นว่าแถลงการณ์ร่วมเป็นแถลงการณ์ที่มีปัญหา และขัดต่อรัฐธรรมนูญ โดยจะทำให้ผู้ที่ออกมติดังกล่าว สนับสนุนให้มีการลงนามในแถลงการณ์ร่วม ก็จะเป็นน้ำหนักขึ้นมา
เมื่อถามว่า หากทำตามอนุสัญญากรุงเวียนนาที่กำหนดไว้ แล้วขั้นตอนต่อไปจะเป็นอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในเบื้องต้นตนยังไม่เห็นความพยายามของไทยที่จะไปแจ้งฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเราต้องไปพูดกับกรรมการมรดกโลก เพราะกรรมการมรดกโลกได้แจกเอกสารนี้ไปแล้ว ก็เลยต้องไปบอกว่าเอกสารนี้ไม่ให้ใช้ แต่ว่าการที่จะมีการใช้เอกสารนี้ไปในเรื่องอื่นหรือไม่ ตรงนี้เรายังไม่ได้มีการไปดำเนินการบอกกับประเทศต่างๆ ซึ่งประเทศต่างๆ ก็ย่อมที่จะมีความสงสัยว่าข้อตกลงนี้ยังผูกมัดอยู่หรือไม่
ส่วนกรณีที่จะให้กรรมการ 7 ประเทศเข้ามาบริหารจัดการพื้นที่ ซึ่งยังไม่รู้ว่าเป็นฝั่งไทยหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เบื้องต้นสิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งประสาน คือ ขอบเขตอำนาจหน้าที่ของกรรมการชุดนี้ และต้องเร่งถามด้วยว่ามติที่มอบหมายให้ฝ่ายกัมพูชาไปทำแผนที่ที่เป็นรายละเอียดนั้น ฝ่ายไทยจะมีบทบาทเข้าไปดูแลความถูกต้องของแผนที่ได้อย่างไร ซึ่งความจริงแล้ว สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลต้องเร่งชี้แจงให้ประชาชนทราบ คือ แผนผังที่ใช้ในที่ประชุม ซึ่งเป็นที่มา และอ้างอิงในมติที่บอกให้ไปทำแผนที่นั้น รวมทั้งรายละเอียดของแผนผังมีอะไรด้วย เพราะนายปองพล อดิเรกสาร ก็ยังบอกว่าไม่มีแผนผังอันนั้นอยู่ในมือ
เมื่อถามถึงฝ่ายมั่นคงที่ออกมาแสดงความเป็นห่วงนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าทุกคนคงมีความเป็นห่วง และสิ่งที่อยากย้ำก็คือ รัฐบาลจะต้องเป็นผู้นำ และใช้แนวทางทางการทูตนำ เพราะความเสี่ยงต่อการที่จะเกิดการกระทบกระทั่งระหว่างประเทศก็จะลดน้อยลง โดยในของส่วนฝ่ายความมั่นคงก็ต้องทำตามหน้าที่ เมื่อถามถึงกรณีที่กระทรวงการต่างประเทศพยายามบอกว่า การเข้าร่วมของคณะกรรมการร่วมไทย-กัมพูชา เป็นการเปิดช่องทางให้ประเทศไทยมีสิทธิ์ที่จะเข้าไปตรวจสอบได้ว่ากัมพูชามีการกระทำอะไรที่รุกล้ำอธิปไตยของไทยหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ขอให้มาพูดกันให้ชัดเจน แต่อย่าพูดชัดเจนเฉพาะกับคนไทย ต้องพูดให้ชัดเจนกับคณะกรรมการมรดกโลก และกัมพูชาด้วยว่า ไทยเข้าไปก็มีสิทธิที่จะทำอย่างนั้นอย่างนี้
“ไม่ใช่มาบอกกับฝ่ายไทยว่าจะเข้าไปรักษาสิทธิ แต่พอถึงเวลา ทางโน้นก็บอกว่าไม่รู้เรื่องด้วย อย่าลืมว่ามติที่นำมาพูดกันเมื่อวันที่ 12 ก.ค.ที่ผ่านมา ในส่วนของการทำแผนที่ไม่มีการพูดถึงการมีส่วนร่วมของฝ่ายไทย แต่ให้กัมพูชาทำฝ่ายเดียว และการที่เชิญไทยเข้าร่วมนั้น เป็นคนละข้อกัน คือ เป็นหนึ่งในคณะกรรมการที่จะเข้ามาดูนโยบายในภาพรวมของการบริหารจัดการในพื้นที่ ซึ่งก็ยังไม่ชัดเจนว่าการบริหารจัดการพื้นที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใดบ้าง” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว