xs
xsm
sm
md
lg

“บิ๊กแป๊ะ” ขึ้นเวทีท้าให้ปลด-ยันไม่คิดเล่นการเมือง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“พล.อ.ปฐมพงษ์” ขึ้นเวทีพันธมิตรฯ วันหยุด ยันไม่ได้ทำผิด จะปลดออกหรือจับขังคุกก็เชิญ ย้ำขอเป็นนักโทษที่มีอุดมการณ์ในคุกดีกว่าเป็นนายพลที่เดินตามก้นนักการเมือง เผยขึ้นเวทีเพื่อให้ความรู้ว่าอะไรคือการหมิ่นสถาบัน อะไรคือการรักษาเขตแดน พร้อมเรียกร้องนายทหาร-พลทหารออกมา ยันไม่มีกฎหมายห้ามทหารร่วมชุมนุม อย่าเอากฎหมายล้าสมัยมาเล่นงานเด็ดขาด เตรียมฟ้องคนพาดพิงในทางเสียหาย

 คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ปราศรัย 

เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น. วันที่ 13 ก.ค. พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ประธานคณะที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย ได้ขึ้นปราศรัยบนเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เชิงสะพานมัฆวานฯ อีกครั้ง หลังจากที่แต่งเครื่องแบบขึ้นเวทีครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 ก.ค. และขึ้นอีกครั้งตอนเช้ามืดวันที่ 11 ก.ค.และแต่งเครื่องแบบขึ้นเวทีอีกในตอนเย็นวันเดียวกัน ซึ่งในวันดังกล่าวนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้ลงนามในคำสั่งสอบสวนเอาผิดทางวินัยต่อ พล.อ.ปฐมพงษ์

สำหรับการขึ้นเวทีวันนี้ พล.อ.ปฐมพงษ์ ได้แต่งชุดลำลองเนื่องจากเป็นวันหยุด โดยประเด็นหลักที่กล่าวปราศรัยได้กล่าวถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ ที่มีต่อการขึ้นเวทีพันธมิตรฯ ซึ่ง พล.อ.ปฐมพงษ์ บอกว่าพร้อมที่จะรับฟัง แต่จะต้องส่งมาเป็นลายลักษณ์อักษร และยืนยันว่าที่มายืนบนเวทีพันธมิตรฯ ไม่ผิดวินัย

“ผมทำตามผู้บังคับบัญชา ทำตามรัฐธรรมนูญ ขอให้น้องๆ นายทหาร พลทหาร ออกมาได้แล้ว มาชุมนุมได้ สิ่งที่ผมพูดนี้ถูกต้อง อยากให้คิดว่าเมื่อถึงคราวต้องทำสงครามกันแล้ว และเป็นสงครามครั้งสุดท้าย ถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง มันถึงคราวต้องแลกกันด้วยชีวิต ก็ต้องแลก

“อย่าคิดว่าผมกลัวเรื่องถูกปลด งดบำเหน็จบำนาญ หรือขังคุก 5 ปีก็ตาม เรื่องพวกนี้เล็กน้อยมาก ถ้าแน่จริงขอให้ทำให้ได้ ให้สำเร็จ มาถึงวันนี้แล้ว ชีวิตก็ถือว่าสละได้ ถ้าเผื่อเอาชนะพวกมันให้ได้

“ผมยินดีจะเป็นนายปฐมพงษ์ที่มีเกียรติ หรือนักโทษที่มีอุดมการณ์มีเกียรติอยู่ในคุกดีกว่าเป็นนายพลนายทหารที่เดินตามก้นนักการเมือง มา มาสู้กัน”


พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวต่อว่า โดยเนื้อแท้แล้ว ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส. - พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์) เป็นคนดี สุภาพ และตนเห็นใจท่าน แต่ว่าผู้ซึ่งอยู่กับนักการเมือง คนพวกนี้ใช้ไม่ได้ ไม่เคยศึกษากฎหมายให้ถ่องแท้ สักแต่ว่าออกมาพูดจาบจ้วง ผบ.สส. สิ่งที่ท่านพูดว่าท่านได้แค่ตักเตือนนั้นถูกต้อง แต่ตักเตือนนั้น ขึ้นกับว่าตักเตือนด้วยความปรารถนาดีหรือไม่ ถ้าบอกว่าตนผิด แล้วมาตักเตือนจะไม่ยอมรับ เพราะตนไม่ผิด และได้ทำหนังสือชี้แจงต่อ ผบ.สส.ไปแล้ว ในฐานะผู้บังคับบัญชาโดยตรงว่าทำไมจึงมาตรงนี้ เพราะอะไร

“ร่ายไปตั้งแต่เหตุการณ์เป็นยังไง ใครทำอะไรบ้าง และได้พูดถึงว่า รอเวลาว่าจะมีใครสักคนออกมาพูดบ้าง ไม่ว่าจะเป็นผู้บัญชาการเหล่าทัพ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด หรือว่าผู้บัญชาการหน่วยอื่นๆ หรือปลัดกระทรวงกลาโหม แต่ก็เงียบ

อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ย่อท้อ ได้ทำหนังสือไปถึงประธานวุฒิสภา และประธานองคมนตรี ก็มีหนังสือตอบกลับจากประธานองคมนตรีว่า ขอขอบคุณแล้วก็เป็นการตอบแทนคุณแผ่นดินอย่างหนึ่ง แต่ขอให้ทุกคนได้ทราบว่า ท่านไม่เคยสั่งให้ผมออกมาพูดที่นี่เลย เป็นความตั้งใจของผมอย่างแท้จริงที่ เมื่อสิ่งที่ผมรู้ ผมทราบ ผมเตือนมาตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. นั้น มันต้องเกิดปัญหาปัญหาแน่นอนกับเขาพระวิหาร และมันก็เป็นจริงในทุกวันนี้ เราเสียดายเวลาว่า ถ้าเราดำเนินการเสียก่อนตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ. มันจะไม่เลวร้ายแล้วก็เกิดปัญหาขนาดนี้”

พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ก็เริ่มมีข่าวที่ทำให้ตนสมเพศคนเหล่านั้น ตนไม่เคยคิดลงสนามการเมือง ตนบริสุทธิ์สะอาดเสมอ และภาคภูมิใจในการทหารเป็นทหาร และถือว่าชีวิตนี้เกิดมาได้ตอบแทนบุญคุณอย่างสมค่าแล้วว่าเราเป็นทหารของชาติ เราเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

“เพราฉะนั้น ผู้ที่คิดต่ำๆ ชั่วๆ หาว่าผมหวังผลทางการเมือง คนแบบนั้นจิตใจชั่วร้ายและขี้ขลาด หลายๆ คนที่พูดออกมานั่นผมยังจำภาพเขาได้ วันที่ผมเป็นนายทหารฝ่ายเสนาธิการแล้วต้องทำหน้าที่ประสานงานในส่วนหนึ่งของคณะทำงานของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งท่านก็เป็นคนที่มีบทบาทอย่างมาก

“คนพวกนี้รอไหว้ผม ขอโอกาสว่าจะให้พาไปพบพี่จิ๋ว มันน่าสมเพศหรือไม่ วันนั้นเรายังเป็นแค่ พ.อ.เอง เขาก็ยังเที่ยวคลานเข้ามาเพื่อขอให้ได้พบกับ พล.อ.ชวลิต

ผมคิดว่าการเมืองใหม่ คนแบบนี้ไม่มีคุณค่าพอที่จะอยู่ในการเมืองใหม่ตามที่พันธมิตรคิด ชีวิตพวกเขาอาจจะอยู่ได้ในเมืองไทย ในฐานะที่ยังคนไทย ไม่ชั่วร้ายเกินไปที่จะขับไล่ออกไป แต่ก็คงอยู่ในสังคมอย่างคนไร้เกียรติ”

พล.อ.ปฐมพงษ์ ย้ำว่า ที่ตนเคยพูดเรื่องการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้นเชื่อมโยงกับการเอาผลประโยชน์ชาติไปขายอย่างแน่นอน เพราะ ณ วันที่ 9 มิ.ย.2549 นั่นคือวันที่ดับความหวังเขา ประชาชนทั่วทั้งโลกทั้งประเทศไทย ใส่เสื้อเหลืองมาถวายพระพร เขาชะงักทันที หลายๆ ฝ่ายชะงักทันที เพราะไม่คิดว่าจะมีพลังแห่งความจงรักภักดีขนาดนี้ แต่เขาเตรียมการมาตลอดตั้งแต่ปี 2547 พวกเขาหวังอย่างยิ่งว่าจะทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์และจะสร้างประโยชน์อันเนื่องมาจากการที่คิดว่าประเทศไทยคือบริษัทอันหนึ่งซึ่งจะเอาไปทำอะไรก็ได้

“ขอให้ท่านภาคภูมิใจว่า ทั้ง 2 ประเด็น เรื่องการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และกรณีเขาพระวิหาร ดินแดนของไทย เกี่ยวโยงกัน ท่านได้ร่วมกันต่อสู้มาอย่างถูกต้องแล้ว”

พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวต่อว่า ในเรื่องปราสาทพระวิหาร ไม่ต้องสับสนอีกต่อไป กรณีของอาณาจักรขอม อารยธรรมขอม เขาได้วางโครงการไว้แล้วว่า จากปราสาทพระวิหาร เขาจะลงไปที่โดนกรวน กาบเชิง เชื่อมโยงไปตามแนวชายแดน วกเข้าไปที่ประเทศลาว เข้าไปสู่ปราสาทวัดภู ตรงนี้ที่จะยิ่งสร้างปัญหาให้หนัก บนแผ่นดินไทย เพราะว่า กรรมการ 7 ชาติ ที่จะมาดูแลอันนี้ ที่มีประเทศไทยอยู่ประเทศเดียว จะชนะตลอดวันยังค่ำ แต่ว่าดินแดนของเราจะถูกครอบครองโดยพวกนี้ แล้วก็จะแสวงหาประโยชน์อันเนื่องมาจากธุรกิจบนแผ่นดินไทย

“ท่านทำมาถูกต้องแล้ว อย่าหวั่นไหว อย่าคลอนแคลน สิ่งที่ท่านจะต้องเอาใจใส่ และได้พูดกับน้องๆ ว่า มาถึงวันนี้ เมื่อมีการเมืองใหม่ นำไปสู่การขจัดคนไม่ดีไม่ให้เข้ามาสู่วงจรการเมือง ทางการทหารเราก็ต้องดูว่า เราจะมีกิจการทหารใหม่ๆ อย่างไร ที่สอดคล้องกับการเมืองใหม่ เพราะว่าทหารกับการเมือง เมื่อก่อนนี้อาจจะดูว่าไปได้ดีบ้างไม่ดีบ้าง แต่ปัจจุบันนี้ เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจะต้องเข้ามาค้ำจุนให้การเมืองเป็นการเมืองที่เป็นประโยชน์ต่อชาติต่อแผ่นดิน ไม่ใช่การเมืองที่ว่าให้ประโยชน์ต่อบุคคล กลุ่มบุคคลที่เอาประเทศชาติเราไปขาย”

พล.อ.ปฐมพงษ์ ย้ำว่า ทหารจะต้องเป็นทหารที่ภาคภูมิใจเมื่อทำหน้าที่สำเร็จ ไม่ใช่ว่าเป็นทหารที่ตะเกียกตะกายหายศหาตำแหน่งใส่ตัวเองตลอดเวลา ไม่เคยเอาใจใส่หน้าที่ เอาใจใส่ผู้บังคับบัญชา

“ชีวิตผมทั้งชีวิตภาคภูมิใจเสมอ ที่ได้รับความสำเร็จจากงานที่ทำนั้น แต่เราต้องยอมรับว่างานที่ทำนั้น ไม่ใช่มีเราคนเดียว มีทีมงานด้วย มีผู้บังคับบัญชาผู้ใต้บังคับบัญชา เพราะฉะนั้นเราต้องถือว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จ

“แต่อย่างไรก็ตาม ในกิจการทหารใหม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือหัวใจ ใจต้องรักความเป็นทหาร ใจต้องสู้ ไม่ใช่ตะเกียกตะกายร้องหาแต่อาวุธดี ๆ ร้องหาแต่อุปกรณ์ดีๆ แต่ว่าใจไม่สู้ แพ้ทุกราย

“ใจคุณจะสู้ ร่างกายคุณต้องดี ใจคุณจะสู้ คุณต้องไม่โลภ ใจคุณจะสู้คุณต้องตั้งอยู่บนหลักหลักเศรษฐกิจพอเพียง ถ้าเผื่อว่า คุณคิดว่าเป็นทหารแล้วต้องรวย อย่ามาเป็น เป็นทหารแล้วอย่าไปแข่งกับทางด้านวัตถุนิยม เป็นทหารแล้ว เราต้องยืดอกได้ว่าแต่งตัวอย่างไรเขาก็รู้ว่าเรามีเกียรติ ไม่ใช่ว่าต้องไปแสวงหาของดีๆ แพงๆ มา ผมคิดว่าคนแบบนั้นไม่สมควรจะเป็นทหาร ที่สำคัญที่สุดก็คือเมื่อใจสู้แล้ว ต้องมีความรู้ด้วย”

พล.อ.ปฐมพงษ์ ย้ำอีกครั้งว่า ได้ปฏิบัติตามตามกฎระเบียบกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในพระราชบัญญัติที่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 หลายๆ ฉบับกฎหมาย เมื่อล้าสมัยเพราะเราอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 แล้ว ต้องทบทวน ไม่ใช่ว่าเอาพระราชบัญญัติ 2499 ห้าสิบปีที่แล้วมาปัดฝุ่นใช้และเลือกปฏิบัติ ตนคิดว่ารับไม่ได้

“ขอยืนยันว่า ผมจะสู้ต่อไป สู้แบบชนิดที่ว่าถูกต้อง สู้แบบเพื่อให้คนอื่นได้รับรู้รับทราบและเป็นตัวอย่างว่า ที่ท่านทำนี่ ท่านทำถูก แล้วก็ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นก็จะต้องเอาใจใส่ให้กำลังใจท่าน ให้ทำในสิ่งที่ถูกที่ควร ผมยืนยันว่าผมจะไม่หนีไปไหน และจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายความตั้งใจของผมได้ว่า ผมถอยแล้ว ไม่มีถอย ณ วันนี้ ขอให้ความมั่นใจได้ว่า สิ่งที่พวกท่านมาชุมนุมอยู่นี่ เป็นการสร้างมิติใหม่ให้กับชาติ และชนะแน่นอน”

พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ยืนยันอีกครั้งถึงกำลังพลทั้งหลายที่ยังลังเลว่า พล.อ.ปฐมพงษ์ถอยแล้ว ขวัญหนีแล้ว ไม่มี

“เพราะฉะนั้นไม่มีคำสั่งใดๆ ที่ไม่ให้ท่านมาร่วมชุมนุม ท่านมา จะแต่งเครื่องแบบ หรือไม่แต่ง ท่านมาได้ ที่เขาบอกว่าไม่ให้แต่งเครื่องแบบ มันมีตั้งแต่สมัยจอมพล ป. เพราะในครั้งนั้น จะต้องมีการสังกัดพรรคการเมือง เขากลัวว่าทหารสังกัดพรรคนี้ แต่งเครื่องแบบขึ้นไป ไปทะเลาะกับอีกพรรคหนึ่ง ก็แต่งเครื่องแบบเหมือนกันเขากลัวความแตกแยกตรงนี้

“แต่วันนี้ ผมไม่มีจิตปรารถนาที่จะเข้ามาทำงานการเมือง เข้ามาสังกัดพรรคการเมือง ผมมาให้ความรู้ว่าอะไรคือการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อะไรคือการรักษาอาณาเขตดินแดน อะไรคือการรักษาผลประโยชน์ของชาติ ผมทำในสิ่งที่ถูกต้อง ทุกขั้นตอน เพราะฉะนั้นกฎหมายแบบนี้ล้าสมัย ใช้กับผมไม่ได้

“และจากการปฏิบัติงาน การดำเนินงาน ตามที่ผมรายงาน ผบ.สส.ได้ทราบ ผมได้มีข้อพิจารณาเสนอแนะว่า ผมจะต้องรักษาศักดิ์ศรี เกียรติยศของผม และครอบครัวให้มั่นคง ใครก็ตามที่ให้สัมภาษณ์ไปถึงผม ที่ทำให้ผมถูกดูหมิ่น ผมเสียหาย ผมได้ให้คณะทนาย ซึ่งประกอบด้วย ผู้พิพากษา ทนาย อัยการ เข้ามามากมายจนไม่รู้จะทำยังไง ก็เลยบอกว่าท่านไปช่วยคิดกันมาก็แล้วกัน แต่ว่า ผมฟ้องแน่นอน

“และยืนยันด้วยว่า การฟ้องครั้งนี้ เป็นการฟ้องเพื่อให้เกิดความถูกต้อง ให้กับผู้ที่มีอุดมการณ์ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ทหาร พลเรือน ให้ออกมา เรามาครั้งนี้ไม่ใช่ว่าเรามาเพื่อหวังประโยชน์ทางการเมือง เรามาอยู่ด้วย 2 ประเด็น คือ ใครหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไม่ได้ และใครทำให้อาณาเขตดินแดนเราเสียไม่ได้” พล.อ.ปฐมพงษ์ กล่าว





กำลังโหลดความคิดเห็น